005 คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เรื่อง ธรรมเบื้องต้น
วันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๕
คุณทวีศักดิ์ สวัสดีครับเด็กๆ ทุกคน เยาวชนคนหนุ่มสาวรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองที่ร่วมรับฟังรายการกันอยู่ เด็กๆ เยาวชนและท่านผู้ฟังทั้งหลายก็คงจะได้ฟังเพลงพระรัตนตรัย ตอนเริ่มต้นของเพลงก็คงจะได้ยินคำว่า พุทธังสะระนัง คัจฉามิ ธัมมังสะระนัง คัจฉามิ สังฆังสะระนัง คัจฉามิ นั่นหมายถึงว่า พวกเราที่เป็นชาวพุทธนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราก็จะมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรม โดยการศึกษา และทำความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเราเป็นเพียงชาวพุทธที่ไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราก็คงจะเป็นผู้ที่ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ก็คือ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา
ทุกวันนี้การดำเนินชีวิตของผู้คนโดยทั่วไปก็มีความสุข ความทุกข์สลับกันไป ดีใจ เสียใจ สมหวัง ผิดหวังต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้ที่มีความรู้ได้ศึกษาพระธรรม ได้ฟังพระธรรม และทำความเข้าใจ เราก็คงจะไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีใจจนเกินไป เสียใจจนเกินไป พูดถึงเรื่องสติ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไปหาสติมาจากที่ไหนได้ เราไม่มีสติ แต่ถ้าเราจะมีสตินั่นหมายถึงว่า เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมอย่างถูกต้อง สติก็ค่อยๆ เจริญขึ้น งอกงามขึ้น เราไม่สามารถที่จะไปทำให้มี ไม่มีวิธีการใดๆ นอกจากการฟังพระธรรมที่ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎก ซึ่งประกอบด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกหรือพระสูตรและพระอภิธรรมปิฎก
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว วันอังคาร และวันนี้ซึ่งเป็นวันพุธกลางสัปดาห์ วันพุธที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เราก็มีความโชคดีที่จะได้รับฟังพระธรรม ซึ่งตรงตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้บรรยายพระอภิธรรม และผู้บรรยายแนวทางการเจริญวิปัสสนา ท่านอาจารย์ได้ศึกษาพระไตรปิฎกมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๙๖ ท่านอาจารย์ศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน เชี่ยวชาญ
ฉะนั้นผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีมาก ที่ท่านอาจารย์ได้มาให้การสงเคราะห์พระธรรมในรายการนี้ เพื่อที่เด็กๆ เยาวชน และคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองและท่านผู้ฟังทั่วไปทั้งหลาย จะได้เก็บเกี่ยวความรู้ มีความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับการดำเนินชีวิตประจำวัน เราจะมาสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์กันต่อ สวัสดีครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ สวัสดีค่ะ
คุณทวีศักดิ์ ท่านอาจารย์ได้ให้ความรู้ที่สำคัญยิ่งในการเริ่มต้นจากความไม่รู้ ท่านอาจารย์ได้ให้คำว่า ธรรม แล้วท่านอาจารย์ก็ได้ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรมไม่ใช่อะไรเลย ธรรมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แล้วก็ยังได้ให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่ยากที่จะกระทำได้ถึงความไม่มีตัวตน หรือว่าอนัตตา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจมาตามลำดับ
เมื่อวานนี้ ก่อนจบรายการก็ได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ถึงเรื่องขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยรูป หรือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์ พวกเราส่วนใหญ่ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่าขันธ์ ๕ เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม วันนี้ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์ได้สนทนาเรื่องนี้กันต่อ
ท่านอาจารย์ ขอทบทวนสำหรับผู้ที่อาจจะเพิ่งเริ่มฟังว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งมากมายหลากหลาย สิ่งที่เกิดขึ้นก็ต้องดับไปมีจริงทุกขณะเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงๆ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมนี้อีกนัยหนึ่ง คือนัยของความติดข้องว่า ในบรรดาธรรมทั้งหมดที่มีในชีวิตประจำวัน เราติดข้องในอะไรมากที่สุด สิ่งที่ทุกคนติดข้องแสวงหาตั้งแต่เกิดจนตายก็คือความสุขหรือสุขเวทนา ไม่มีใครต้องการความทุกข์เลย ถ้าไม่ทุกข์ก็ขอเพียงแค่เฉยๆ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีการเกิดขึ้นและดับไป ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดแม้เป็นความรู้สึก อย่างเช่นเวลานี้รู้สึกอะไร ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังเพื่อจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าขณะนี้ไม่สุขก็ต้องทุกข์
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ใดๆ ก็ตาม แสวงหากันก็คือความสุขซึ่งเป็นความรู้สึก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิตทุกขณะ ไม่ว่าจิตจะเห็นอะไร สภาพที่รู้สึกในสิ่งนั้น ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าเวทนาก็เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ธรรมทั้งหลายทั้งหมดซึ่งเป็นรูปธรรมและนามธรรม พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกอีกนัยหนึ่งคือ นัยของความยึดมั่น คือ หนึ่งรูปขันธ์ สิ่งที่ไม่มีชีวิตเลย ไม่รู้อะไรเลย แต่ก็เป็นที่ต้องการของเรา เป็นที่ต้องการของสุขเวทนา ไม่ว่าจะได้ความสุขจากรูปทางตา สวยงามต่างๆ สร้างวัตถุสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ก็เพื่อสุขที่จะเห็นสิ่งนั้น ไม่ว่าจะทางหู เสียงดนตรีต่างๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาไม่มีวันจบ ก็เพื่อที่จะได้ความสุขจากขณะที่ได้ยินเสียงนั้นปรากฎ
ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกจึงเป็นใหญ่อย่างหนึ่งในบรรดาสิ่งที่เป็นที่แสวงหาต้องการมาก พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกสิ่งที่มีจริงทั้งหมดออกเป็น ๕ ขันธ์ เพราะขันธ์ทั้งหมดเกิดดับ แต่ถึงจะเกิดแล้วดับไปด้วยความไม่รู้ ก็ติดข้องในสิ่งนั้น ประการที่หนึ่งรูปขันธ์ ติดข้องในรูป เพื่อความรู้สึกเป็นสุขคือเวทนาขันธ์ ในเมื่อมีความรู้สึกเป็นสุขแล้ว สภาพเจตสิกที่จำ ก็จำว่าสุขนั้นเป็นอย่างไร สุขนั้นเกิดจากอะไร สุขนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็แสวงหาที่จะให้ได้สุขนั้น ก็มีการปรุงแต่งจากการที่มีความรู้สึกกับมีความจำ ก็ทำให้เจตสิกอีก ๕๐ ปรุงแต่งเป็นสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันทั้งหมด เป็นรูปขันธ์หนึ่ง เวทนาขันธ์หนึ่ง สัญญาขันธ์หนึ่ง เจตสิกที่เหลืออีก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์หนึ่ง วิญญาณขันธ์หนึ่ง เป็น ๕ ขันธ์ ชื่อคงไม่ยาก แต่การที่จะรู้จริงๆ คือเดี๋ยวนี้เอง ค่อยๆ พิจารณา แม้จิตก็ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่ความรู้สึก ความรู้สึกก็ไม่ใช่ความจำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดปรากฏแต่ไม่รู้ ย่อมเป็นที่ตั้งของความต้องการ
คุณทวีศักดิ์ เพราะฉะนั้นแล้วที่ว่าขันธ์ห้า ถ้าจะแยกกันจริงๆ แล้วตามสภาวะหรือตามสภาพธรรม จะประกอบเป็นสองส่วนใช่ไหม คือหนึ่งรูปขันธ์ หมายถึงว่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้ นอกนั้นที่เหลืออีก ๔ ขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นั้นเป็นสิ่งที่เรียกว่านามขันธ์ทั้งหมดเลย ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ และนามขันธ์ตอนนี้เหลือ ๔ แล้ว ใช่ไหม รูปขันธ์หนึ่ง เพราะฉะนั้นมีนามขันธ์ ๔ ซึ่งไม่ได้แยกกันเลย ทุกครั้งที่มีวิญญาณเกิด ต้องมีเจตสิกที่เป็นขันธ์อีก ๓ เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง
คุณทวีศักดิ์ ก็คือเวทนา สัญญาและสังขารขันธ์
ท่านอาจารย์ และก็เจตสิกอื่นอีก ๕๐ อย่างละหนึ่งเป็นสังขารขันธ์
คุณทวีศักดิ์ สังขารขันธ์มีมากที่สุดก็คือ ๕๐ ประเภท
ท่านอาจารย์ ๕๐ ชนิด อย่างโลภะก็เป็นสังขารขันธ์หนึ่ง โทสะก็เป็นสังขารขันธ์หนึ่ง
คุณทวีศักดิ์ สังขารขันธ์นั่นหมายถึงสิ่งที่เป็นเจตสิก ทำหน้าที่ในการปรุงแต่ง
ท่านอาจารย์ ซึ่งไม่ใช่เวทนาเจตสิก ไม่ใช่สัญญาเจตสิก
คุณทวีศักดิ์ เช่นคำว่า อิจฉาริษยาก็เป็นสังขารขันธ์ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นสังขารขันธ์แน่นอน
คุณทวีศักดิ์ ความดี ความชั่ว
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดที่ไม่ใช่จิต ไม่ใช่รูป และไม่ใช่เวทนา และไม่ใช่สัญญา นามขันธ์อื่นๆ เป็นสังขารขันธ์ทั้งหมด
คุณทวีศักดิ์ ฉะนั้นการที่ชาวพุทธที่ไม่รู้ ก็คือไม่ได้เข้าใจในพระธรรมหรือเข้าใจในตัวธรรม ทุกวันนี้ที่ประสบกับความเดือดร้อน ทุกสิ่งทุกอย่างก็มาจากจิตและเจตสิก ก็คือนามขันธ์ทั้งหมดอย่างนั้น ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ซึ่งเกิดดับ แต่ไม่รู้ก็เลยยึดถือว่าสิ่งที่เกิดเป็นขันธ์ต่างๆ เป็นเราทั้งหมดเลย ความรู้สึกก็เป็นเรา ความจำก็เป็นเรา ความคิดก็เป็นเรา ทั้งหมด ชอบไม่ชอบก็เป็นเรา เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเป็นสิ่งที่มีจริงเมื่อเกิดขึ้นและก็ดับไป
คุณทวีศักดิ์ ฉะนั้นเองโดยทั่วไปผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้เข้าใจ ก็จะคิดเองด้วยความเข้าใจเองว่า เรามีตัวตน มีร่างกาย มีจิตใจ แล้วก็คิดว่าเป็นเรา แต่ถ้ามีการศึกษาพระธรรมแล้ว ความเข้าใจก็จะแตกต่างออกไป ตรงที่ว่าไม่มีตัวตน
ท่านอาจารย์ รู้ความจริง
คุณทวีศักดิ์ เพราะรู้ความจริง เข้าใจขึ้นๆ
ท่านอาจารย์ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย แล้วตัวตนอยู่ตรงไหน ใช่ไหม มีเมื่อเกิดถ้าไม่เกิดก็ไม่มี มีแล้วก็สุขทุกข์ไปตามเรื่องทุกวันๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป ก็เป็นการเกิดขึ้นดับไปของธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งรวมกัน ถ้าจะพูดถึงตรงที่เรียกว่า วางเฉย วางเฉยกับสิ่งต่างๆ ซึ่งคำว่าวางเฉย จะเป็นเป็นการวางเฉยในสองลักษณะว่า วางเฉยแบบมีปัญญาหรือวางเฉยแบบไม่มีปัญญา
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง วางเฉยด้วยความไม่รู้ กับวางเฉยด้วยความรู้
คุณทวีศักดิ์ บางทีเห็นว่าวางเฉยแล้วก็เข้าใจว่า เขาเข้าใจธรรม ก็มีการพัฒนาตน ปฏิบัติเจริญสติ เจริญปัญญา แต่จริงๆ ถ้าเขาไม่ได้ศึกษาธรรมก็คือไม่มีสติ ไม่มีปัญญา
ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลย
คุณทวีศักดิ์ เพราะไม่ได้รู้ธรรม ไม่ได้รู้ความจริง ใช่ไหม ในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในทุกวันนี้ เราไม่ได้พูดเพียงเรื่องดังกล่าว แต่ว่า เราเป็นชาวพุทธ โดยที่เราไม่รู้พระธรรม ไม่ได้รู้หลักธรรมคำสอน มีความเข้าใจผิด มีความหลงผิด ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด ต้องมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก โดยการศึกษาพระธรรม โดยการฟังพระธรรม ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้าไม่รู้พระธรรม ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร พุทธะคือรู้ รู้ถูก รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเป็นศาสดาผู้ให้ความรู้ พระองค์ทรงเป็นพุทธะ เพื่อที่จะให้คนอื่นได้รู้ตาม เป็นอนุพุทธะคือรู้ตามพระองค์ ถ้าเราไม่เข้าใจธรรม ไม่ศึกษา ไม่รู้ตามพระองค์ก็ไม่ใช่ชาวพุทธ
คุณทวีศักดิ์ ก็เป็นชาวพุทธในนามเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ ชาวพุทธจริงๆ ต้องเข้าใจพระธรรมและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจพระธรรม
คุณทวีศักดิ์ แล้วเราจะสังเกตในพฤติกรรม หรือว่าการแสดงออกต่างๆ ของชาวพุทธในทุกวันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างหรือส่วนใหญ่ ก็จะเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ผิด เพราะว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจที่ถูกต้องและยังไปมีผลกระทบต่อภิกษุด้วย เช่น การทำบุญ ปกติการทำบุญก็เป็นการทำบุญในการดูแลพระสงฆ์ที่บวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งท่านเองก็ใช้ชีวิตตามพระวินัย ไม่สามารถซื้อหาอาหารได้ ไม่สามารถประกอบอาหารได้ ไม่สามารถสะสมอะไรได้ ก็ได้รับการบิณฑบาต ได้รับอาหารจากพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา แต่ที่เห็นกันมาโดยตลอด แล้วก็ยังมีมากมายอยู่ก็คือ นำเงินไปใส่บาตร ซึ่งเป็นการผิดพระวินัย ถ้าไม่ปลงอาบัติก็ถือว่าเป็นภิกษุที่ทุศีล อันนี้เป็นประการหนึ่งระหว่างพุทธบริษัทที่มีภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุก็ต้องศึกษาพระธรรม อุบาสก อุบาสิกาก็ศึกษาพระธรรมเช่นเดียวกัน ถึงจะได้ประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธองค์ อย่างนั้นใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
คุณทวีศักดิ์ แล้วในลักษณะอื่นๆ ก็ยังมีอะไรอีกมากมาย และเมื่อสักครู่ผมยกตัวอย่างกรณีเกี่ยวกับภิกษุ หรือแม้กระทั่งที่ไม่เข้าใจ เช่น การไปทำบุญถวายสังฆทานในวัด สังฆทานหมายถึงว่าการทำบุญที่มีอานิสงส์มาก แต่ภิกษุออกมาเพียงรูปเดียว ไม่ได้เป็นสงฆ์ ถือว่าเป็นการคลาดเคลื่อนจากการประพฤติปฏิบัติหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจก่อนว่า สังฆะ หมายความถึง หมู่ของบุคคลซึ่งเป็นผู้สงบ แล้วก็ถ้าเป็นสังฆรัตนก็คือถึงการดับกิเลสเป็นสมุฏเฉท เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุเมื่อบวชแล้ว หนึ่งคนเป็นภิกษุบุคคลแต่ละหนึ่งๆ ๆ ถ้าจะทำผิดเป็นอาบัติ ภิกษุรูปนั้นอาบัติ ไม่ใช่สงฆ์อาบัติ เพราะฉะนั้นต้องมีภิกษุหนึ่ง ภิกษุบุคคลๆ ไป เมื่อมีการที่จะต้องกระทำกิจ ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่า ต้องประกอบด้วยพระภิกษุจำนวนกี่รูป เช่น ในการบวชประกอบด้วยภิกษุเท่าไร ในการที่จะทำกฐินประกอบด้วยภิกษุเท่าไร เป็นต้นเลย ก็จะต้องเป็นไปตามพระวินัย ไม่ใช่ภิกษุรูปเดียว แต่ต้องเป็นคณะสงฆ์ ซึ่งภิกษุที่จะร่วมทำสังฆกรรม ซึ่งรูปอื่นไม่ได้กระทำ อันนี้อนุโมทนาด้วยร่วมด้วยในพิธีก็ได้ แต่ที่จะกระทำจริงๆ ตามจำนวนที่ได้ประกาศไว้หรือกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ เป็นคณะสงฆ์ที่ทำกิจของสงฆ์ เมื่อทำกิจนั้นสำเร็จแล้ว แต่ละรูปที่กระทำกิจของสงฆ์ก็จะเป็นภิกษุบุคคลเหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นเวลาที่ถวายสังฆทาน ก็มีสองนัย คือถวายกับภิกษุที่ไม่เจาะจง ไม่ใช่คนนี้เป็นญาติ คนนี้เป็นเพื่อนไปบวช แล้วเราก็ถวายเฉพาะรูปนั้น แต่สังฆทานหมายถึงมุ่งต่อสงฆ์ ซึ่งไม่จำกัดว่าเป็นใคร แต่เป็นหมู่ของภิกษุ เพราะฉะนั้นการที่จะถวายสังฆทานคือบุคคลนั้นไม่เจาะจงที่จะถวายแก่ภิกษุบุคคล แต่สิ่งนั้นเป็นของส่วนรวมคือเป็นของภิกษุทั้งหมด ซึ่งถ้าภิกษุหรือใครก็ตามจะไปเอาของสงฆ์มาเป็นของตนไม่ได้ นอกจากว่าได้รับมอบหมายว่าให้มอบกับใคร หรืออะไรอย่างนี้ หรือจะบริโภคหรืออะไรก็แล้วแต่
พระวินัยเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก จึงต้องมีพระวินัยธรณ์ และในครั้งพุทธกาลก็มีภิกษุ ซึ่งเป็นเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศในทางวินัย พระวินัยละเอียดจริงๆ เพราะเหตุว่า วินัยเกิดจากจิต ซึ่งประกอบด้วยกุศลบ้าง อกุศลบ้างของผู้ที่เข้ามาบวช เพราะฉะนั้นถ้าประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็คือว่า การขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งมากกว่าชีวิตของคฤหัสถ์ที่ทำอยู่ เพราะฉะนั้นต้องรู้จริงๆ ว่าความผิดแม้เพียงเล็กน้อย เกิดจากการที่ประพฤติไม่เป็นไปตามวินัย แต่เป็นไปตามอย่างชาวบ้านทำ นี่ก็อาบัติเป็นโทษสำหรับพระภิกษุแล้ว
ด้วยเหตุนี้ การถวายสังฆทานไม่ได้มุ่งต่อภิกษรูปใดรูปหนึ่ง แต่มุ่งถวายแต่ผู้ที่เป็นสงฆ์ อีกนัยหนึ่งคือเป็นพระอริยบุคคล อาจจะเป็นรูปเดียวก็ได้ แต่ไม่ได้เจาะจงบุคคลนั้นเลย แต่ใจที่มีความเคารพนอบน้อมแต่พระสังฆรัตน ก็ทำให้การกระทำนั้นเป็นสังฆทาน
คุณทวีศักดิ์ อีกกรณีหนึ่งที่มีการทำบุญตักบาตรกันตามสถานที่ต่างๆ ตามชุมชนหรือตามตลาด อุบาสก อุบาสิกา ก็มีความตั้งใจและมีจิตเป็นกุศล และอยากจะทำบุญตักบาตร แต่ว่าในตลาดหรือในย่านชุมชนต่างๆ ก็จะมีลักษณะนี้ ซึ่งก็กราดเกลื่อนเห็นกันทั่วไป คือว่ามีภิกษุบิณฑบาตรเมื่อรับแล้วของบิณฑบาตรเหล่านั้นไม่ได้นำกลับไปวัด แต่กลับเวียนไปหาพ่อค้าแม่ค้า อุบาสก อุบาสิกา ที่เห็นภิกษุเป็นเนื้อนาบุญ เมื่อไปตักบาตรก็มีความรู้สึกไม่สบายใจในลักษณะนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งทั้ง ๓ ประการที่ยกตัวอย่างหนึ่ง ผมเองก็คิดว่า ที่จริงเป็นพระวินัยที่ภิกษุจะต้องรักษา ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่การปกครองของสงฆ์ก็ไม่ได้ลงมาจัดการดูแลให้ถูกต้อง ก็มีผู้คนไม่น้อยที่มองถึงกฎหมายว่า ประเทศไทยเรามีปัญหาทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การทุจริตคอร์รัปชั่น การทำอะไรที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม แต่กรณีนี้เป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา ก็มีผู้ที่คิดว่า พระพุทธศาสนาน่าจะได้รับการเอาใจใส่ดูแล ก็อาจจะต้องมีการปฏิรูปองค์กรสงฆ์หรือการปกครองของสงฆ์ เพื่อให้สงฆ์เป็นที่เคารพ เป็นที่ศรัทธาอย่างแท้จริงของอุบาสก อุบาสิกา ในเรื่องนี้ท่านอาจารย์ความเห็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ความหมายของปฏิรูปเป็นความหมายที่แก้ไขสิ่งที่บกพร่อง ผิดพลาดให้ดี เพราะฉะนั้นก่อนอื่นชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เห็นประโยชน์ ไม่ได้เห็นคุณของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็ละเลย ไม่มีใครที่จะศึกษาพระธรรมเลย มีความสุขไปวันๆ หนึ่งกับเรื่องต่างๆ โดยลืม ทอดทิ้ง ละเลยว่า ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งควรที่เราจะได้เข้าใจให้ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ละเอียด ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ เพื่อที่จะไม่ให้คลาดเคลื่อนจากความถูกต้อง
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ชาวพุทธ คนที่กล่าวว่าเป็นชาวพุทธ เริ่มมีชื่อว่าเป็นชาวพุทธ จะได้ตระหนักว่า พุทธะ ต้องเป็นความรู้
