002 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๒


    อ.อรรณพ ความเข้าใจก็ค่อยๆ สะสมขึ้น และความเข้าใจจะเป็นเครื่องจำแนกแยกแยะว่า อะไรถูกต้อง อะไรที่ไม่ถูกต้อง มิฉะนั้นเราก็ตามกัน เช่น คิดว่าพุทธศาสนาคืออะไรบ้าง ก่อนที่ได้ฟังพระธรรม คิดว่าพุทธศาสนาก็คือการให้มีศีล ๕ หรือมีศีล ๘ เดือนละ ๔ ครั้งอะไรอย่างนี้ วันพระถือศีล ๘ กันหรือบางทีก็ผสมว่า เราก็ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วก็เหมือนกับเป็นพุทธศาสนาดี หรือในเรื่องของการไปสำนักปฏิบัติ การทำสมาธิ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ก็ดูเหมือนว่าเป็นสัญลักษณ์หรือเป็นความเป็นพุทธศาสนา แต่เมื่อได้เข้าใจแล้วพุทธศาสนาคือปัญญา ที่เกิดจากการอาศัยพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ไว้เป็นมรดกอันล้ำค่า ที่จะเป็นที่อาศัย สะสมความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่า เพราะได้เข้าใจว่าธรรม ความจริงก็คือในขณะนี้ ถ้าเป็นของจริง ความจริง ไม่ต้องเลือกสถานที่ ไม่ต้องเลือกเวลา ความจริงนั้นตรง ตรงตามที่ปรากฏ อย่างเห็นมีจริง เถียงไม่ได้เลย กับคำพูดที่เลื่อนลอย ทั้งเป็นคำพูดในพุทธศาสนามาแปลงบ้าง หรือเป็นความเห็นส่วนบุคคลก็แตกต่างกันไป

    ท่านอาจารย์ครับแต่ก่อนแยกไม่ออกจริงๆ ว่าปรัชญาคำคมต่างกับพระพุทธศาสนาอย่างไร จริงๆ อยากจะเรียนอาจารย์คำปั่นช่วยแปลด้วยว่า ปรัชญาคืออย่างไร แล้วพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญาอย่างไร กราบเรียนถึงอาจารย์ด้วย

    อ.คำปั่น ขออนุญาตกล่าวถึงพยัญชนะก่อนว่า ปรัชญาที่กล่าวถึงนี้คืออะไร ซึ่งก็จะมีผู้ที่ให้ความหมายไว้หลากหลายท่าน ที่กล่าวถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องของศาสตร์ต่างๆ บ้าง ในเรื่องของชีวิต ในเรื่องของการงาน ในเรื่องของการศึกษาบ้าง เขาก็ให้ความหมายว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจ ความรู้ ความเห็น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ซึ่งถ้ากล่าวถึงคำนี้ ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนาเลย เพราะว่าเป็นเรื่องของแนวคิดส่วนบุคคลหรือว่ากลุ่มต่างๆ แค่นั้นเอง ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรมเลยแม้แต่น้อย

    เพราะว่าเป็นเรื่องความคิดความเชื่อ ความเห็นของแต่ละบุคคล ของแต่ละกลุ่ม ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าผู้ที่เป็นนักปรัชญาทั้งหลายไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้ความจริง จึงมีคำสอน จึงมีความคิด ความเห็น ตามที่ตนเองได้ศึกษา ตามที่ตัวเองได้สะสมมา ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้องในความเป็นจริงของธรรม ซึ่งจะเทียบไม่ได้เลยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริงให้กับสัตว์โลกได้เข้าใจอย่างถูกต้อง

    อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ก็ได้คุยกับอาจารย์จริยา ก่อนที่เราจะมาสนทนากัน เขาใช้คำว่า พุทธปรัชญา ใช่ไหม เขาใช้กันเดี๋ยวมีไหม พุทธปรัชญา มีคำอย่างนี้ในพระไตรปิฎกไหม หรือคำสอนพระพุทธเจ้า พุทธะ เป็นปรัชญาหรือไม่

    อ.คำปั่น จริงๆ คำนี้ไม่ปรากฏในคำสอนทางพระพุทธศาสนาเลย ไม่มีคำนี้ในพระพุทธศาสนา มีแต่คำว่าพุทธะ ซึ่งก็แสดงถึงบุคคลผู้ที่ตรัสรู้ความจริง แต่ถ้ากล่าวโดยละเอียด พุทธะก็จำแนกออกเป็น ๓ ประเภท ก็คือหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกสิ่งทุกอย่างโดยชอบด้วยพระองค์เอง อันนี้คือประการหนึ่ง ประการต่อมาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเอง แต่ว่าพระบารมีไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และอีกประการหนึ่งก็คืออนุพุทธะ หรือสาวกพุทธะ ก็คือ ผู้ที่ตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เกิดในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าได้ฟังคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นี่คือพุทธะ ๓ ประเภท แล้วก็ที่กล่าวถึงพุทธสูงสุด ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีคำนี้ สัมมาสัมพุทธะ มีคำนี้ แล้วก็คำสอนที่พระองค์ทรงแสดงก็มี ที่เรียกว่าพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ได้ประกาศตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ซึ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นคำว่า พุทธปรัชญา ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่มีคำว่าพุทธะ มีคำว่าพระพุทธสาสนา

    คุณรัก เราจะเห็นยุคปัจจุบันหลายๆ ที่หรือว่ามีคำสวยๆ เยอะแยะมากมายเลย จะเอาไปเกี่ยวโยงกับด้านของพระอภิธรรมบ้าง เกี่ยวโยงกับเรื่องปรัชญาบ้าง อะไรต่างๆ คนที่ฟังธรรมแล้วอาจจะยังไม่ได้เริ่มศึกษาจริงจัง ก็จะฟังแล้วก็ดูดีไปหมดเลย

    อ.อรรณพ แยกไม่ออก

    คุณรัก แล้วแยกไม่ออกจริงๆ ว่าแล้วตรงไหนที่พอจะทำให้พวกเขาเหล่านั้นพอฟังแล้วจะรู้และตรงว่าไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องคิดและไตร่ตรอง พุทธปรัชญา ปรัชญาเป็นความคิดใช่ไหม ของแต่ละคน

    อ.คำปั่น ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพุทธปรัชญา จะเป็นแค่ความคิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้าเลย คำสอนทุกคำไม่ใช่ไตร่ตรอง คิดอย่างคนที่เป็นนักปรัชญาทั้งหลาย ชาวโลกจะเก่ง มีความสามารถสักเท่าไรก็ตาม ไม่ได้รู้ความจริง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว คำนั้นต้องมาจากปัญญาที่รู้ความจริงจนดับกิเลสหมด เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นคำจริงที่ลึกซึ้ง จะไม่มีคำว่า พุทธปรัชญา แต่จะมีพุทธศาสนา คำสอนของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว นี่เป็นความต่างกันมาก ระหว่างที่จะเปรียบเทียบเข้าใจว่า พุทธปรัชญาเทียบกับปรัชญาอื่นๆ และคิดว่านี่คือแนวของพุทธะ คือความคิด การไตร่ตรองที่มาจากความเข้าใจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย จากการทรงตรัสรู้ ห่างไกลกันมากระหว่างความคิดกับการตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวได้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำ อย่างเมื่อสักครู่นี้แม้แต่คำว่า ปรัชญา ความคิด แนวความคิด พุทธะ ถ้าพุทธปรัชญาก็แค่แนวความคิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นี่ไม่ใช่เลย เป็นการตรัสรู้จึงมีพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่พุทธปรัชญา ใครจะไปบอกว่าพุทธศาสนาเป็นพุทธปรัชญา ผิด ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจอะไรเลย

    ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อนไปด้วยความประมาท ว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว แต่ความจริงไม่เข้าใจสักอย่าง ถ้าไม่ได้ศึกษา

    อ.จริยา ตรงนี้ถ้าสมมติว่าเราแยกให้ชัดจริงๆ อย่างนี้ใช่ไหมว่า ปรัชญาก็เป็นเรื่องของความคิดของคน ซึ่งคิดขึ้นมาเอง แล้วก็สามารถจะเปลี่ยนได้เสมอตามยุคตามสมัย แต่พุทธศาสนาซึ่งจะเอามาเปรียบกับปรัชญาไม่ได้ เพราะว่าพุทธศาสนาคือความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ขึ้น แล้วความจริงนั้นเป็นความจริงแท้ อย่างที่ท่านอาจารย์เคยถ่ายทอดเสมอว่า ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม ตรงนี้ใช่ไหม ที่จะแยกให้เห็น เวลาที่ใครมาพูดกับเราเรื่องปรัชญากับพุทธศาสนา ว่าเหมือนกันก็เป็นวิชาแห่งความจริงเหมือนกัน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าใครจะพูดก็ตาม เขาเป็นใคร และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ เราจะเลือกฟังคำของใคร

    อ.จริยา คนที่เขายังไม่ได้ศึกษาเลย เขาก็ชอบเอาคำเพราะๆ อย่างที่ท่านอาจารย์อรรณพกล่าว เพราะฉะนั้นคำที่เกี่ยวกับปรัชญาก็จะเป็นมีคำต่างๆ ที่ไพเราะมาก คนก็จะชอบใจในคำต่างๆ เหล่านั้น ถ้าเราบอกเขา ให้ความรู้กับเขาอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวก็คือว่า พุทธศาสนาเป็นเรื่องของความจริงที่มาจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วกว่าพระองค์จะตรัสรู้ ต้องบำเพ็ญพระบารมีมานานแสนนานอย่างนี้ พอที่จะให้เขาเข้าใจได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ถึงเวลาที่เขาจะตัดสินใจ เขาจะฟังคำของใครหรือว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ถ้าจะให้ชัดเจนลงไปก็คือว่า ปรัชญาจากความคิดไตร่ตรองของ เรียกว่านักปรัชญา นักคิด นักตรึก ซึ่งท่านก็จะคิดไป แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่ท่านอาจารย์จริยากล่าว ส่วนพระพุทธศาสนาจากการตรัสรู้ แต่เรายังไม่ได้สนทนากันว่า ตรัสรู้นี่คืออะไร แล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรอย่างไร จึงมีคำว่าต่างกันระหว่างตรัสรู้กับการตรึกนึกคิด

    ท่านอาจารย์ ตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง จะเอาปรัชญาไหนมาแสดง ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ได้

    อ.อรรณพ ความคิด ความตรึกไม่สามารถที่จะอธิบายความจริงในขณะนี้ได้อย่างไร แล้วการตรัสรู้เท่านั้นจึงจะสามารถแสดงความจริง

    ท่านอาจารย์ ก็กล่าวได้ไม่ว่าใครที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม พูดคำที่ไม่รู้จักทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จะเป็นนักปรัชญาหรือจะเป็นใครก็ตามทั้งหมด แต่ละคำเป็นคำที่เขาไม่รู้จักทั้งนั้น เขาคิดว่าเขารู้จักและเข้าใจ ถ้าเทียบกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องห่างกันไกลมาก และเมื่อเข้าใจธรรมแล้วก็รู้เลยว่า เขาพูดคำที่แม้ผู้พูดเองก็ไม่รู้จัก มิฉะนั้นแล้วคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีความหมายเลย เหมือนคำทั่วๆ ไปของคนทั่วๆ ไป เพียงแต่เหนือคนทั่วๆ ไปด้วยความฉลาด ด้วยการไตร่ตรอง แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของคำว่าตรัสรู้

    อ.อรรณพ เลยนึกถึงอย่างนี้ว่า พระพุทธพจน์ก็คือ คำกล่าวของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ไหม กับปรัชญาต้องไม่เหมือนกันแน่ เลยนึกถึงพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เรื่องการที่พุทธศาสนาจะค่อยๆ ถูกปรับเปลี่ยนไปที่เปรียบเทียบเหมือนกลองว่า การที่คนไปนิยมปรัชญาก็เป็นการที่จะทำให้ทำลายพระพุทธพจน์ อยากให้อาจารย์คำปั่นได้กล่าวถึงสูตรนี้ด้วย จะได้เห็นว่า ปรัชญาไม่ใช่พุทธพจน์แน่นอน ก็จะได้มีหลักฐานด้วย

    อ.คำปั่น ก่อนที่จะกล่าวถึงพระสูตรนี้ ก็ขออนุญาตกล่าวถึงความหมายของคำว่า ตรัสรู้ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวในความละเอียด ซึ่งในความหมายของตรัสรู้ก็คือ เป็นการรู้อย่างแจ่มแจ้งตามความเป็นจริง ซึ่งในพยัญชนะที่กล่าวถึงก็จะมีหลากหลายคำมากก็คืออย่างเช่น พุทธะก็คือรู้ รู้ด้วยปัญญา แล้วก็อีกคำหนึ่งที่แสดงถึงความชัดเจนก็คือ ปะฏิวิชฌะติ หมายความว่าเป็นการแทงตลอดในสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง ก็เป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้น ที่จะรู้อย่างแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็คือเป็นการรู้ธรรมตามความเป็นจริงนั่นเอง

    พระสูตรที่อาจารย์อรรณพได้กล่าวถึง ก็คือในอาณีสูตร ที่กล่าวถึงว่าพระพุทธศาสนาจะลบเลือนเสื่อมสูญไปด้วยเหตุอะไร เปรียบเหมือนกับตะโพน เมื่อมีการชำรุดก็จะมีการซ่อมแซมด้วยเอาไม้ไปปะ จนกระทั่งเนื้อกลองเดิมไม่เหลือเลย มีแต่สิ่งที่ปะๆ เข้าไปใหม่ ซึ่งก็เปรียบเหมือนกับเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยละเอียด ที่กล่าวถึงความเป็นอนัตตาคือความไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดก็คือการรู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสตามลำดับขั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องของปัญญาโดยตลอด แต่ว่าสาวกไม่ฟัง ไม่ตั้งใจฟังในคำจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ไปสนใจที่จะไปฟังคำของบุคคลอื่น เป็นคำของนักปรัชญา เป็นคำของนักกวี ที่ใช้ถ้อยคำวิจิตรสละสลวย ซึ่งในที่นั้นแสดงว่า เป็นคำสอนของผู้ที่นอกเหนือจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ว่าสาวกก็สนใจที่จะฟัง ที่จะศึกษา ก็ทำให้ไม่สนใจที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ ก็คือคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เมื่อไม่ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร ไม่มีทางที่จะเข้าใจ แล้วยิ่งไปฟังคำอื่นที่ไม่ทำให้เข้าใจความจริง ก็เป็นการบิดเบือน ไม่สนใจคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำให้คำสอนของพระองค์ลบเลือนเสื่อมสูญไป

    ท่านอาจารย์ คุณคำปั่นกล่าวว่า สมัยนี้เป็นอย่างนี้ใช่ไหม

    อ.คำปั่น เป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีตัวอย่าง

    อ.คำปั่น ใช่ ก็ชัดเจนมากในเรื่องของความไม่รู้ความจริง ก็คือไปสนใจที่จะฟังคำอื่น อย่างเช่น คำชักชวนของผู้อื่นว่า ต้องไปสำนักปฏิบัติจึงจะเข้าใจธรรม ต้องไปทำตามคำบอกของผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ไปนั่งอย่างนั้น ไปกำหนดอย่างนั้นอย่างนี้ ก็คือทำลายพระศาสนา

    คุณรัก หลายๆ คนต้องการความง่าย ต้องการที่จะทำไมเราถึงต้องมานั่งฟังคำบาลียากๆ ทำไมเราจะต้องมาเรียนรู้อะไรที่มันยากๆ ทำไมไม่คิดว่าคนทั่วๆ ไป เวลาอธิบายให้ทำความดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถือศีลง่ายกว่า แล้วก็ทำได้เป็นส่วนใหญ่ด้วย ก็ทำพร้อมๆ กันเยอะๆ ก็ยังได้ แต่การที่จะเข้าใจแต่ละหนึ่งๆ แล้วก็มาศึกษาแต่ละคำ มันช้า แล้วมันยากสำหรับคนทั่วไป

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าได้อะไร ได้ความไม่รู้เมื่อไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะไปที่ไหนอย่างไรก็ตาม ถึงมหาวิทยาลัยไหน สำนักปฏิบัติใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจก็ได้ความไม่รู้ สนทนากันก็ได้ ดูสิว่าได้อะไร บอกว่าได้ความสบายใจ ได้ความสงบ ความสบายใจเป็นอย่างไร ความสงบเป็นอย่างไรก็คิดเอง แต่ไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้สงบหรือเปล่า สบายใจหรือเปล่า เมื่อเดี๋ยวนี้ไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร เพราะว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิต

    คุณรัก ความประมาท คือความผิวเผินในการศึกษา

    ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะบอกว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา พระองค์ตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง หมายความว่าจะเห็นพระองค์ รู้จักพระองค์ต่อเมื่อเข้าใจธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ใช่ไปคิดกันเอาเอง ใครก็ตามที่คิดเองไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ และนี่ก็คือตะโพน ใช่หรือไม่ ที่ค่อยๆ แทรก ที่ค่อยๆ ปะ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนไม่เหลือในที่สุด

    คุณรัก นึกถึงครอบครัวหนึ่ง สมมติว่าเป็นครอบครัวเล็กๆ คุณพ่อคุณแม่มีลูกสัก ๕ คน ก็เลี้ยงลูก ก็ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ โดยที่อาจทำความดี วันนี้ไปทำทานกัน ทำทานคือทางหนึ่งของการทำความดี อย่างนี้ง่ายกว่าที่มานั่งพูดให้ลูกๆ ทั้ง ๕ คน มาพูดทีละคนว่า ทานคืออะไร รู้หรือยัง และอะไรคือความดีจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แต่ก่อนไปทำทาน ลูกพูดดีหรือเปล่า กิริยาอาการที่แสดงต่อพ่อแม่ดีหรือเปล่า ก่อนไปทำทาน ก็ไม่รู้ใช่ไหม ว่าจะดีได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว มีแต่บอกให้ทำและอยากได้ คิดว่าทำแล้วได้ ทุกคนก็ต้องการได้ แต่ไม่รู้ความจริง ไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ที่จะเข้าใจความจริงในขณะนั้นทุกขณะ ไม่ว่าจะขณะใดทั้งสิ้น ต้องไม่ลืมเลย ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะ ถ้าไม่ดีก็คือขณะนั้นไม่ดี จะดีไม่ได้ ขณะต่อไปจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเรื่อยๆ ไป

    อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ปรารภว่า น่าจะมีตัวอย่าง ปรัชญา บทกวี อะไรต่างๆ คนไปนิยมกัน แล้วก็เลยไม่ได้ใส่ใจ สนใจ ที่จะศึกษาพระพุทธพจน์ ซึ่งเป็นคำจริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ข้อความนี้ก็มีในพระไตรปิฎก เมื่อชาวโลกสนใจในคำเพราะๆ ต่างๆ ของกวีต่างๆ ก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ

    อ.อรรณพ ผมจะยกตัวอย่าง เขาแต่งได้คล้องจอง ฟังดูก็ดูมีประโยชน์ในการทำงาน ในชีวิตประจำวัน เช่น อยู่ให้มีศักดิ์ศรี ดีให้มีคุณค่า บ้าให้มีเหตุผล ทนให้มีเป้าหมายและตายให้มีคนจำ

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักสักคำ ใครรู้จักคำไหนบ้าง

    คุณรัก ต้องมานั่งพูดทีละคำเลย แต่ละคำๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งๆ จะมีโลกไหม จะมีคนไหม เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก ถ้าจะเข้าใจต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าคิดว่าเข้าใจได้ง่ายๆ เผินๆ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่รู้สักคำที่พูด แต่คนฟังเขาคิดว่าเขารู้ อย่างผมจะสะท้อนสมมติผมจะคิดแทนเขา ว่าเขาคิดว่าอยากเช่น อยู่ให้มีศักดิ์ศรี ก็คืออยู่ก็จะต้องทำอะไรให้มีการยอมรับจากในสังคมนั้นๆ ไม่ใช่อยู่ทำงานก็ทำงานไป ไม่มีอะไรอย่างนี้ ก็ต้องควรจะทำงานให้มีผลงานให้โดดเด่น เพื่อให้มีศักดิ์ศรี มีตำแหน่งให้คนยอมรับ เขาก็บอกว่าเข้าใจได้ ท่านอาจารย์ทำไมจะกล่าวว่าไม่รู้จักสักคำ

    ท่านอาจารย์ อยู่คืออะไร

    อ.อรรณพ ก็อยู่อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จัก ไม่รู้จักอะไรเลย

    อ.อรรณพ ก็อยู่ ก็ตื่นมาก็ทำงานไป

    ท่านอาจารย์ ตื่นคืออะไร ไม่รู้จัก

    อ.อรรณพ เขาก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่คนเขาก็รู้อยู่แล้ว ว่าตื่นก็ตื่นก็คือตื่น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเขารู้อย่างนี้มาแล้วแสนโกฏิกัปป์ รู้อย่างนี้ๆ ตื่นมาก็อยู่ไปวันๆ หนึ่ง สุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วจะอยู่ต่อไปอีกแสนโกฏิกัปป์ โดยรู้อย่างนี้ๆ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพระเจ้าทรงตรัสรู้แม้ อยู่คืออะไร

    อ.อรรณพ จากการที่อยู่คืออะไร อยู่ตามที่คนเขาคิดมาแสนโกฏิกัปป์ แล้วก็อยู่อย่างนี้ แล้วอยู่จริงๆ ในทางพระธรรม ท่านอาจารย์ยกสักคำ

    ท่านอาจารย์ อยู่จริงๆ ก็คือ เดี๋ยวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าความจริงคืออะไร

    อ.อรรณพ แล้วอะไรที่อยู่ อยู่คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้เลย มืดบอดหมด ไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น ถูกปกปิดแน่นหนาทึบด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำที่จะเปิดเผยสิ่งที่มีที่เคยไม่รู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์ เกิดอีกไม่รู้อีกก็เป็นอย่างนี้อีกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ แล้วโดยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอาจารย์จะเปิดเผยสักคำได้ไหมว่า อย่างเช่น อยู่ ในทางพระธรรมคำสอนจริงๆ คืออย่างไร ขณะนี้คุณอรรณพมีอะไรปรากฏ ที่มีเดี๋ยวนี้ ที่อยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้หายไป กำลังอยู่เดี๋ยวนี้คืออะไร

    อ.อรรณพ ก็เห็นท่านอาจารย์ เห็นโต๊ะ

    ท่านอาจารย์ เห็นก่อนใช่ไหม

    อ.อรรณพ เห็นก่อน ใช่

    ท่านอาจารย์ มีจริงไหม

    อ.อรรณพ มีจริง

    ท่านอาจารย์ เห็นอยู่ไหม

    อ.อรรรณพ ก็คิดว่าเห็นอยู่อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เห็นอยู่ ขณะได้ยิน เห็นอยู่หรือเปล่า

    อ.อรรณพ เหมือนกับพร้อมๆ กัน

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องไตร่ตรอง เห็นไม่ใช่ได้ยินแน่ ต้องอาศัยตา ได้ยินต้องอาศัยหู เกิดพร้อมกันไม่ได้แน่นอน

    อ.อรรณพ โดยไตร่ตรองก็คล้อยตามได้ เช่นบางครั้งเราสนใจฟังเสียงอะไรอยู่ เหมือนของอยู่ข้างหน้า เราก็ยังไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้นก็พอจะคล้อยตามว่าขณะที่เห็น ต้องไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราทั้งนั้น

    อ.อรรณพ เราที่เห็น เราที่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เราเกิด เราตาย ธรรมดา ใครก็พูดได้ นักปราชญ์คนไหนก็พูดได้ ไม่ได้แสดงความจริง เห็นไหม สิ่งที่มีจริง

    อ.อรรณพ ซึ่งจากข้อความที่ว่า อยู่ แค่คำแรกที่ว่าอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ยังไม่ต้องพูดถึงคำว่า แค่คำว่าอยู่ ยังไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ ก็เป็นตัวเราที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึกอะไรต่างๆ ก็มีในความไม่รู้ แล้วก็คิดว่าเป็นตัวเราที่อยู่อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วคนจะรู้ไหม ว่านี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เริ่มเข้าใจถูก แม้แต่เกิดตายหรือยังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้รู้ว่าความจริงคืออะไร เป็นเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นชาวพุทธก็คงจะได้ยินคำ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา


    หมายเลข 10898
    30 ก.ค. 2568