004 คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เรื่อง ธรรมเบื้องต้น
วันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๔
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำภาษาไทยว่า แข็ง บ่อยๆ จากพ่อแม่ที่เป็นไทย ก็รู้ว่านี่แหละอย่างนี้เป็นแข็ง เพราะฉะนั้นพอพูดว่าแข็ง ทุกคนก็เข้าใจโดยเสียงนั้น โดยปัญญัตติที่รู้ได้โดยอาการนั้นว่า หมายความถึงแข็ง เพราะฉะนั้นบัญญัติมีมาก แค่อรรถบัญญัติ รู้ความหมายโดยไม่ต้องมีเสียงก็เป็นบัญญัติแล้ว รู้โดยอาการใด ขณะใด ขณะนั้นเป็นปัญญัตติ ซึ่งถ้าไม่มีสภาพที่มีจริง บัญญัติก็มีไม่ได้
คุณทวีศักดิ์ ถ้ากรณีที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายมานั้น ก็ย้อนกลับมาตรงนี้อีกนิดหนึ่งว่า ตาเราเห็น ตาเป็นช่องทางในการที่ทำให้เรามองเห็น ถ้ามีตาก็มองเห็น มีประสาทหรือที่อาจารย์เรียกปสาทรูป ก็มีประสาท แล้วก็มีตา เราถึงจะมองเห็น แต่ถ้ามีตา ไม่มีประสาทก็มองไม่เห็น ใช่ไหม ไม่มีประสาทตา ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ส่วนสิ่งที่ถูกเห็น ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า ไม่รู้อะไรเลย แต่เห็น รู้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่ามีสีแดง สีขาว นี่เป็นเสื้อ นี่เป็นแขนเสื้อ นั่นเป็นขนม ขณะนั้นก็คือว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ให้จำ เป็นอรรถบัญญัติ อรรถะคือความหมายถึงลักษณะที่มีจริง ที่ปรากฏหลากหลาย พอที่จะรู้ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏ และจำไว้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้ได้โดยอาการของสิ่งนั้นก็คือปัญญัตติ ไม่ต้องพูดก็มีใช่ไหมเดี๋ยวนี้
คุณทวีศักดิ์ หูได้ยินอะไร ได้ยินเสียง มันมีเสียงกระทบ
ท่านอาจารย์ ได้ยินเสียงเท่านั้น
คุณทวีศักดิ์ ส่วนจะเป็นเสียงอะไรต่างๆ นานานั้น ก็เกิดจากความจำ ความทรงจำ
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า สัทบัญญัติ หมายความว่า สัททะในภาษาบาลี ภาษาไทยใช้คำว่าเสียง รู้ได้โดยอาการของเสียงนั้นๆ คือเข้าใจความหมาย เพราะฉะนั้นคำว่าบัญญัติ กว้าง หมายความว่าทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่ใช่โดยการรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน แต่เป็นการเข้าใจสิ่งที่เกิดดับสืบต่อโดยอาการที่ปรากฏให้รู้ว่าจำได้ว่าเป็นอะไร
คุณทวีศักดิ์ จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็รับรู้รสชาติต่างๆ ส่วนกายนั้นก็สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ที่ว่า เช่น ความเย็นหรือความร้อน ใช่ไหม ความอ่อนหรือความแข็ง ความตึงหรือความไหว
ท่านอาจารย์ น่าสงสัยใช่ไหมว่า ทำไมเราต้องพูดเรื่องธรรมดาอย่างนี้ ใช่ไหม เพราะสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม เพราะฉะนั้นใครก็ตามฟังธรรม เข้าใจธรรม ปฏิบัติธรรม ประจักษ์แจ้งธรรม ก็ต้องมีพื้นที่รู้ก่อนว่าธรรมคืออะไร มิฉะนั้นจะเข้าใจได้อย่างไร จะประจักษ์แจ้งได้อย่างไร ปัญญาจะอบรมเจริญได้อย่างไร ปัญญาที่เจริญขึ้น ก็คือหลงเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง ความจริงไม่เที่ยง หลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ความจริงก็คือเป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้ ก็จะละความไม่รู้ ซึ่งเป็นมูลเหตุให้เกิดความติดข้องพอใจ หรือว่าโทสะหรืออะไรทั้งหมดเลยทีละเล็กทีละน้อย เพราะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมเป็นอนัตตา เปลี่ยนไม่ได้ เราฟังแต่ละเรื่องทั้งหมด เพื่อให้รู้จักธรรม เพื่อให้เข้าใจความเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพื่อให้ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเป็นอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงเผินๆ ไปสำนักปฏิบัติแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย แต่ก็นั่ง นอน ยืน เดิน อะไรต่างๆ เพื่ออะไร ในเมื่อเดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งที่เป็นจริง ซึ่งถ้าจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือว่า ทำไมต้องฟัง เพื่อเข้าใจถูก จนถึงระดับที่ธรรมเกิดขึ้น รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นเป็นปฏิปัตติ ไม่มีใครทำเลย เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้จักธรรม ศึกษาธรรม ศึกษาอะไร ชื่อ คำ จำ ไม่รู้ ใช่ไหม แต่ถ้าศึกษาธรรมจริงๆ ก็คือว่า แม้แต่คำเดียวความละเอียดต้องมี ตาไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม แต่ขณะเห็นไม่ใช่ตาเห็น แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่มีเห็นกำลังเห็น
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามซึ่งเป็นธาตุรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตัวที่รู้นั่นเองเป็นธาตุรู้ ซึ่งมีสองอย่าง นามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ที่เป็นใหญ่ เป็นประธานคือ จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมจิตอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ก็ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ เราจะเอ่ยคำว่า จำ เป็นธาตุรู้ ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า สัญญาเจตสิก เพราะจิตไม่ได้จำ จิตเพียงแต่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเจตสิกใดๆ ก็ไม่ใช่รู้แจ้ง แต่ว่าเจตสิกแต่ละหนึ่งไม่ใช่จิต และสภาพของเจตสิกแต่ละหนึ่งก็เกิดขึ้นทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ ได้ยินคุณทวีศักดิ์ใช้คำว่า ผัสสะ ใช่ไหม
คุณทวีศักดิ์ ใช่
ท่านอาจารย์ เราไม่เผินเลย ต้องรู้ว่า ผัสสะคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกคำที่เคยพูด ทุกคำที่เคยจำได้ ต้องเข้าใจละเอียดว่า คำนี้หมายความถึงอะไร มีจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นผัสสะ กระทบอารมณ์ ถ้าเจตสิกนี้ไม่เกิดขึ้นกระทบกับอารมณ์ จิตรู้อารมณ์นั้นไม่ได้ เรากล่าวแล้วครั้งหนึ่ง แต่ให้ทบทวนก็ได้ว่า เมื่อมีธาตุรู้คือจิต ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่รู้ สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่จิต แต่เป็นสิ่งที่จิตรู้ สิ่งที่จิตรู้ทั้งหมดไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น นิพพาน เย็นหรือร้อน เสียงหรืออะไรทั้งหมดที่จิตกำลังรู้ สิ่งนั้นภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ เพราะฉะนั้นเมื่อมีธาตุรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แต่ธาตุรู้เกิดเองไม่ได้เลย ใครจะไปทำให้เกิดรู้ไม่ได้ จิตเกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องมีเจตสิกเป็นปัจจัย
คุณทวีศักดิ์ โดยส่วนใหญ่ คำที่ชาวพุทธมักจะได้ยินกันเสมอ แล้วก็พอจะรู้กันบ้างก็คือคำว่า ขันธ์ ๕ ได้ยินกันบ่อยๆ คำว่าขันธ์ ๕ นั้นประกอบด้วย ๕ ประการใช่ไหม ก็จะมีเรื่องของรูปขันธ์ รูปขันธ์นี้ก็หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ คือว่าการศึกษาธรรมต้องมั่นคงตามลำดับทุกคำที่ได้ยิน เพราะว่าก่อนที่จะได้ฟังก็พระธรรม มีใครรู้บ้างว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิดจนตาย สักคำเดียวก็ไม่รู้ เพราะความรู้ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ ที่ได้ฟังธรรม ถึงจะรู้ว่าแต่ละคำ แต่ละอย่างที่มีคืออะไร ด้วยเหตุนี้บางคนก็ได้ยินคำว่าขันธ์ ขันธ์เป็นธรรมหรือเปล่า และขันธ์คืออะไร ถ้าไม่ตั้งต้นอย่างนี้ ก็หมายความว่าเราได้ยินคำใหม่ที่เราไม่รู้จัก แต่เราพูดตาม เหมือนคำเดิมๆ แต่ว่าแต่ละคำต่างกัน คำที่พูดแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร กับคำที่ได้ฟังจากการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำมีจริงๆ แล้วก็สอดคล้องกันด้วย เพราะฉะนั้นคนที่ได้ยินคำว่า ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ ต้องไตร่ตรอง เพราะว่าทั้งหมดจะต้องไม่พ้นคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
คุณทวีศักดิ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง
ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และก็ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพียงแค่นี้ต้องไตร่ตรองว่า แม้สิ่งที่กำลังปรากฏ อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราหรือเปล่า ไม่ว่าจะเห็น ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะชอบ ไม่ว่าจะไม่ชอบ มีอีกมากมายหลายเรื่อง ที่เป็นความจริงที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้นการฟังต้องมั่นคงตามลำดับ ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
คุณทวีศักดิ์ การที่ไปติดยึดแล้วก็คิดว่าบังคับบัญชาได้ คนทั่วไปก็เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนกันทุกสิ่งทุกอย่างเพราะไม่รู้
ท่านอาจารย์ โดยไม่รู้เหตุว่าเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นถ้าจะดับทุกข์ ไม่ใช่ไม่รู้เหตุของทุกข์ แล้วจะดับทุกข์ได้ ทุกอย่างต้องตรงและสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เผินไปเลยว่าขันธ์ ๕ มีห้าชื่อ นี่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้มีขันธ์ ๕ ไหม และขันธ์อะไร เพราะรู้ว่าขันธ์คืออะไร จึงจะตอบได้ เพราะฉะนั้นขันธ์ ภาษาบาลี ขัน-ดะ หรือขัน-ธะ หมายความถึงสภาพธรรมที่ที่มีจริงไหม
คุณทวีศักดิ์ มีจริง
ท่านอาจารย์ ต้องมีใช่ไหม
คุณทวีศักดิ์ ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่มีจะพูดถึงทำไม เพราะฉะนั้นขันธ์ห้า สิ่งที่มีจริงที่เรากล่าวมาแล้วธรรม รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป เป็นธรรม สิ่งที่มีจริง ที่เกิดดับทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นขันธ์แต่ละหนึ่ง ขันธ์ หมายความถึงสภาพที่มี ซึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป เกิดแล้วไม่ดับไม่มี เพราะฉะนั้นจิตเป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็น ความรู้สึกเป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ ความจำเป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ ความโกรธ เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถ้าเรามีความเข้าใจตั้งแต่ต้นสมบูรณ์ พอได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ เราก็รู้ว่า กล่าวถึงธรรมคือจิต เจตสิก รูป นั้นแหละแต่อีกนัยหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าโดยนัยอะไร โดยนัยของการยึดถือว่าเป็นเราอย่างเหนียวแน่น มั่นคง ยากที่จะไถ่ถอนได้ จึงใช้คำว่า อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่นในสิ่งที่เกิดดับ เห็นหรือไม่ ขันธ์คือสิ่งที่เกิดดับ แล้วสภาพธรรมเจตสิกมี ๕๒ เกิดกับจิตมากบ้างน้อยบ้าง ทำให้จิตต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวันก็คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ๑ เสียง ๑ กลิ่น ๑ รส ๑ เท่าไรแล้ว กี่รูปแล้ว ๔ ใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏทางตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกายปรากฎทีละรูป แต่มี ๓ รูป เย็นหรือร้อนรูปหนึ่ง ไม่ใช่อ่อนหรือแข็ง ใช่ไหม คนละรูป และอ่อนหรือแข็งอีกรูปหนึ่ง และสภาพที่ตึงหรือไหวที่ปรากฏให้รู้ได้อีกหนึ่งรูป
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่สภาพรู้ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ทั้งหมด ๗ รูปในบรรดารูปทั้งหมด ๒๘ รูป ใครรู้ว่าไม่ใช่เราทั้งหมดเลย กว่าจะรู้ว่าเป็นขันธ์ทั้งหมดเลย สภาพธรรมที่เกิดดับทั้งหมดที่ไม่ใช่ขันธ์ ไม่มี เพราะขันธ์หมายความถึงสิ่งที่เกิดและดับจึงเป็นอดีต ขณะที่ยังไม่ดับเป็นปัจจุบัน ขณะต่อไปที่จะเกิดขึ้นเป็นอนาคต สิ่งที่เกิดแล้วดับก็คือปัจจุบัน อดีต อนาคต ถูกต้องหรือไม่ แต่ละหนึ่ง
คุณทวีศักดิ์ ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นขันธ์
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เป็นธาตุ เป็นขันธ์ ยึดถือมากหรือไม่ ชอบมากสิ่งที่ปรากฎทางตา
คุณทวีศักดิ์ ยึดถือมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งซึ่งที่ใดมีรูป ที่นั่นก็มีความยึดมั่น ยึดถือรูป เป็นอุปาทานขันธ์ด้วย เพราะเป็นที่ตั้งของความยึดถือ ยึดถือรูปมากไหม
คุณทวีศักดิ์ ยึดถือมาก ติดยึด
ท่านอาจารย์ คุณทวีศักดิ์ชอบสีอะไร
คุณทวีศักดิ์ ผมชอบสีอ่อนๆ สีฟ้า สีเหลือง
ท่านอาจารย์ เห็นไหม นี่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา มีทั้งอ่อน มีทั้งแก่ เหลืองอ่อน เหลืองแก่ สีส้ม สีอะไรสารพัด แค่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังติดข้องถึงอย่างนี้
คุณทวีศักดิ์ ใช่
ท่านอาจารย์ ยากไหมที่จะไถ่ถอน ถ้าไม่มีการรู้ว่าสิ่งนั้นเพียงเกิดปรากฏและดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ หลงเข้าใจว่ามี แต่ความจริงไม่มี เพราะฉะนั้นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่ออะไร เพื่อให้ถึงความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นจริงอย่างนั้นแน่นอน เพราะเราฟัง เราคล้อยตามในขณะที่ฟังชั่วคราว แล้วก็หมดแล้ว ลืมแล้ว ใช่ไหม แต่ถ้าฟังบ่อยๆ แล้วก็จะรู้ว่าความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ความติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นมี เกิดพอใจแล้วถึงแม้ว่าสิ่งที่ปรากฏดับแล้ว ไม่เห็นอีกเลย แต่ความพอใจที่เกิดแล้ว สะสมอยู่ในจิตขณะต่อไป เพราะว่าจิตนี้จะเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ พอดับแล้ว จิตที่ดับไปแล้วนั่นแหละเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ ทันทีรวดเร็วไม่มีระหว่างคั่นเลย สิ่งที่สะสมมีอยู่ในจิต ซึ่งเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ก็อยู่ในจิตขณะต่อไป
เพราะฉะนั้นการสะสมนานแสนนานมาแล้วที่จะเป็นแต่ละคน ต่างกันมากเลย ไม่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่กำลังเห็น
คุณทวีศักดิ์ ร่างกายของเรา เช่นที่ผมกำลังนั่งสนทนากับท่านอาจารย์ ร่างกายผมทั้งหมดนี้ก็คือขันธ์ ๕ อย่างนั้น ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งๆ เอาคำว่า ขันธ์ ก่อน คำว่าขันธ์คืออะไร แล้วก็แต่ละหนึ่งก่อน ถึงจะเป็นห้าได้ ใช่ไหม แต่ละหนึ่งคือ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันที่ไม่ใช่สภาพรู้มีเท่าไร เมื่อสักครู่นับแล้ว
คุณทวีศักดิ์ เจ็ด
ท่านอาจารย์ รูปมีทั้งหมด ๒๘ แต่ที่ปรากฏว่ามีในชีวิตประจำวัน ๗ รูป แต่ก็ต้องมีตาอีกหนึ่งรูปใช่ไหม ถ้าไม่มีตาสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบไม่มีอะไรกระทบ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ ถูกต้องไหม ไม่ใช่เราเลยแต่ละหนึ่งขณะนี้อนัตตาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นตา ๑ แล้วมีอะไรอีก ขณะที่ได้ยินเสียง
คุณทวีศักดิ์ หู หูได้ยิน
ท่านอาจารย์ สภาพที่กระทบเสียง ภาษาไทยเรียกว่า หู แต่ความจริงคือโสตปสาทะ คนไทยใช้คำภาษาบาลีมานานพอที่จะรู้ อาจจะใช้คำว่างูๆ ปลาๆ นิดๆ หน่อยๆ คือไม่ใช่ผู้ศึกษาภาษาบาลีจนแตกฉาน จนจะรู้ว่าคำนั้นเพียงเสียงผิดกันนิดหนึ่งหมายความว่าอะไร เป็นต้น แต่เราก็พอที่จะศึกษาคำในภาษาบาลีด้วย เพื่อเราจะได้รู้ว่า เวลาได้ยินคำนั้นหมายความถึงอะไร อย่างจักขุเป็นตาใช่ไหม เป็นรูปพิเศษ มองไม่เห็นเลย แต่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นหนึ่งรูป ใช่ไหม จักขุปสาทรูป เป็นธรรมหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นธาตุอะไร เห็นไหม ธรรมหลากหลายมาก แต่แสดงโดยความเป็นธาตุแต่ละหนึ่งๆ ให้รู้ว่า แยกจากกันแต่ละหนึ่งธาตุ เพราะฉะนั้นจักขุคือตา ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ไม่ใช่เห็น แต่เป็นธาตุแน่นอน มีจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ เพราะฉะนั้นสำหรับจักขุ รูปพิเศษ ใช้คำว่าจักขุธาตุ ถูกต้องไหม มีจริง เป็นธาตุ ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน จักขุธาตุจะไปกระทบเสียงไม่ได้ กระทบกลิ่นไม่ได้ ลักษณะของรูปนี้มีเพราะกรรมเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ถึงวาระที่กรรมจะให้ผล ทำให้เห็น ก็ต้องทำให้เกิดจิตเห็น แม้จิตเห็นก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เราเลย ยิ่งฟังยิ่งเห็นความเป็นอนัตตา แต่ต้องละเอียด แล้วก็มั่นคงและก็ไม่ใช่ไปท่องจำ แต่ให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริงต่างระดับ ก็เพื่อให้ถึงความรู้จริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ
แต่ขั้นนี้ยังไม่ถึงเลย ขั้นนี้แค่ปริยัติ ฟังพระพุทธพจน์ แต่คนที่ฟังพระพุทธพจน์ได้ยินเผินๆ แค่ท่องจำ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ใช่ผู้ที่รอบรู้ในแต่ละคำที่ได้ยิน ถ้าเป็นผู้ที่รอบรู้ในแต่ละคำที่ได้ยินก็มั่นคง จักขุมีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นธาตุ เพราะฉะนั้นธาตุนี้สามารถที่จะรู้ สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่จิตกำลังรู้ได้ ธาตุนี้เป็นจักขุธาตุ ถูกต้องไหม
คุณทวีศักดิ์ ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์อะไร
คุณทวีศักดิ์ รูปขันธ์
ท่านอาจารย์ รูปขันธ์ หนึ่งขันธ์ เห็นไหม เราไม่ใช่เอ่ยแต่เพียงชื่อ แต่ว่าเราเข้าใจคำที่เราพูด แล้วก็มีจริงๆ ให้รู้ด้วยว่า ทำไมเป็นขันธ์ ทำไมเป็นธรรม ทำไมเป็นธาตุ ทำไมเป็นอนัตตา ทั้งหมดต้องสอดคล้องกัน และสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นมีจริงไหม
คุณทวีศักดิ์ มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นเป็นธาตุหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดดับเป็นขันธ์ทั้งหมด ไม่ใช่รวมกัน ๒๘ เป็นกองขันธ์ แต่หมายความว่าแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละขันธ์ เพราะที่ใช้คำว่าขันธ์ ถ้าไม่มีสักหนึ่งจะมารวมกันได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่ไหม แต่ที่รวมกันก็แยกเป็นแต่ละหนึ่งขันธ์ รูปขันธ์คือจักขุธาตุก็เป็นรูปขันธ์หนึ่ง โสตธาตุ หู รูปที่สามารถกระทบเสียงก็ธาตุอีกชนิดหนึ่ง ก็เป็นขันธ์ ขันธ์อะไร โสตธาตุ ที่ใช้คำว่าหู เป็นรูปขันธ์ เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เกิดดับหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เกิดดับ
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์อะไร
คุณทวีศักดิ์ รูปขันธ์
ท่านอาจารย์ รูปขันธ์ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี โดยการมีสิ่งนั้นจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็มั่นคงจริงๆ ในคำว่าธรรม ในคำว่าธาตุ ในคำว่าขันธ์ ไม่ใช่เพียงแต่พูดแล้วก็เอ่ยชื่อแล้วก็นับจำนวน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ว่ารูปใดๆ ทั้งหมด จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปขันธ์ทั้งหมด มีอะไรอีก ตา หู จมูก ลิ้น ใช่ไหม ลิ้นไม่รู้รส แต่ว่าเป็นธาตุคือ ชิวหา ภาษาบาลีหมายความถึงลิ้น ชิวหาไม่ใช่ลิ้นทั้งหมด แต่ชิวหาปสาทะรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับรสต่างๆ ที่เรารับประทานอาหารรสปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าขนาดนั้น เพราะธาตุรู้เกิดขึ้นลิ้มรส ไปเข้าใจว่าเรากำลังรับประทานสิ่งที่หวาน สิ่งที่เค็ม สิ่งที่เปรี้ยว แต่ถ้าไม่มีธาตุเหล่านี้เลย ก็ไม่มีสิ่งต่างๆ ไม่มีมะม่วง ไม่มีกาแฟ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องสอดคล้องกันแต่ละคำตั้งแต่ต้น ที่ฟังแล้วจะไม่รู้อะไร ก็คือว่าไม่ได้ฟังด้วยความเข้าใจ แต่ไม่ได้ไตร่ตรองด้วย แค่จำ จะรู้ได้อย่างไร ใช่ไหม แต่ตอนนี้ถ้าฟังอย่างนี้แล้ว มีใครบ้างไม่รู้จักขันธ์ ไม่มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีรูปขันธ์ จิตมีจริงๆ ไหม
คุณทวีศักดิ์ มี
ท่านอาจารย์ ธาตุรู้ มีจริงไหม
คุณทวีศักดิ์ มีจริง
ท่านอาจารย์ มี เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ ขันธ์อะไร
คุณทวีศักดิ์ นามขันธ์
ท่านอาจารย์ นามขันธ์ แต่นามขันธ์มีทั้งจิตและเจตสิก เพราะฉะนั้นเฉพาะจิตเท่านั้นเป็นวิญญาณขันธ์ รู้สองขันธ์แล้วใช่ไหม คือรูปขันธ์หนึ่ง แล้วก็จิต
คุณทวีศักดิ์ นามขันธ์
ท่านอาจารย์ วิญญาณขันธ์หนึ่ง เหลืออีก ๓ ขันธ์เป็นเจตสิก ๕๒ ซึ่งเจตสิก หนึ่งคือความรู้สึก หาไม่เจอเวลานี้ถ้าไม่ถาม ใช่ไหม อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เกิดดับตลอดเวลา เพราะว่าความรู้สึกมีเมื่อปรากฏ เช่นดีใจ เสียใจ สุขหรือทุกข์ แต่ความรู้สึกที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ปรากฎ ใช่ไหม ก็หาไม่เจอ แต่มีเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นสิ่งที่เราติดข้องมากไหม
คุณทวีศักดิ์ ติดข้อง
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดที่เราต้องการเพื่อเวทนาเจตสิก ภาษาบาลีไม่เรียกว่าความรู้สึก แต่ใช้คำว่า เวทนา เป็นเจตสิกหนึ่งใน ๕๒ เป็นสภาพที่รู้สึกทั้งหมด ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ เสียใจ ดีใจ รู้เฉยๆ รวมความว่าความรู้สึกมีห้าอย่างหรือสามอย่างโดยรวม ๓ อย่างคือสุขหนึ่ง ทุกข์หนึ่ง เฉยๆ หนึ่ง ถ้าห้าอย่างก็คือว่าสุขทางกายหนึ่ง สุขทางใจหนึ่ง ทุกข์ทางกายหนึ่ง ทุกข์ทางใจหนึ่งและความรู้สึกเฉยๆ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่ว่าภพไหน ชาติไหน เมื่อมีจิตต้องมีความรู้สึก แต่ความรู้สึกไม่ใช่จิต จึงไม่ใช่วิญญาณขันธ์ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เจตสิกหนึ่งซึ่งสำคัญมาก เป็นที่ตั้งของความยึดถือ แสวงหาตั้งแต่เกิดจนตายก็คือความรู้สึกที่เป็นสุขโสมนัส ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราติดในความรู้สึกไหม
คุณทวีศักดิ์ ติด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเวทนากับอุปาทาน ก็เป็นเวทนูปาทานขันธ์ เป็นขันธ์ด้วย และเป็นที่ตั้งอย่างมากของความรู้สึก ธรรมมีตั้งเยอะแยะ ทำไมพระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยนัยของขันธ์ ๕ ตามความยึดถือ ว่าในภูมิที่มีรูป ยึดถือในรูปอย่างมากมาย ต้องการรูปตลอดชีวิต ทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ตลอดเวลา เพื่อความรู้สึกที่เป็นสุข ถูกต้องไหม แสวงหามากเหลือเกิน การที่จะได้มาที่เราจะรู้สึกว่า ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้และอยากได้อีก ก็เพราะมีเจตสิกซึ่งเป็นสภาพจำ สัญญาเจตสิก
เพราะฉะนั้นเรากล่าวถึงเวทนาเจตสิก ๑ เหลืออีก ๕๑ ใช่ไหม เจตสิกทั้งหมด มี ๕๒ เพราะฉะนั้นสภาพจำอีกหนึ่ง เป็นเจตสิกสอง เหลืออีก ๕๐ ใช่ไหม สภาพที่จำสำคัญที่สุดเหมือนกัน เช่นเดียวกับรูป เพราะเราติดข้องเพราะไม่รู้ว่าเป็นเราที่ขณะนี้จำแล้ว จิตเห็นอะไร สัญญาเจตสิกจำทันที แล้วก็จำว่าอะไรที่ไหนอร่อย ใช่ไหม ของสวยๆ งามๆ อยู่ที่ร้านไหน ที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ทั้งโลกเป็นที่ติดข้องต้องการ เพราะจำได้ ยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ด้วยเหตุนี้สัญญาเจตสิก มีจริงไหม
คุณทวีศักดิ์ มี
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์อะไร สัญญาขันธ์ เพิ่มมาแล้วใช่ไหม เรารู้รูปขันธ์หนึ่ง วิญญาณขันธ์หนึ่ง ซึ่งเป็นรูปธรรมกับนามธรรม แล้วก็เจตสิกซึ่งเกิดกับจิต แล้วก็รู้อีกสอง ใช่ไหม คือเวทนาขันธ์หนึ่ง สัญญาขันธ์หนึ่ง เจตสิกอีก ๕๐ คือสังขารขันธ์ ปรุงแต่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตทุกขณะ นี่ก็อย่างย่อที่สุด ตามเวลาที่จำกัด แต่เมื่อฟังแล้ว เข้าใจ จำได้ ไม่ลืม
คุณทวีศักดิ์ ขันธ์มี ๕ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ตามที่ทรงแสดงนามธรรมและรูปธรรมโดยนัยของการยึดถือ
คุณทวีศักดิ์ วันนี้ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ในวันพรุ่งนี้ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ได้ให้การสงเคราะห์ธรรมอีก
ท่านอาจารย์ ด้วยความยินดี
