004 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๔


    ท่านอาจารย์ ภาวะแปลว่าความเป็น สะแปลว่ามี เพราะฉะนั้นสภาวะ มีความเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นพอได้ฟังอย่างนี้ สภาวธรรม จะไปพบในพจนานุกรม หรือในอะไรก็ตามแต่ เป็นเพียงคำพูด แต่ว่าผู้ที่อ่าน ผู้ที่ฟังจะขาดการไตร่ตรองให้เป็นประโยชน์แท้จริงคือได้เข้าใจคำนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเมื่อไร ที่ไหน ตำราเล่มไหน พระไตรปิฎกหน้าไหน พระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า สภาวธรรมคืออย่างนี้ แล้วก็มั่นคงด้วย ว่าถ้าไม่มีลักษณะที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่สภาวะธรรม เห็นไหมค่อยๆ ไปทีละคำอย่างมั่นคง ภาวะความเป็น สะ มี เพราะฉะนั้น สภาวะ สิ่งนั้นมีความเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น

    อย่างแข็งเป็นวานได้ไหม เริ่มเข้าใจสภาวะธรรมว่า แข็งมีจริง เป็นธรรม และภาวะของแข็งต้องเป็นแข็งอย่างเดียว มีภาวะที่แข็งจะเปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่าอดีตนานแสนนาน หรือขณะนี้ หรือต่อไปข้างหน้า เริ่มเห็นว่าแข็งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเป็นเราไม่ได้ ค่อยๆ คืบไป ที่จะเข้าใจในความไม่ใช่เรา แข็งเป็นแข็ง มั่นคงในคำนั้น เพราะฉะนั้นแข็งเป็นเราไม่ได้ แข็งเป็นโต๊ะได้ไหม เห็นไหม ความคิดไตร่ตรองค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ๆ จนกระทั่งแม้คำเดียวที่ได้ฟัง เป็นความเข้าใจที่รอบรู้ ลึกซึ้ง มั่นคง เป็นสัจจญาณ จนกว่าจะถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิปัตติธรรม

    คำสอนของพระศาสนาไม่ใช่ว่าไม่สามารถจะเข้าใจได้ เข้าใจได้ธรรมดาแต่ต้องตรง และต้องได้ยินคำจริง ที่อธิบายให้ถึงความเข้าใจในสิ่งนั้น ใช่ไหมหวานเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะอะไร ถ้าไม่เป็นจะมีภาวะหวานให้รู้หรือ ว่าหวานไม่ใช่เค็ม ไม่ใช่เปรี้ยว เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่มีจริง เป็นหรือมีสภาวะความเป็นอย่างนั้นของตน ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เริ่มเข้าใจความหมายของธาตุหรือธา-ตุ ธาตุคือสภาพธรรมที่มีจริง ทุกอย่างมีจริงมากเลย ไม่เว้นเลย แต่เป็นแต่ละหนึ่งๆ ๆ เพราะฉะนั้นไปรวมกันไม่ได้เลย ภาวะอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น โดยความเป็นธา-ตุหรือธาตุ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงที่จะเป็นอย่างอื่นได้ ต้องทรงไว้ซึ่งความเป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นภาวะอย่างนั้น ก็ยังต้องทรงไว้ซึ่งความเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็ละเอียด แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ถ้าเพียงเข้าใจอย่างนี้ ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสภาวธรรมแน่นอน และเมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจคำพูด คำที่ได้ฟัง ที่เป็นพระพุทธพจน์ต่อไป ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตาหมายความว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อะแปลว่าไม่

    เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ ต้องไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งรวมกัน หรือว่าเป็นสิ่งอื่น เช่นไปเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่ความจริงคือเป็นแข็งเมื่อกระทบสัมผัส นั่นคือธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่เคยรู้เลยว่า อะไรเกิด อะไรตาย จนกว่าจะได้เข้าใจสภาวธรรม ทุกคำต้องละเอียดยิ่ง แล้วก็รู้ว่าเข้าใจได้ ภาษาไทยแท้ๆ เราไม่ต้องใช้ภาษาบาลีเลย แต่ว่าคำนี้มาจากภาษามคธี ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกับชาวมคธ ซึ่งดำรงรักษาพระศาสนาไว้ เราจึงเรียกว่าบาลี มาจากคำว่า ปาละ ดำรงไว้

    เพราะฉะนั้น เมื่อศึกษาธรรมเรามีความเข้าใจคำเดิมที่ไม่คลาดเคลื่อน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ชาวมคธที่พูดภาษามคธี เราพูดภาษาไทย แต่ความหมาย ความเข้าใจไม่คลาดเคลื่น ตรงอย่างนั้นทุกภาษา ไม่ว่าจะใช้ภาษาอะไรก็ตาม แต่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ เห็นไหม แม้แต่คำว่าเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ ก็ยังต้องมีคำนี้ พอได้ยินไม่สงสัยเลยคำว่า ธรรม ต้องมีภาวะ เป็นสภาวธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย เมื่อทรงไว้ซึ่งความเป็นแข็ง จะเป็นสิ่งอื่นได้อย่างไร เป็นนิ้วก็ไม่ได้ เป็นอะไรก็ไม่ได้ เป็นแข็งเมื่อกระทบสัมผัส ทุกคำเป็นคำจริงที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้

    คุณรัก นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากที่อื่นๆ หรือทุกที่เลยในโลกนี้จักรวาลนี้ เพราะว่าบางทีหลายท่านจะต้องตั้งคำถามก่อนว่า ได้อะไร แม้กระทั่งฟังอย่างนี้แล้ว ก็เป็นตัวแทนหลายๆ ท่าน ก็รู้ความจริงเพื่ออะไร แต่ถ้าเกิดว่ามีปัญญาของแต่ละท่านแล้ว ได้ตรึก ได้ไตร่ตรองก็จะเห็นว่า การได้รู้ความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่จะนำมาในทุกๆ อย่างของความดี

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ยินแม้คำว่าธรรม สภาวธรรม หรือไม่ ต่อไปนี้ใครจะหลอกก็ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะได้เข้าใจจริงๆ ว่า คำนั้นต้องมีจริงและหมายความว่าอย่างไร และทรงแสดงสภาวธรรม ๔๕ พรรษา แสดงว่าอย่างไร ลึกซึ้ง ละเอียด รู้ยาก รอบคอบ ทุกอย่างต้องตรงกัน สอดคล้องกัน ไม่คัดค้านกันเลย เมื่อไรๆ ธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตา เพราะเรารู้สภาวะแล้ว จะไปเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้นซึ่งเป็นอนัตตา

    คุณรัก พูดถึงสภาวธรรมก็กว้าง แล้วก็ละเอียดมาก แต่ขอย้อนกลับมาในกรอบรอบนอกอีกสักนิดหนึ่ง อยากให้คุณจักรกฤษณ์ได้พูดถึงเรื่องของพระพุทธศาสนาอีกสักนิดหนึ่ง คือบางท่านหลายๆ ท่านอาจจะไปคิดว่าพระพุทธศาสนา คือเราพูดเน้นถึงเรื่องคำสอน แต่ว่าประกอบด้วยอะไรบ้างโดยคร่าวๆ บางท่านพูดถึงพระพุทธศาสนา นึกถึงวัด นึกถึงพระ นึกถึงการทำบุญ

    อ.จักรกฤณษ์ ทั่วๆ ไปคิดว่าองค์ประกอบของพระพุทธศาสนาโดยหลักๆ ก็น่าจะต้องมีอยู่ ๖ อย่าง ศาสนาทั่วๆ ไปก็ต้องมีพระศาสดา ใช่ไหม เป็นผู้นำศาสนา ที่สอง ก็จะต้องมีคำสอน คัมภีร์หรือว่าเป็นตำรับตำราอะไรที่พระศาสดาสอน ที่สาม ก็จะมีสาวก สาวกทั้งหลายที่มาฟัง หรือว่าศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ที่สี่ ก็คือต้องมีพิธีกรรม แต่ละศาสนาจะมีพิธีกรรมแตกต่างกัน ทำอะไรแตกต่างกันไปในแต่ละศาสนา ที่ห้า ก็จะมีสัญลักษณ์

    ชาวโลกหรือว่าคนทั่วไปจะเข้าใจว่า องค์ประกอบของศาสนาก็จะมีอย่างนี้ แม้แต่เดียรถีย์ก็เป็นศาสนาหนึ่ง ก็มีครบเหมือนกัน พูดถึงเรื่องศาสนา แต่ศาสนาพุทธเมื่อเราสนทนากันเราจะเห็นว่า หัวใจสำคัญหรือองค์ประกอบที่สำคัญของศาสนาพุทธก็คือ ความรู้ ความจริง ถ้าเป็นภาษาไทยที่ใช้จะต้องเป็นความหมายที่มาจากบาลี คือท่านใช้ว่าปัญญา ปัญญา ไม่ใช่ปัญญาภาษาไทยที่เราเข้าใจกันทั่วไป เราจะสับสนกัน เพราะว่าของคนไทยเราจะนำภาษาบาลีมาใช้ และความหมายก็จะเปลี่ยนไป คำว่า ปัญญา ในทางพระพุทธศาสนาคือ ความรู้ที่เข้าใจความจริง ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เท่านั้น นี่คือปัญญาในพระพุทธศาสนา

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบที่สำคัญของพุทธศาสนาอยู่ที่ ความรู้ ความจริง เป็นหัวใจหลัก การที่จะเข้าไปสู่การรู้ความจริงก็จะต้องมีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งท่านก็ตรัสไว้ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงเยอะมาก แล้วเราโชคดีที่ว่าสาวก คือในสมัยนั้นก็มีพระอริยสงฆ์ท่านรวบรวมคำสอนมา ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ท่านทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ประมาณ ๓ เดือน ท่านก็รวบรวมคำสอน เพราะให้รุ่นหลังได้มีโอกาสที่จะศึกษาคำสอน ซึ่งเป็นความจริงของพระพุทธองค์ได้เข้าใจ จริงๆ แล้วก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญญา ความรู้นั้นได้จริง ท่านก็รวบรวมที่เรียกว่า สังคายนาคำสอนในพระไตรปิฎก ตอนแรกก็จะมีพระธรรมวินัย แล้วก็สังคายนารวบรวมกันมาตามลำดับ

    ซึ่งคำสอนของพระพุทธองค์มีความยาก มีความละเอียด แล้วก็ลึกซึ้ง ดังนั้นก็จะต้องมีคำอธิบายและเรียกว่า อรรถกถา ที่อธิบายคำสอนของของพระพุทธองค์ ให้ชนรุ่นหลังได้ปัญญา เพราะความไม่รู้เยอะ ได้มีโอกาสที่จะได้ศึกษา ปัจจุบันก็จะมีเป็นเราเรียกว่า พระไตรปิฎก แต่ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่งว่า คำสอนที่เราสืบทอดมา ที่ยังอยู่มั่นคง แล้วก็เป็นคำสอนที่เป็นเนื้อแท้ เป็นพุทธดำรัสของพระองค์ เรียกว่าพระไตรปิฎก มีแต่นิดหนึ่งว่า เถรวาท เพราะเนื่องจากว่าพระพุทธศาสนาผ่านกาลมาเยอะ ตอนนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ก็จะมีการแยกออกไปเป็นนิกายอื่นๆ ด้วย หลายร้อยนิกาย แต่ก็อ้างว่าเป็นพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องทำความเข้าใจจริงๆ ว่า คำสอนที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธองค์อยู่ที่พระไตรปิฎก ที่รวบรวมคำสอนไว้ ๓ ปิฎก พระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม แบบของเถรวาท ซึ่งท่านคงเอาไว้ ตั้งแต่ต้นสมัยสืบมา

    ตรงนี้เป็นแหล่งความรู้ เป็นองค์ประกอบสำคัญของพระพุทธศาสนา องค์ประกอบสำคัญ ซึ่งเราชาวพุทธต้องเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจน พระไตรปิฎกรวบรวมพระธรรมคำสอนเรียกว่า พระธรรมวินัย ซึ่งก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า พระธรรมก็ดี พระวินัยก็ดี ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ในกาลที่ท่านล่วงไป ตอนนี้ชาวพุทธต้องมีพระธรรมวินัยเป็นพระศาสดา เพราะพระพุทธองค์ท่านเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยเป็นพระศาสดา เราเคารพได้ก็ด้วยการศึกษาเล่าเรียนด้วยความรอบคอบ ด้วยความเคารพ ไม่ไปทำอะไรที่ทำให้พระธรรมวินัยบิดเบือน หรือว่ามีความแตกต่างอะไรออกไป องค์ประกอบสำคัญตอนนี้ก็คือพระธรรมวินัย คำสอนของพระพุทธองค์เป็นศาสดาของเรา ถ้าเราไปทำอะไรที่นอกเหนือ หรือไปทำอะไรที่อ้างว่าทำได้ ไม่ตรง นั่นเริ่มที่จะไม่เคารพพระศาสดาของเราแล้ว ทำให้มีความเสื่อมไปจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่บรรพชนของเรารักษามาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งผ่านกาลมาเยอะ แต่ละช่วง แต่ละสมัย จะต้องรู้คุณของบรรพบุรุษที่เป็นชาวพุทธของเราว่า ท่านรักษาคุณค่าพระธรรมวินัย คำสอนมาตามลำดับ จนตกทอดมาถึงตอนนี้ ทำให้เราสามารถที่จะศึกษา แล้วก็ได้รู้ความจริงที่เราสนทนากัน ถ้าไม่มีคำสอนตกทอดมาอย่างนี้ ไม่มีทางที่เราจะได้มีโอกาสสนทนา แล้วก็ได้ยกประเด็นในเรื่องของธรรมที่เป็นเบื้องต้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงอย่างไร ถ้าไม่มีคำสอนเหล่านั้นที่ตกทอดมา ก็ไม่มีทางที่จะทำให้เราได้มีโอกาสจะได้ทราบความจริงได้

    คุณรักพูดถึงองค์ประกอบ องค์ประกอบสำคัญสองพุทธศาสนาไม่ใช่ที่วัด ไม่ใช่ที่ภิกษุ ไม่ใช่พิธีกรรมต่างๆ เราก็ต้องเข้าใจ วัดต้องเป็นวัดในพระธรรมวินัย ภิกษุต้องเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย พิธีกรรมต้องเป็นพิธีกรรมในพระธรรมวินัย แต่ปัจจุบันตั้งคำถามสักนิดว่า ใช่หรือไม่ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่องค์ประกอบย่อยๆ ของพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะต้องมีการคุยในรายละเอียดต่อไป สรุปอันแรกก็คือองค์ประกอบที่สำคัญคือพระธรรมวินัย ที่เราจะต้องเข้าใจ ส่วนองค์ประกอบย่อยๆ ก็ต้องอยู่ในพระธรรมวินัย

    คุณรัก ให้กระจ่างนิดหนึ่งสำหรับท่านผู้ชม ความหมายของคำว่า พระธรรมวินัย

    อ.คำปั่น ในความละเอียดตั้งแต่ต้น อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในพระสูตรต่างๆ อย่างเช่นในพระสูตรหนึ่ง พระองค์ก็ทรงแสดงเปรียบเทียบไว้ชัดเจนใน ทุติยสุริยูปมสูตร แสดงถึงความจริงว่า ตราบใดก็ตามถ้ายังไม่มีพระอาทิตย์ ยังไม่มีพระจันทร์เกิดขึ้น ก็มีแต่ความมืด ความมัวหมอง กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ วันเดือนปีไม่ปรากฏ ฤดูต่างๆ ก็ไม่ปรากฏ เช่นเดียวกัน ตราบใดก็ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้นในโลก สัตว์โลกก็มืด มืดด้วยความไม่รู้ความจริง ไม่มีผู้แสดงความจริงให้รู้ตามความเป็นจริง ต่อเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ตรัสรู้ความจริงแล้วก็มีการแสดงความจริง เปิดเผยความจริง โลกก็สว่างด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษาในคำสอนของพระองค์ เพื่อรู้ธรรมตามความเป็นจริง จากที่เคยมืดมิดด้วยความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ทั้งหมดเมื่อมีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ได้สะสมอบรมมา ไม่ใช่เพียงเพื่อพระองค์เท่านั้น แต่ว่าเพื่อที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก พระองค์จึงทรงประกาศพระศาสนาคือแสดงความจริง ตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศพระศาสนาคือ วันเพ็ญเดือน ๘ หลังจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ผ่านมาสองเดือน พระองค์ก็ประกาศพระศาสนา แล้วก็ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงวาระที่พระองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมโดยตลอด แสดงความจริง เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจความจริง พระองค์จึงเป็นพระบรมศาสดาของทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยที่ไม่มีใครเปรียบเลย

    เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์ทั้งหมด ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยของพระวินัยบ้าง พระสูตรบ้าง หรือว่าพระอภิธรรมบ้าง ทั้งหมดคือพระธรรมวินัย เพราะว่าเป็นคำสอนที่แสดงถึงความจริงที่เป็นไปเพื่อกำจัดขัดเกลา ละคลายความไม่รู้ แล้วก็กิเลสทั้งหลายจนกระทั่งสามารถที่จะดับได้หมดสิ้น ทั้งหมดคือพระธรรมวินัย เพราะเป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อกำจัดขัดเกลากิเลส จนกระทั่งดับไม่เหลือจริงๆ เพราะฉะนั้นพระธรรมวินัยจึงเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมทีละคำ เเละก็เข้าใจจริงๆ ได้ยินคุณจักรกฤษณ์บอกว่า วัดไม่ใช่พระพุทธศาสนา จริงหรือไม่ เห็นไหม ไม่ใช่ฟังผ่านๆ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความเข้าใจที่มากกว่านี้ได้ วัดไม่ใช่พระพุทธสาสนา ทุกคนได้ยินใช่ไหม เพราะฉะนั้นวัดคืออะไร ทุกคำข้ามไม่ได้เลย ได้ยินคำว่า พระพุทธศาสนา ได้ยินคำว่า ธรรมวินัย และได้ยินคำว่า วัดวาอาราม เพราะฉะนั้นวัดคืออะไร ทุกคำต้องเข้าใจให้ถูกต้อง วัดคืออะไร

    คุณรัก วัดคืออะไร คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ก็ให้เป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ได้ฟังผ่านในคำแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งวัดก็เป็นคำไทย ซึ่งมาจากภาษาบาลีว่า อารามะ คือเป็นสถานที่ที่ควรแก่การยินดีในกุศลธรรม เป็นสถานที่ๆ นำมาซึ่งความยินดี หรือว่ารื่นรมย์ด้วยกุศลธรรม นี่คือความหมายของอารามะ ซึ่งก็เป็นสถานที่ๆ ผู้มีศรัทธาสร้างไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่อยู่ของ ถ้าในสมัยก่อน ก็คือของทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็พระภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็นเพศบรรพชิต ที่สละอาคารบ้านเรือนแล้ว จะมาอยู่ในบ้านเหมือนกับคฤหัสถ์ไม่ได้ จึงต้องเป็นที่อยู่ที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต เพื่อที่จะอาศัยอยู่ แล้วก็เพื่อประโยชน์ในการที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้นอารามะหรือวัด ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็จะสอดคล้องกับคำสอนอีกว่า คำสอนแสดงไว้ว่าอย่างไรด้วย

    คุณรัก ท่านอาจารย์กล่าวย้อนคำของคุณจักรกฤษณ์ว่า วัดไม่ใช่พระพุทธศาสนา ฟังแล้วดูแรงมากเลย

    ท่านอาจารย์ วัดก็ต้องเป็นวัด เห็นหรือไม่ แต่ละคำต้องชัดเจนว่า วัดจะเป็นพระพุทธศาสนาไม่ได้ วัดต้องเป็นวัด แต่วัดคืออะไร และก็เป็นที่ๆ นำมาซึ่งความยินดี น่ารื่นรมย์ ในเมื่อได้มีความเข้าใจธรรม แต่ถ้าที่ใดไม่มีความเข้าใจธรรม น่ารื่นรมย์หรือไม่ หรือว่าเต็มไปด้วยกิเลส มีแต่ความต้องการ ต้องการความสงบ คิดว่าทำอย่างนั้นเป็นความสงบ คิดว่าทำอย่างนี้เป็นกุศล แต่ไม่มีความเข้าใจธรรมเลย สำคัญที่สุด วัดคืออะไร เป็นที่อยู่ในสมัยโน้น ที่ท่านอนาถบิณฑิก ท่านสร้างพระวิหารเชตวันถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อทรงเป็นที่ประทับ เพื่ออะไรอีก เห็นไหม ทุกอย่างต้องละเอียดมาก ประทับเพื่ออะไร ประทับเพื่อทรงแสดงธรรม กับผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจขึ้น จนถึงกับรู้อัธยาศัยของตนเอง ว่าอัธยาศัยของตนสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ถ้ามีแต่เพศคฤหัสถ์ ไม่ต้องมีวัด ใช่ไหม แต่เพราะเหตุว่าคนฟังก็รู้อัธยาศัยว่า เขาสามารถจริงๆ ที่จะสละเพศคฤหัสถ์ หมายความว่าอย่างไร เพศคฤหัสถ์

    ทุกอย่างที่เรามี เปลี่ยนจากชีวิตหนึ่งเป็นอีกชีวิตหนึ่ง คือละ ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเปล่าๆ สละ แม้แต่ความติดข้อง ถ้ายังติดข้องอยู่ ไปไม่ได้ สละไม่ได้ แต่ไม่ใช่อยากจะไปก็ทิ้งไปชั่วคราว แต่ต้องเป็นอัธยาศัยที่เห็นคุณค่าอย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้นอีก โดยการที่ว่าทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนหลับเป็นเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง ซึ่งละเอียดยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นความต่างของคฤหัสถ์กับบรรพชิต เพียงแค่กิริยาอาการในชีวิตประจำวันก็รู้ได้ ว่านี่ไม่ใช่คฤหัสถ์ แต่เป็นบรรพชิต และก็ต้องศึกษาธรรมด้วย อบรมเจริญปัญญาเพื่ออะไร เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งนำมาซึ่งกิเลสทั้งปวง

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้พระวินัย กาย วาจา ต้องสงบอย่างไร เป็นอย่างไร เหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งถ้าไม่มีการสนทนากัน จะรู้ได้ไหมว่าใครเป็นพระอรหันต์ ใครไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างหมดภายนอก ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตาม เพียงผิดนิดเดียวไม่ใช่เพศบรรพชิต เป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ความต่างกันด้วย ใครอยู่ที่วัด ใช่ไหม แล้วอยู่ทำไม อยู่เพื่ออะไร เพราะฉะนั้นวัดจึงเป็นที่มาซึ่งน่ารื่นรมย์ในความรู้ ในความเข้าใจ ในความเห็นถูก ซึ่งหาไม่ได้ที่อื่น แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ เป็นวัดไหม มีตลาดนัดในวัด ได้ไหม เห็นไหม เพราะไม่รู้

    คุณรัก ความไม่รู้อันตรายจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างจริงๆ นำมาซึ่งไม่รู้แม้แต่ว่า วัดคืออะไร วัดสมควรจะเป็นที่ขายของหรือไม่ วัดสมควรจะเป็นที่รื่นเริงหรือไม่ เห็นไหม ทั้งหมดเป็นความไม่รู้


    หมายเลข 10900
    6 ส.ค. 2568