003 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๓


    ท่านอาจารย์ ชาวพุทธก็คงจะได้ยินคำ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสอดคล้องกัน ธรรมไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราเข้าใจเหมือนเดิม โต๊ะ เก้าอี้ แต่สิ่งที่มีจริงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไร เข้าใจว่าเป็นเราไปหมดเลย หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างนี้ไม่ชื่อว่ารู้อะไรเลย จะเป็นนักปราชญ์กล่าวถึงศักดิ์ศรีหรืออะไรก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้ทั้งนั้น

    อ.อรรณพ หมายความว่าไม่ได้รู้อะไรเลย แล้วก็เสริมให้มีความสำคัญตนว่า เราจะต้องทำอย่างโน้นต้องทำอย่างนี้ มีแต่การเสริมความเป็นตัวตนที่เป็นอัตตา เพราะฉะนั้นเมื่อท่านอาจารย์อธิบายสักคำจริงๆ คำว่า อยู่ ในทาง ความจริงพระพุทธศาสนาลึกซึ้งจริงๆ เลยว่า อะไรที่อยู่ ไม่ใช่เราที่อยู่ เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ คิดนึกอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยู่ เป็นคุณอรรณพหรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรมคือสิ่งที่มีอยู่ขณะนั้น

    อ.อรรณพ ตามความจริงก็ต้องเป็นธรรมที่มีอยู่ขณะนั้นสั้นๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นเป็นธรรมหรือคุณอรรณพ

    อ.อรรณพ เห็นต้องเป็นธรรม คือเป็นความจริงที่เกิดขึ้นชั่วขณะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราจะพูดคำนี้กับใคร เด็กหรือเยาวชนหรือผู้ใหญ่ก็ได้ ให้เขารู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ นี่แหละ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็หลากหลายเป็นแต่ละหนึ่ง เขาก็จะเริ่มเข้าใจ แล้วถ้าเราคุยกับเขาบ่อยๆ พูดกับเขาบ่อยๆ ถึงความจริงอันนี้ เด็กคนนั้นจะจำและจะเข้าใจด้วย และเขาจะรู้เลยตั้งแต่เขาได้ฟังว่า อะไรเป็นธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง

    อ.อรรณพ อันนี้ก็เป็นการที่ท่านอาจารย์ได้อธิบาย แล้วก็ช่วยตอบตั้งแต่ที่คุณรักถามว่า ธรรมทีละคำ เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจสักคำ อยู่ก็ไม่รู้อะไรอยู่ก็ไม่รู้ แล้วก็มีความสำคัญจะต้องมีศักดิ์ศรี ก็ไม่รู้ว่าศักดิ์ศรีเป็นกุศล อกุศลหรือเป็นความสำคัญตน หรือว่าเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ หรือเป็นเรา เป็นเรา เห็นไหมสอนให้เป็นเราตั้งแต่ต้น

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้าคนสนใจ ปรัชญาหรือบทกวีอย่างนี้ ก็รู้สึกเพราะดีแล้วก็เสริมความเป็นตัวตนง่ายดี ใจก็เลยไปมุงสนใจ ก็ไม่ได้ใส่ใจพระธรรมวินัย หรือพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา กับไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม แล้วก็มีแต่เสริมว่าเป็นเราๆ ที่จะอยู่ ที่จะมีศักดิ์มีศรี เป็นตัวตน

    คุณรัก ตอนนี้มองแยกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ เลย ส่วนที่เชื่อว่าท่านผู้ชมทางบ้านหลายๆ ท่าน ส่วนหนึ่งก็คือสัมผัสทางโลกเยอะ ก็จะได้ยินคำอย่างที่อาจารย์อรรณพยกตัวอย่างมาก็เยอะ หรือแม้กระทั่งบางคนละเอียด นักจิตวิทยาหน่อย หรือทางพุทธศาสนา วัดต่างๆ เองก็ตาม ก็จะเอาคำสวยๆ เหล่านี้ไปโยงเกี่ยวกับเรื่องของพระอภิธรรม ก็เป็นคำสอนผสมปนเปกันไปจนพุทธศาสนิกชนคนไทยฟังแล้ว ดูแล้วก็เชื่อตามกันไปเยอะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาวพุทธจะเริ่มเข้าใจพระธรรมจริงๆ ได้อย่างไร โดยการที่ต้องรู้ว่า ธรรมะอะไร ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเลยที่จะรู้จักว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นภาษาบาลีว่า ธรรม ใช่ไหม สิ่งที่มีจริง มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกอย่างไม่เว้นเลย ที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ที่แสดงความจริงว่า เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยน ต้องมีความละเอียด ต้องมีการเห็นประโยชน์ ต้องมีการรู้ว่าเกิดมาไม่รู้อะไร แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยยังไม่รู้อะไรเลยเหมือนทุกชาติ ก็เหมือนกับไม่ได้พบคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แค่คำเดียวเป็นเบื้องต้น ถ้าไม่ตั้งต้นคำนี้ ไม่สามารถจะเข้าใจคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงทั้งหมดได้เลย

    คุณรัก พอฟังอย่างนี้ แค่คำว่า ธรรมคืออะไร และสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้กันเลย ขอเรียนถามคุณจักรกฤษณ์ อยากให้แชร์เรื่องราวประสบการณ์นิดหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องของความเห็นของบุคคลในปัจจุบันที่ได้สัมผัสมา แล้วก็ตัวของคุณจักรกฤษณ์

    อ.จักรกฤษณ์ เราคุ้นเคยกับคำว่า ปรัชญาคือแนวคิด ต่างๆ ปรัชญาคนปัจจุบัน ปรัชญาก็ไม่แยกออกจากศาสนา ที่เราดูข่าว อ่านตำรา ปรัชญา ศาสนาคู่กัน คำว่า ศาสนา ความหมายหนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจกัน ศาสนาก็คือลัทธิความเชื่อ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า เรียลริเจี้ยน คือความเชื่อ เป็นลัทธิๆ ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะมีการพูดถึงโลก ความเป็นอยู่ กำเนิดของโลก รวมมาถึงการอยู่ในสังคม เข้ามาถึงเรื่องศีลธรรม แล้วก็มีพิธีกรรม อันนี้เป็นคำนิยามของที่เราคุ้นเคยกันทั่วไปว่า ศาสนาคือลัทธิความเชื่อ อย่างคุณรักไปสมัครงานก็จะถามว่า นับถือศาสนาอะไร ก็คือมีความเชื่อศาสนาอะไร บางคนไม่นับถือศาสนา ไม่มีศาสนาเลยก็มี ใช่ไหม เพราะเขาเข้าใจว่าศาสนาหมายถึงลัทธิความเชื่อ เขาไม่เชื่อลัทธิอะไรเลย อันนี้ที่เราคุ้นเคยกันทั่วไปพูดกันแบบคนทั่วไปเข้าใจได้เลยว่า ศาสนาที่เขาเข้าใจกันก็คืออย่างนี้

    แล้วศาสนาปัจจุบัน ถ้าสังเกตุดูปัจจุบันก็มีประมาณ ๔,๒๐๐ กว่าศาสนา เป็นแนวความเชื่อ เป็นลัทธิต่างๆ ซึ่งศาสนาก็จะสอนในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคุณงามความดีต่างๆ ทำให้คนเกิดความศรัทธา แล้วก็เอามาใช้ในการดำรงชีวิต อันนี้ก็เป็นพื้นฐานของศาสนาทุกๆ ศาสนาที่เข้าใจกันอย่างนี้ แต่ถ้าท่านผู้ชมผู้ฟัง ฟังการสนทนาที่เราได้อารัมภบทมาพอสมควร จะเห็นได้ชัดเจนว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่ลัทธิ แต่เป็นความจริง จริงๆ อาจจะไม่ใช้คำว่า พระพุทธศาสนา ก็ได้ อาจจะใช้คำว่า พุทธะ เพราะว่าเป็นความจริงที่ถูกค้นพบโดยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรียกกว้างๆ ก็คือการค้นพบความจริง ค้นพบสัจธรรม อันนี้ไม่ใช่ลัทธิความเชื่อ หรือไม่ใช่แนวคิด ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่ว่าเราใช้คำว่า ศาสนามาประกอบกับคำว่า พุทธะ เพื่อให้เห็นว่าตามที่เราเข้าใจกันมาให้ชัดเจนว่า นี่ก็คือเป็นคำสอนอันหนึ่ง เป็นแนวทางอันหนึ่งของความเป็นมาในการที่จะมีการสอนในลักษณะนี้

    แต่ พุทธะ คือการค้นพบความจริง ค้นพบความจริง จริงๆ ไม่ใช่แนวคิด ไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่ปรัชญา แม้แต่อัลเบิร์ตไอน์สไตน์ เขาก็มีการได้มาศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่บ้าง แกชี้ว่าถ้าในอนาคต ถ้าจะให้นับถือหรือเชื่อในคำสอนใด พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่มีเหตุมีผล และพิสูจน์ความจริงได้จริงๆ

    อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ความจริงไม่ใช่ความจริงในอดีต ในอนาคต แต่ความจริงต้องเป็นความจริง ณ ขณะนี้ ดังนั้นพระพุทธศาสนา พุทธะ คือความรู้ ความรู้คือไขความจริง ณ ขณะนี้ ให้ได้เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับ เพราะว่าเราความไม่รู้เยอะ เยอะมาก ถ้าจะว่าไปแล้วแม้แต่การสนทนาคำที่อาจารย์อรรณพยกมาว่า อยู่อย่างไร เรายังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจริงๆ แล้วอะไรอยู่ และอยู่อย่างไร

    ดังนั้นพุทธศาสนาถ้าพูดโดยรวมก็คือ การอธิบายความจริง นำความจริงมาเปิดเผยให้กับทุกคน ไม่ว่าเชื้อชาติใด อยู่ที่ไหน นี่คือหลักความจริง ดังนั้นในเรื่องนี้ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่ต้น เราใช้คำว่าพระพุทธศาสนา แต่เราอย่าไปโยงชื่อ ไปสับสนในเรื่องชื่อ แต่ให้เข้าใจว่าเรากำลังกล่าวถึงความจริง เป็นการค้นพบความจริงที่ให้ทุกคน ไม่ว่าใคร ถึงแม้ตัวเองจะบอกว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดก็มารู้ความจริงนี้ได้

    ในคำสอนของพระพุทธองค์มีคนหลายกลุ่ม แต่ถ้าจะกล่าวว่ามีการนับถือว่าเป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม แต่เมื่อมาศึกษาในคำสอนแล้วจะเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความจริงทั้งหมดของพระพุทธองค์ที่ตรัส ดังนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องลัทธิอะไรต่างๆ เป็นการเข้ามาสู่ความจริงที่ทำให้เราได้ประจักษ์ ได้เห็นจริงๆ ว่า ปัจจุบันนี้จริงๆ คืออะไร มันคือดอกไม้ มันคือโต๊ะ แก้ว หรืออะไรกันแน่ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า แม้แต่เด็กๆ ก็เริ่มที่จะตั้งคำถาม ตอบคำถามตรงนี้ให้เข้าใจได้ว่า จริงๆ แล้ว รอบตัวเขาคืออะไร

    คุณรัก จริงๆ สอนในสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกับเด็กๆ อาจจะยังง่ายกว่าที่จะไปพูดในเรื่องที่มองไม่เห็น

    อ.จักรกฤษณ์ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ปัจจุบันจริงๆ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เด็กก็มีครบ ให้เริ่มเรียนรู้ว่า นั่นคืออะไร ความจริงคืออะไร ปูพื้นฐานได้ไม่ต้องไกลไปถึงเรื่องศีลธรรมอะไรต่างๆ ซึ่งตรงนี้ เราพอมองภาพเห็นว่า พุทธะหรือคำสอนของพระพุทธองค์เป็นความจริง แต่ไม่ใช่เป็นความเชื่อ เป็นแนวคิด เป็นปรัชญา พระพุทธองค์จะไม่เอาสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงมาตรัส มาอธิบายให้เราได้เข้าใจ

    ดังนั้นเราจะเห็นพอจะเห็นภาพ แล้วก็แยกตรงนี้ได้นิดหนึ่งว่า ศาสนาทั้งหลายสอนเรื่องศีลธรรม จริยธรรม เป็นหลัก แต่ศาสนาพุทธหรือว่าคำสอนของพระพุทธองค์ สอนให้เข้าใจศีลธรรม ศาสนาอื่นสอนให้ปฏิบัติ ควรจะทำอย่างนี้ ปฏิบัติตัวอย่างไร แต่ศาสนาพุทธสอนให้เข้าใจศีลธรรม ซึ่งเป็นความจริงอีกประเภทหนึ่ง ที่เราก็ต้องจะได้คุยกันต่อไปว่า ศีลธรรมจริงๆ เป็นความจริงแบบไหน นอกจากที่เราได้ยินชื่อ หรือว่าเป็นข้อปฏิบัติ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าศีลจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร อันนี้ต่างกันเยอะ แล้วก็อีกอันหนึ่งที่ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นก็คือ ความจริงที่เราสนทนากันเรื่องธรรม เพราะว่าท่านแสดงให้เห็นอะไร ให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา อีกอันหนึ่งที่ไม่มีในศาสนาอื่น ไม่มีในแนวปรัชญาอื่นๆ อย่างเช่น คำที่ท่านอาจารย์อรรณพยกมาเรื่องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี สื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาหรือไม่

    คุณรัก ไม่มี

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่มี ใช่ไหม

    อ.อรรณพ เสริมให้มีอัตตา

    อ.จักรกฤษณ์ เสริมให้มีความเป็นตัวตน และก็ยึดต่างๆ ในขณะที่อาจารย์อธิบายไปเมื่อสักครู่ คำว่า อยู่ แต่ละคำก็จะมีสิ่งที่เป็นธรรมอยู่ในนั้น คือความจริงต้องมีให้ปรากฏจริงๆ ทำให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา นี่คือสิ่งที่ทำให้พบความจริง จริงๆ จะตรงข้ามกับแนวอื่นๆ

    คุณรัก พูดให้ง่ายๆ ก็คือว่า นี่แหละคือจุดต่างของศาสนาพุทธกับศาสนาอื่นๆ

    อ.จักรกฤษณ์ ต่างกันอย่างมาก ใช่ ในเรื่องความเป็นอนัตตาหรือว่าเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร คำว่า ธรรมคืออะไร พอเข้าใจตรงนี้ ความเข้าใจเรื่องอนัตตา เราจะเริ่มมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ตามลำดับ ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่แตกต่างมาก กับศาสนาอื่น ตรงนี้ทำให้เห็นว่าเราโชคดีที่ว่า อันแรกก็คืออาจจะนับถือพระพุทธศาสนาทางทะเบียน แต่เราก็ก้าวเข้ามาแล้ว คือเข้ามามีโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อ เราก็ไม่ปิดกั้นกับผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ถ้าเขาอยากจะทราบความจริง ก็ค้นคว้าหรือว่าติดตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้ ไม่ได้มีปิดกั้นว่าจะต้องเป็นนับถือศาสนานี้ศาสนานั้นแล้วก็มารู้ความจริง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะชี้ให้เห็น โดยเฉพาะถ้าเป็นชาวพุทธ เราน่าจะภูมิใจ เพราะว่าเราเป็นชาวที่จะรู้ความจริง ไม่ใช่เป็นชาวที่จะไปทำอะไรที่ไม่รู้ ซึ่งตรงนั้นก็คงจะได้คุยกันอีกทีว่า เราไปทำอะไรที่ไม่รู้กันมากแค่ไหน

    คุณรัก ความไม่รู้อย่างมากมายมหาศาลจริงๆ อย่างคุณจักรกฤษณ์พูดในแง่นี้ดีมากๆ เลย คือทำให้เห็นเลยว่าพุทธศาสนา คือศาสนาที่ส่องให้เห็นความจริง เราถึงได้ต้องมาเรียนรู้ว่าอะไรที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ ตอนนี้ นี่คือแก่นที่สำคัญความจริงที่อยู่ ณ ปัจจุบัน อยากให้ท่านอาจารย์ได้ขยายตรงนี้เพื่อที่จะให้ทุกคนได้เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาว่า ทำไมเราต้องมาศึกษาความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน มีประโยชน์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ถ้าไม่รู้ก็เป็นชาวโลกใช่หรือไม่ที่ว่า เพราะฉะนั้นทุกคนต้องบอกว่า ไม่ใช่ว่าชาวพุทธจะไม่ใช่ชาวโลก ใช่หรือไม่ ชาวโลกก็คือชาวโลกแบ่งเป็นสองอย่าง ชาวโลกที่รู้ธรรมกับชาวโลกที่ไม่รู้ธรรม ไม่ว่าจะกล่าวว่านับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าไม่เข้าใจก็คือ เรียกว่าชาวโลกที่ไม่รู้ธรรม ก็ยังคงเป็นชาวโลกอยู่ แต่ก็ไม่พ้นจากโลกก็เป็นชาวโลก แต่ว่าเริ่มสนใจ เริ่มเห็นคุณค่าของการที่รู้กับไม่รู้ แค่นี้ และรู้สิ่งที่คนอื่นบอกไม่ได้ด้วย อธิบายไม่ได้ด้วย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ได้ยินอย่างนี้สนใจไหมที่จะรู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร น่าอัศจรรย์แค่ไหน ที่ทำให้จากไม่รู้เป็นความรู้ในสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าเริ่มเข้าใจพระธรรม ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงด้วย ไม่เปลี่ยน เพราะว่าความเข้าใจไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วก็จำ แล้วก็ท่อง แล้วก็เรียกชื่อ แต่ต้องเป็นความเข้าใจทุกคำอย่างละเอียด

    คุณรัก คุณจริยาค่ะ สภาพธรรมในความเป็นจริงตอนนี้ ที่คุณจริยาได้ศึกษามาบ้างแล้ว ได้รับประโยชน์อะไรจากตรงนี้บ้าง

    อ.จริยา คำว่าสภาพธรรมต้องเข้าใจก่อนว่า แปลว่าอะไร ดิฉันอยากจะให้ท่านอาจารย์คำปั่นช่วยขยายตรงนี้ เพื่อท่านผู้ฟังผู้ชมจะได้เข้าใจ

    อ.คำปั่น สภาพธรรมหรือว่าสภาวธรรม ก็เป็นคำๆ เดียวกัน ที่มีความหมายอย่างเดียวกัน แม้ว่าจะออกเสียงต่างกัน เขียนต่างกัน แต่ก็มาจากภาษาบาลีว่า สภาวธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ที่มีภาวะคือความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ อย่างเช่น ความเป็นจริงของโกรธ ก็เป็นโกรธ ใช่ไหม ไม่ใช่ความติดข้อง สภาพความจริงของปัญญาคือความเข้าใจอย่างถูกต้องก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงๆ มีความเป็นจริงของสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความหมายของสภาวธรรมหรือสภาพธรรมนั้นเอง

    อ.จริยา ตอนที่เริ่มฟังท่านอาจารย์ใหม่ๆ ก็สงสัยแล้วก็ไม่เข้าใจในคำว่า สภาพธรรมหรือสภาวธรรม ก็เคยไปกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ก็ขณะนี้เป็นอย่างไร สภาพธรรมที่มันเกิดขึ้นคืออะไร ถ้าถามตอนนั้นก็ได้ยินท่านอาจารย์พูด แล้วก็รู้สึกพอใจในสิ่งที่อาจารย์พูด หลังจากนั้นดิฉันก็พยายามฟัง แล้วก็ทบทวน แล้วก็ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็คือ หลังจากที่ฟังแล้วก็ได้พยายามทบทวนว่า สิ่งที่เราฟังเราต้องเอามาเทียบดูกับตัวเราเป็นอย่างไร แต่ฟังไปๆ ท่านอาจารย์ก็บอกว่าอย่างนั้นก็เป็นตัวเราอีก ในที่สุดก็ฟังแล้วพิจารณาสิ่งที่คิดว่าดิฉันได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นความชอบใจ ความโกรธ เข้าใจในสภาวะนั้นๆ ว่าความโกรธเป็นอย่างไร ใหม่ๆ ก็ท่องว่า ขณะนี้เป็นความเร่าร้อน เป็นความกระวนกระวาย ความที่ชอบใจ แต่ฟังไป พิจารณาไปนานๆ ก็ไม่ต้องไปท่อง เพราะว่าพอเกิดขึ้นก็ผ่านไปเสียแล้ว ตั้งนานแล้ว แล้วก็พิจารณาสิ่งเหล่านี้ซึ่งคิดว่า ได้ประโยชน์ตรงที่ว่า เมื่อไรที่เราพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะเวลาที่เรานั่งรับประทานอาหาร สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราได้ค่อยๆ พิจารณาตามคนที่พังใหม่ๆ ก็อาจจะท่อง ดิฉันคิดว่าเกือบจะไม่มีใครที่ไม่ท่องตอนที่ฟังใหม่ๆ แต่ในที่สุดการท่องก็จะค่อยๆ หายไป แล้วก็พิจารณาสิ่งเหล่านั้น แล้วก็เมื่อเราได้ฟังเพิ่มขึ้น พิจารณาสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้นบ่อยๆ ก็จะได้ค่อยๆ เข้าใจทีละน้อย กับคำที่ท่านอาจารย์พร่ำบอกพวกเราว่า ไม่ใช่ฟังด้วยความเป็นเรา

    แต่ดิฉันคิดว่าการที่จะศึกษาธรรมเบื้องต้นเลย ถ้าเริ่มตั้งใจศึกษาโดยฟังคำว่า ธรรมคืออะไร แล้วถ้าจำไม่ผิดท่านอาจารย์จะบรรยายที่ไหน สนทนาธรรมที่ไหน ท่านอาจารย์ก็จะเริ่มให้ความรู้ตั้งแต่ ธรรมคืออะไร คือความจริง จริงอย่างไร ความจริงมีอะไรบ้าง แล้วก็ต่อไปค่อยๆ เข้าไปถึงคำว่า จิต เจตสิก รูป สภาพธรรมของธรรมเหล่านั้น

    เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่า ถ้าตั้งใจ ใส่ใจ ที่จะสนใจที่จะศึกษาพระธรรม ยาก ไม่มีใครบอกว่าง่าย แต่ความยากนี้ ถ้าเรามีความสนใจ ใส่ใจ เราสามารถที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ แล้วสิ่งที่ดิฉันฟังท่านอาจารย์มาตลอด ทำให้มีกำลังใจในการฟังมาก คือท่านอาจารย์บอกทีละคำ คำนี้เป็นคำที่ดิฉันฟังแล้วใหม่ๆ แล้วจะทีละคำแล้วจะรู้เรื่องอะไร ท่านอาจารย์พูดตั้งแยะ แต่ในที่สุดก็เข้าใจ เพราะดิฉันก่อนเป็นคนตะเกียกตะกาย ได้ยินคำอะไรคำหนึ่ง อยากจะทราบไปหมดว่า แปลว่าอะไร เที่ยวไปค้นไปหา แล้วในที่สุดมันก็ลืม ลืมเพราะว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งเหล่านั้นจริงๆ ท่องแล้วก็พยายามไปหามีกี่ข้อ เหมือนเราเรียนกฎหมายสมัยก่อน ท่านอาจารย์ที่สอนกฎหมายท่านก็จะบอกว่าเหมือนกับต้นไม้ เหมือนเรายกมือขึ้น องค์ประกอบความผิดหนึ่งสองสามสี่ห้า เรียนธรรมดิฉันก็พยายามท่องแบบนั้น

    แต่ในที่สุดเพราะฟังท่านอาจารย์ สิ่งที่ดิฉันฟังมาทั้งหลายตั้งแต่ต้นจนจบจนถึง วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดิฉันต้องลืมให้หมด แล้วดิฉันก็ปิดสวิทซ์ แล้วก็เปิดสวิทซ์เพื่อฟังท่านอาจารย์ใหม่ แล้วก็ค่อยๆ ฟังด้วยความเบาสบาย ที่ไม่ต้องไปตะเกียกตะกายอีกแล้ว ทีละคำ ตายไปได้เข้าใจคำเดียว ดิฉันก็พอใจ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ฟังธรรมมีประโยชน์อยู่ที่ไหน เห็นไหม อยู่ที่ผู้ฟังได้เข้าใจ ประโยชน์อยู่ตรงที่เข้าใจ และเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมั่นคงจริงๆ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรอง เมื่อสักครู่นี้ก็ได้ฟังคำแปลของคำว่า สภาวธรรม แต่ก่อนอื่นต้องรู้ว่า ธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย เห็นไหม เราต้องคิดไตร่ตรอง ทำไมว่าจริง ไม่ใช่ปล่อยเลยไป แล้วฟังคำบอกเล่าของเขาอยู่ตลอดเวลาว่า เขาอธิบายว่าอย่างนี้ๆ ๆ เราก็จำไปว่าธรรมคืออย่างนี้ แต่ก็ไตร่ตรองเองได้ ทำไมจริง เพราะต้องมีลักษณะที่แสดงว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เห็นไหม กว่าจะไปเข้าถึงความหมายของสภาวะ ภาวะแปลว่าความเป็น สะแปลว่ามี เพราะฉะนั้นสภาวะมีความเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นพอได้ฟังอย่างนี้สภาวธรรมจะไปพบในพจนานุกรมหรืออะไรก็ตามแต่ เป็นเพียงคำพูด แต่ผู้ที่อ่านหรือผู้ที่ฟังจะขาดการไตร่ตรองให้เป็นประโยชน์แท้จริงของผู้ฟังได้เข้าใจคำนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเมื่อไร ที่ไหน ตำราเล่มไหน พระไตรปิฎกหน้าไหน พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า สภาวธรรมคืออย่างนี้ แล้วก็มั่นคงด้วย เพราะถ้าไม่มีลักษณะที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่สภาวธรรม เห็นหรือไม่ ค่อยๆ ไปทีละคำอย่างมั่นคง ภาวะความเป็น สะ มี เพราะฉะนั้นสภาวะ มีความเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น


    หมายเลข 10899
    3 ส.ค. 2568