006 คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เรื่อง ธรรมเบื้องต้น
วันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๖
คุณทวีศักดิ์ อีกกรณีหนึ่งที่มีการทำบุญตักบาตรกันตามสถานที่ต่างๆ ตามชุมชนหรือตามตลาด อุบาสก อุบาสิกา ก็มีความตั้งใจและมีจิตเป็นกุศล และอยากจะทำบุญตักบาตร แต่ว่าในตลาดหรือในย่านชุมชนต่างๆ ก็จะมีลักษณะนี้ ซึ่งก็กราดเกลื่อนเห็นกันทั่วไป คือว่ามีภิกษุบิณฑบาตรเมื่อรับแล้วของบิณฑบาตรเหล่านั้นไม่ได้นำกลับไปวัด แต่กลับเวียนไปหาพ่อค้าแม่ค้า อุบาสก อุบาสิกาที่เห็นภิกษุเป็นเนื้อนาบุญ เมื่อไปตักบาตรก็มีความรู้สึกไม่สบายใจในลักษณะนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งทั้ง ๓ ประการที่ยกตัวอย่างหนึ่ง ผมเองก็คิดว่า ที่จริงเป็นพระวินัยที่ภิกษุจะต้องรักษา ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่การปกครองของสงฆ์ก็ไม่ได้ลงมาจัดการดูแลให้ถูกต้อง ก็มีผู้คนไม่น้อยที่มองถึงกฎหมายว่า ประเทศไทยเรามีปัญหาทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การทุจริตคอร์รัปชั่น การทำอะไรที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม แต่กรณีนี้เป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา ก็มีผู้ที่คิดว่า พระพุทธศาสนาน่าจะได้รับการเอาใจใส่ดูแล ก็อาจจะต้องมีการปฏิรูปองค์กรสงฆ์หรือการปกครองของสงฆ์ เพื่อให้สงฆ์เป็นที่เคารพ เป็นที่ศรัทธาอย่างแท้จริงของอุบาสก อุบาสิกา ในเรื่องนี้ท่านอาจารย์ความเห็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ความหมายของปฏิรูปในความหมายที่แก้ไขสิ่งที่บกพร่อง ผิดพลาดให้ดี เพราะฉะนั้นก่อนอื่นชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เห็นประโยชน์ ไม่ได้เห็นคุณของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ละเลย ไม่มีใครที่จะศึกษาพระธรรมเลย มีความสุขไปวันๆ หนึ่งกับเรื่องต่างๆ โดยลืม ทอดทิ้ง ละเลยว่า ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งควรที่เราจะได้เข้าใจให้ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ละเอียด ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ เพื่อที่จะไม่ให้คลาดเคลื่อนจากความถูกต้อง
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ชาวพุทธ คนที่กล่าวว่าเป็นชาวพุทธ หรือมีชื่อว่าเป็นชาวพุทธ จะได้ตระหนักว่า พุทธะ ต้องเป็นความรู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธก็คือต้องเป็นผู้รู้ รู้ได้อย่างไรด้วยตนเอง ไม่มีทางเป็นไปได้เลย นอกจากศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยละเอียด โดยถูกต้องทุกคำ แล้วก็ทีละคำด้วย เพราะว่าธรรมลึกซึ้งมาก ถ้าเราไม่ศึกษาทีละคำ เราก็เข้าใจว่าเรารู้แล้ว แต่ไม่ละเอียดก็ผิดพลาดพลั้งไปได้ ไม่เคารพในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้การศึกษาพระธรรม ต้องระมัดระวังรอบคอบพิจารณาไตร่ตรองเป็นเหตุเป็นผล ไม่คัดค้านกันเลย เพราะว่าธรรมทั้งหมดเป็นความจริงที่ต้องสอดคล้องกัน ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างนี้ ปัญหาทั้งหลายก็จะน้อยลง เพราะเหตุว่าปัญหาทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้ เกิดจากการที่เรามีกิเลสมากมายและก็เห็นแต่กิเลสของคนอื่น แต่กิเลสของตนเองยากที่จะเห็นได้ เพราะฉะนั้นการขัดเกลากิเลสที่จะสำเร็จได้ ก็คือแต่ละคนต้องขัดเกลากิเลสของตนเองด้วยความเข้าใจพระธรรม เพราะถ้าไม่เข้าใจพระธรรมอะไรก็ขัดเกลากิเลสไม่ได้ เช่นบุญ ถ้าไม่รู้ว่าบุญคืออะไร บุญคือสภาพธรรมที่ชำระจิต โดยการเช่นถ้าเป็นทานก็เสียสละให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น แต่ต้องรู้ด้วยว่า ต้องเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น และบุคคลนั้นเป็นใคร ต้องมีความเข้าใจแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ละเอียด เช่น ภิกษุเป็นใคร ถ้าภิกษุไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ผู้นั้นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะภิกษุเป็นผู้ที่จะเข้าใจธรรม โดยการที่ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ถ้าไม่ทำกิจนี้ จะเป็นภิกษุได้หรือ ก็เป็นไปไม่ได้เลย
คุณทวีศักดิ์ เป็นไปไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่จะทำบุญ ถ้าเราไม่รู้จักว่าบุญคือขณะนั้น เรามีความหวังดี แล้วก็มีการสามารถให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ใช่เป็นการซื้อขาย ไม่ใช่ว่าเราทำบุญเท่านี้ แล้วเราก็จะได้ผลบุญเท่านั้น แล้วก็หวังผลของบุญมากๆ ก็เสียเงินมากๆ คิดว่าทำบุญมากๆ แล้วก็จะได้สิ่งที่ดี นั่นเป็นความต้องการ ซึ่งไม่มีวันพอ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นก็มีคำสอนของคนที่ไม่รู้ ที่เข้าใจผิด ส่งเสริมให้คนทำบุญมากๆ แต่ไม่ได้ให้เขาเข้าใจอะไรเลยว่า ที่จริงบุญไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่เราให้ แต่อยู่ที่สภาพจิต ที่สามารถที่จะขัดเกลาความตระหนี่ ด้วยการที่ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่กรุณาคนอื่น เขาตกทุกข์ได้ยากก็เมินเฉย ไม่ช่วยเหลือ นั้นก็คือว่าไม่ใช่บุญ บุญก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่ใช่เพียงแต่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เงินทองทรัพย์สิน แต่แม้แต่การที่จะมีความนอบน้อม จิตขณะนั้นอ่อนโยน หรือว่ามีการช่วยเหลือคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นบุญ การศึกษาธรรมเพื่อที่จะเข้าใจธรรมก็เป็นบุญ ทุกอย่างที่ดี ที่จะขัดเกลาความไม่รู้ และกิเลสออกไปก็เป็นบุญ แต่ไม่ใช่ว่าด้วยความต้องการหรือด้วยความโลกที่อยากได้บุญ นั่นก็คือไม่ใช่บุญ ความอยากได้ ความโลภ ความต้องการ ไม่ใช่บุญ
คุณทวีศักดิ์ อย่างการที่ชาวพุทธเป็นผู้ที่ไม่รู้ เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เกิดความเข้าใจ ในการบูชาทางพระพุทธศาสนาที่มีสองประการก็คือ อามิสบูชากับปฏิบัติบูชา ชาวพุทธส่วนใหญ่ล้วนให้น้ำหนัก ให้ความสำคัญไปที่อามิสบูชาอย่างเดียว แต่ละเลยเรื่องการปฏิบัติบูชา ในเรื่องนี้ท่านอาจารย์จะชี้แนะ แนะนำอย่างไรบ้าง เพื่อที่เขาจะมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็จะได้พัฒนาจิตใจ ยกระดับให้เขาเป็นผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตได้ อย่างไม่เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ อะไรก็ยกระดับไม่ได้ นอกจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ยกระดับจากความเป็นผู้ไม่รู้ สู่ความเป็นผู้เริ่มรู้ แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ก็ยังอยู่ในระดับเดิม เพราะฉะนั้นเรื่องของการให้ทาน ทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธ เพราะชาวพุทธก็ไม่เข้าใจคำว่า ทาน หรือบุญ หรือกุศล แต่มุ่งจะได้รับสิ่งที่สละไปกลับมาตอบแทน เหมือนกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนชนิดหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ใช่บุญ
เพราะฉะนั้นธรรมไม่ได้จำกัดเชื้อชาติ ไม่ได้จำกัดบุคคล เป็นสิ่งที่มีจริง เปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือใครก็ตามแต่ ชาวพุทธหรือไม่ใช่ชาวพุทธก็ตาม ซึ่งจริงๆ ก็เป็นชาวพุทธแต่เพียงในนาม ยังไม่ใช่ชาวพุทธจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกคนที่ยังไม่ได้เข้าใจพระพุทธศาสนาก็คือ ถ้าจะเรียกตัวเองว่าชาวพุทธ ก็ชาวพุทธในนาม ไม่ใช่ชาวพุทธจริงๆ แต่ถ้าใครก็ตาม แม้ไม่ได้เกิดมาโดยพ่อแม่เป็นพุทธ แต่เขาเข้าใจธรรม เขาขัดเกลากิเลส เขาก็เป็นชาวพุทธ เป็นชาวพุทธมากกว่าชาวพุทธในนามด้วย
ด้วยเหตุนี้ พระธรรมไม่ได้จำกัดเชื้อชาติ ศาสนาใดๆ เลยทั้งสิ้น เหมือนกับเห็น จะนับถือศาสนาอะไร เกิดที่ไหน ภาคอะไร ก็เปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยิน ไม่ได้ เปลี่ยนความโกรธให้เป็นความเมตตา ไม่ได้ ธรรมตรงตัว ที่มีปัจจัยทำให้ปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครก็ไปเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเราใส่น้ำปลาหรือเกลือมากไป แล้วจะไม่เค็มก็ไม่ได้ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สภาพธรรมเกิดได้ ถ้าทำให้สภาพธรรมเกิดได้ ทุกคนก็ทำให้ความดีเกิด ไม่ให้มีความชั่วเกิดเลย ต้องเข้าใจอย่างละเอียดยิ่งเลย เพราะฉะนั้นสำหรับการบูชา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออะไร ถ้าตรัสรู้โดยพระองค์เอง แล้วเป็นเพียงพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้ประกอบด้วยพระญาณ พระทศพลญาณ ที่หาบุคคลอื่นเปรียบไม่ได้ ผู้นั้นก็ไม่แสดงธรรมโดยละเอียดยิ่ง โดยนัยของขันธ์ คือเดี๋ยวนี้ โดยนัยของอายตนะคือเดี๋ยวนี้ โดยนัยของอริยสัจจะคือเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจได้ ธรรมคือเดี๋ยวนี้ เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หมดแล้ว ไม่สามารถที่จะกลับไปอีกได้เลย ดับเลย คือเลย และสิ่งที่ยังไม่เกิด ก็ยังไม่เกิดขึ้น แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ความรู้ทั้งหมด ความเข้าใจทั้งหมด ต้องรู้ว่ากำลังฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงทุกประการ เช่นแม้แต่ในเรื่องของการบูชา พระผู้มีพระภาคบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์จนได้ตรัสรู้เพื่อเรา เพื่อใครก็ได้ ที่มีโอกาสที่จะได้เห็นประโยชน์และฟังธรรม แล้วเข้าใจ ถ้าทรงแสดงธรรมโดยไม่มีใครเข้าใจ จะมีประโยชน์ไหม
คุณทวีศักดิ์ ไม่มีประโยชน์
ท่านอาจารย์ เพียงแค่ท่องจำตามๆ กัน นั่นไม่ใช่พุทธประสงค์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเพื่อให้บุคคลเข้าใจจริงๆ แต่ต้องไตร่ตรอง ต้องคิด ต้องพิจารณาเหตุผล จริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าให้เชื่อตามๆ กัน หรือให้เชื่อเลยไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องเข้าใจ บูชาสูงสุดก็คือบูชาด้วยการศึกษาธรรม เข้าใจธรรม เพราะนั้นเป็นพระพุทธประสงค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญจนกระทั่งถึงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เราเข้าใจ
เพราะฉะนั้นเราจะบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน พระองค์ไม่ได้ต้องประสงค์สิ่งใด ไม่ต้องการดอกไม้ที่เพียงจากใคร แต่จากการที่จะมีโอกาสให้เขาได้รู้ความจริงสมความปรารถนาที่เป็นมหาโพธิสัตว์ คือ เพื่อที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย บูชาด้วยดอกไม้ เงินทอง ทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ดับกิเลสแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้มีความหมายเหมือนอย่างคนที่ยังติดข้องที่ต้องการอย่างนั้น แต่สิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นคือความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง
เพราะฉะนั้นใครก็ตามเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความรู้ว่าชาวพุทธต้องรู้ ไม่ใช่ชาวพุทธไม่รู้อะไร ไม่เรียนอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งที่กว่าจะได้ตรัสรู้ ก็ใช้เวลานานมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง โดยความละเอียดลึกซึ้ง โดยการไม่บิดเบือน โดยการไม่เข้าใจไขว่เขว่ จึงจะรักษาพระศาสนาไว้ได้ เพราะฉะนั้นอามิสบูชา ดอกไม้ ธูปเทียนไม่มีประโยชน์ เท่ากับการเข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเป็นปฏิปัตติ
คุณทวีศักดิ์ ปฏิบัติบูชา ปฏิปัตติหมายถึงว่าการศึกษาพระธรรมหรือธรรม เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ท่านอาจารย์ จนถึงการดับกิเลส ถ้าจะดับกิเลสโดยที่ไม่มีความรู้ เป็นไปไม่ได้ มิเช่นนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ไปดับกิเลสกัน โดยไม่ทรงแสดงธรรมอะไรเลย
คุณทวีศักดิ์ ก็เป็นจุดเริ่มต้นหลังจากที่มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เราเองก็เป็นผู้ที่ศึกษา เรียนรู้ เพื่อมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ผลที่จะตามมาก็คือความเห็นถูก เป็นจุดเริ่มต้นอย่างนั้นหรือไม่ คือการศึกษาธรรมก็จะมี คือในพระพุทธศาสนานั้นก็จะประกอบด้วยเหตุและผลเสมอ การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม แล้วก็มีความเข้าใจ ก็จะนำไปสู่ผลในเรื่องดับความไม่รู้ มีความเห็นถูก
ในเรื่องของการศึกษาพระธรรมนั้นเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ของภิกษุเท่านั้น แต่ว่าอุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องมีหน้าที่ในการศึกษาพระธรรม เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่หลงผิด จะได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทาง ส่วนจะเกิดผลมากมายเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการสะสม และความเพียรของแต่ละท่าน
เมื่อสักครู่พูดถึงเรื่องอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา ที่ท่านอาจารย์ใช้คำว่าปฏิปัตติ หมายถึงว่า ปกติปกติหมายถึงว่าการศึกษาพระธรรม เมื่อมีการศึกษาพระธรรมก็จะมีความรู้ เมื่อมีความรู้ ความเข้าใจก็จะตามมา นำไปสู่ความเห็นถูก อันนี้คือปฏิบัติบูชา ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว คำว่า ปฏิปัตติ มีความหมายว่า เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เช่นขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ ค่อยๆ พิจารณาว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน เกิดพร้อมกันไม่ได้ โดยปัจจัยที่ทำให้เกิด แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นกว่าจะได้มีความเข้าใจที่รอบรู้ มั่นคง ละเอียดลึกซึ้ง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกอย่างมั่นคงเป็นสัจจญาณ เมื่อนั้นจึงจะเป็นปัจจัยให้สภาพระดับของปัญญากับสติอีกขั้นหนึ่งเกิดได้ คือสามารถที่จะถึงลักษณะที่ขณะนี้มีก็ไม่มีใครรู้ เพียงแต่กล่าวถึงจิต กล่าวถึงเจตสิกต่างๆ แต่จิตสักหนึ่งหรือเจตสิกสักหนึ่งก็ไม่ได้ปรากฏ จนกว่าปัญญาที่เข้าใจจะเกิดพร้อมสติสัมปชัญญะ ที่รู้เฉพาะตรงลักษณะที่กำลังปรากฎทีละหนึ่ง ขณะนั้นก็เป็นปฏิปัตติ หมายความว่า ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ปัญญาและสติสามารถถึงเฉพาะสิ่งที่ไม่เคยปรากฏแม้หนึ่ง เช่นเดี๋ยวนี้จิต เจตสิกทีละหนึ่ง เป็นต้น ขณะนั้นจึงเป็นปฏิปัตติ คนไทยก็ใช้คำง่ายๆ ว่าปฏิบัติ แต่ต้องเป็นระดับของปัญญาที่สูงกว่าขั้นฟัง ถ้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าฟังแล้วความเข้าใจไม่พอก็ปฎิบัติไม่ได้ เพราะว่าธรรมทั้งหลายใช่ไม่ใช่เราจะไปทำให้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ต่างหาก ที่กว่าปัญญาจะได้อบรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ โดยถึงเฉพาะลักษณะ ด้วยความเข้าใจที่ได้ฟังมา กว่าสภาพธรรมนั้นจะปรากฏ เป็นปฏิเวธะ หมายความว่า สามารถรู้จริงๆ ในจิต ในเจตสิก ซึ่งมองไม่เห็นเลย แต่กำลังเกิดดับ ทำกิจเห็น ทำกิจได้ยิน ทำกิจคิดนึก ทำกิจพอใจ ไม่พอใจ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่ต้องเป็นไปตามลำดับ
คุณทวีศักดิ์ ขณะนี้เรามีเวลาเหลือประมาณห้านาที อยากให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงในภาพรวม ชี้แนะสักนิด
ท่านอาจารย์ คนที่เป็นชาวพุทธก็คงจะไม่ลืม ถึงเวลาที่จะสำรวจตัวเองว่า เราสามารถที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนาได้ ต่อเมื่อได้ฟังคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ใช่คำของคนอื่น และทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีใครต้องไปทำอะไรขึ้นมาเลยทั้งสิ้น เพียงแต่การฟังเป็นการเข้าใจขึ้น อบรมเจริญปัญญา ให้โต ให้เจริญ ให้สุก ให้งอม ให้แก่กล้า จากการที่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นลำดับ จนถึงขั้นปริยัติ การฟัง และรอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟัง จนถึงปฏิปัตติ สภาพธรรมเกิด มีสติสัมปชัญญะพร้อมด้วยปัญญาที่กำลังเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีตรงนั้นคือทีละหนึ่ง สภาพธรรมนั้นจะเปิดเผยประจักษ์ลักษณะจริงๆ เป็นปฏิเวธ เพราะฉะนั้นประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ต้องรู้ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจได้ทันทีเดี๋ยวนี้ อบรมเจริญความรู้ให้มากขึ้นด้วยได้ แต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพราะเหตุว่าเราสะสมความไม่รู้มานานแสนนานประมาณไม่ได้เลย แล้วจะให้รู้ทันที ละกิเลสทันทีไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ การเห็นผิด เข้าใจผิดและทำให้คำสอนของพระศาสนาลบเลือนไป ก็คิดว่ามีตัวตนที่จะปฏิบัติธรรมที่จะดับกิเลส เพราะฉะนั้นความเห็นผิดจะทำให้คนนั้นห่างไกลจากคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนก็ไม่กลับมาเลย เหมือนกับพวกเดียรถีย์ ความเห็นอื่น ครูบาอาจารย์อื่นในสมัยพุทธกาล แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน หรือที่ไหนก็ตาม ก็ไม่เคยเฝ้าเลย ไม่เห็นคุณ ไม่เห็นประโยชน์
เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามที่เข้าใจว่าตนเองเป็นชาวพุทธในนาม ก็ควรที่จะได้รู้ว่า ชาวพุทธจริงๆ ต้องเป็นขณะที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเข้าใจธรรม เพราะพระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจธรรม จะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้
คุณทวีศักดิ์ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ฉะนั้นก่อนที่จะเห็นธรรม ก่อนที่จะเห็นถึงพระพุทธองค์ ก็ต้องก็ต้องไปเริ่มต้นขั้นแต่ก้าวแรก จุดแรกก่อนก็คือศึกษาพระธรรม
ท่านอาจารย์ พังพระธรรมทีละคำ ทีละคำด้วย จนกระทั่งมีความรอบรู้ ในคำนั้น เช่นคำว่า ธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น สามารถที่จะเข้าใจขึ้นเมื่อได้ศึกษาฟัง อ่าน พิจารณา ไตร่ตรองคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณทวีศักดิ์ พูดถึงตรงนี้ในอดีตครั้งพุทธกาล สาวก พุทธบริษัททั้งหลาย ล้วนแต่ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จึงชื่อว่า สาวก
คุณทวีศักดิ์ ไม่ใช่ปัจจุบันนี้ไปหาหนังสือที่เรียกว่าธรรมอะไรก็ไม่ทราบมานั่งอ่าน โดยที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็ยิ่งสับสน
ท่านอาจารย์ ก็อ่านคำของคนอื่น ฟังคำของคนอื่น แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะคนอื่นไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะสิ่งนี้แม้ปรากฎก็สั้นมาก ดับ ไม่กลับมาอีก สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่ปรากฎ รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงประจักษ์แจ้งความจริงสูงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังปรากฎว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอื่นไปจากความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น เช่น เห็นเป็นเห็น จะเกิดที่ไหน ในน้ำ บนบก ประเทศจีน ประเทศไหนก็ตาม สวรรค์ก็ตาม นรกก็ตาม ที่ไหนก็ตาม รูปร่างเป็นงู เป็นสัตว์อะไรก็ตาม เห็นจะเป็นงู เป็นสัตว์ไม่ได้ แต่ว่าเป็นสภาพ ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งรู้ว่าขณะนี้ที่กำลังปรากฎทางตาเป็นอย่างนี้ นั่นคือเห็น ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะเห็นก็ดับ ถ้ายึดถือเห็นว่าเป็นเรา เห็นดับแล้ว เราจะอยู่ที่ไหน แต่เมื่อมีสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณ จนไม่เห็นว่าดับไปแล้ว ก็คิดว่ายังมีอยู่ สิ่งนั้นยังเป็นเรา ต้องฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจถูกต้อง
คุณทวีศักดิ์ ในวันนี้เวลาหมดลงแล้ว ขอกราบขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ได้ให้ความกรุณามาสงเคราะห์ธรรม ตลอดต่อเนื่องทั้งสามวัน และโอกาสหน้าก็คงจะขอความอนุเคราะห์ การสงเคราะห์ธรรมจากท่านอาจารย์ในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป วันนี้ขอกราบขอบพระคุณนะครับ สวัสดีครับ
ท่านผู้ฟังก็คงจะได้รับประโยชน์มาต่อเนื่องสามวันแล้ว ในโอกาสข้างหน้าถ้าไม่เป็นการรบกวนท่านอาจารย์เกินไป ก็จะเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาร่วมกัน
