001 คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์


    คุณทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล สนทนาธรรมกับ

    ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

    เรื่อง ธรรมเบื้องต้น

    วันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๑


    คุณทวีศักดิ์ เราเป็นชาวพุทธ เรานับถือพระพุทธศาสนา หัวใจสำคัญของชาวพุทธก็ต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ซึ่งเด็กๆ เยาวชนก็คงทราบกันดี พระรัตนตรัยมีองค์ ๓ คือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ฉะนั้นเองการที่เราเป็นชาวพุทธ เรามีหน้าที่ๆ จะต้องศึกษา และทำความเข้าใจกับหลักธรรมคำสอน ของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคงจะไม่ใช่ชาวพุทธที่มีชื่อเพียงระบุในบัตรประจำตัวประชาชนว่านับถือศาสนาพุทธ แต่เราจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะสิ่งที่เรามีความรู้ความเข้าใจถูกต้องนั้นจะนำพาชีวิตของเรา ให้มีความเจริญก้าวหน้า ในทางโลกและทางธรรม

    วันนี้เป็นโอกาสที่ดียิ่ง ที่เราได้รับความกรุณาจากอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านเป็นประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ท่านยังเป็นผู้บรรยายพระอภิธรรม และเป็นผู้บรรยายแนวทางการเจริญวิปัสสนา เราได้รับความกรุณาจากท่าน ที่ท่านจะมาสงเคราะห์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ผมเชื่อว่าถ้าเด็กๆ เยาวชนได้ฟัง คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองได้ฟังและท่านผู้ฟังทั่วไป ท่านจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต และการทำงาน ขณะนี้ท่านอาจารย์อยู่ในสายแล้ว เราจะมาสนทนาขอความรู้จากท่านอาจารย์ สวัสดีครับท่านอาจารย์สุจินต์

    ท่านอาจารย์ สวัสดีค่ะ

    คุณทวีศักดิ์ วันนี้ก็ขอให้ท่านอาจารย์ได้ให้ความรู้ทางพระพุทธศาสนาในลักษณะพูดคุยกัน เราจะมาเริ่มสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา เชิญท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นเราควรรู้ว่า ชาวพุทธคือใคร เพราะเราเกิดมาแล้ว เราก็เป็นชาวพุทธกันทุกคน สำหรับผู้ที่มีพ่อแม่เป็นพุทธ แต่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาที่เราได้ยินและเราได้รู้ว่าที่พวกเรานับถือมีความสำคัญ เพราะว่าเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างยิ่ง ซึ่งเราคิดว่าอย่างอื่นดูจะมีประโยชน์กว่า แต่ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีความรู้มากมายสักเท่าไรก็ตาม เป็นเยาวชนจะศึกษามากมาย แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี เพราะไม่รู้ความจริงของชีวิตว่า แท้ที่จริงแล้วอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญ เขาก็จะเห็นว่าการงานอาชีพบ้างหรืออะไรบ้างพวกนี้สำคัญกว่าที่จะให้เวลาแก่การที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนา

    คุณทวีศักดิ์ พูดถึงเรื่องชาวพุทธ เราก็มักจะได้ยินกันเสมอว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยเป็นชาวพุทธ ความรู้สึกของเรา เราก็มีความอุ่นใจมาก เพราะความเป็นเมืองพุทธ ความเป็นชาวพุทธนั้นก็หมายถึงว่า ชาวพุทธผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนานี้ ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีศีล ก็รักษากาย วาจาให้สุจริต อย่างน้อยก็มีศีล ๕ มีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ให้การสงเคราะห์ในการช่วยเหลือกันด้วยน้ำใสใจจริงที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร

    แต่ทุกวันนี้สถานการณ์ของสังคม และเรื่องราวต่างๆ นั้น มีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับการที่มีการพูดถึงว่า เราเป็นเมืองพุทธ แล้วเราก็มีชาวพุทธ ประชาชนคนไทยนับถือศาสนาพุทธถึงร้อยละ ๙๕ ของประชากร

    ท่านอาจารย์ ที่เป็นอย่างนี้เท่าที่เราเห็นโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะไม่ว่าประเทศไหน รวมทั้งประเทศไทยด้วย ก็มีเรื่องที่เป็นสิ่งที่น่าตกใจ เพราะเหตุว่ามีการฆ่า มีการทุจริต มีการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งฟังดูแล้วทำไมถึงเกิดขึ้นได้เป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ประเทศที่บอกว่านับถือพุทธ ก็ยังเป็นอย่างนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ดิฉันคิดว่า เราขาดความเข้าใจและสนใจที่จะเป็นชาวพุทธ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีมูลฐานรากจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เช่นเราคิดว่าเราเป็นชาวพุทธ เราจะทำอย่างโน้นอย่างนี้โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงว่า ชาวพุทธคือใคร เราก็จะลืมว่าเราไม่ได้เป็นชาวพุทธอย่างที่เราได้เข้าใจเลย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เข้าใจพระธรรม แล้วก็อบรมเจริญปัญญารู้ยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่เล็กๆ น้อยๆ ว่า เรารู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร เท่านั้นไม่พอ

    คุณทวีศักดิ์ กรณีเด็กๆ เยาวชนเอง ถ้าได้มีการศึกษา ที่จริงก็มีการศึกษาในโรงเรียน แต่ว่าก็เป็นการศึกษาในเรื่องในลักษณะของตัวหนังสือ ตัวพยัญชนะ แต่ความรู้ความเข้าใจหรือการซึมซับอะไรต่างๆ นั้นไม่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าเราไปพูดที่ปลายเหตุ เราไม่ได้พูดที่ต้นเหตุ ซึ่งความลึกซึ้งของพระพุทธศาสนา เพราะว่าพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อจะตรัสรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ทั้งโลก ไม่ว่าจะมีมนุษย์ เทวดา พรหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่คำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ยังไม่รู้คุณ ว่าท่านตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา เป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้ยินได้ฟังมากเพียงใด

    เพราะฉะนั้นยุคนี้สมัยนี้ เราก็มีเรื่องสนใจอย่างอื่น คิดอย่างอื่น แล้วก็ลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของชาวพุทธก็คือว่า ต้องเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง เช่นพุทธะคืออะไร ถ้ายังไม่รู้ก็ปลายเหตุ พูดถึงเรื่องยากๆ อริยสัจธรรม ๔ แต่ก็ยังไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร สัจจะคืออะไร ปริยัติคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์ที่แท้จริง ต้องไม่คาดว่าความเข้าใจต้องมีตั้งแต่ขั้นต้น จึงสามารถที่จะเข้าใจขั้นต่อๆ ไปได้ โดยเฉพาะคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนวิชาอื่น คือต้องมีพื้นฐานความเข้าใจที่ถูกต้องทุกคำแต่ละคำ จึงจะสามารถเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงได้

    คุณทวีศักดิ์ นั้นก็เป็นการศึกษาในระบบโรงเรียน แล้วก็มีการสอบ เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่เรื่องการสอบวิชาต่างๆ ของเด็ก ของนักเรียน ของเยาวชนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอาชีวศึกษาหรืออุดมศึกษาก็แล้วแต่ ก็เรียนกันเพื่อสอบจริงๆ ไม่มีอะไรที่ตกค้างอยู่ในจิตใจ หรือในความคิดใดๆ

    ท่านอาจารย์ แต่สำหรับพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรียนเพื่อสอบ แต่เพื่อเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพราะว่าแต่ละคำเป็นปัญญาทั้งหมด ปัญญาซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะมีได้เลย ไม่ว่าเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาหรือนักประดิษฐ์ต่างๆ ไม่มีใครที่สามารถจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวงเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องเป็นความจริง เป็นสัจจะ เป็นปัญญาซึ่งยาก ต้องว่ายาก ใครว่าพระพุทธศาสนาง่ายเป็นการหมิ่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าพระองค์จะทรงตรัสรู้สิ่งง่ายๆ แต่ความจริงแต่ละคำของพระองค์ ถ้าได้เข้าใจแล้ว จะรู้ได้จริงๆ ลึกซึ้งและยากยิ่ง เช่นคำว่าพุทธ ทุกคนคงเข้าใจความหมาย พุทธะคือรู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นชาวพุทธก็คือผู้รู้ แล้วจะรู้อะไร ถ้ารู้อย่างอื่นไม่ใช่ชาวพุทธเลย ชาวโลกรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่รู้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นประโยชน์ที่สุดว่า ไม่มีใครให้ประโยชน์กับใครได้เท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แค่นี้ก็ลึกซึ้งแล้วใช่ไหม

    คุณทวีศักดิ์ ใช่ แค่คำพุทธะเท่านั้นเอง แล้วยังหลักธรรมคำสอน องค์ธรรมอะไรต่างๆ อีกมากมายเหลือเกิน ถ้าพูดถึงการศึกษาในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ก็เรียกว่าศึกษาจากพระไตรปิฎก ซึ่งมีพระวินัย พระสูตร

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีพื้นความเข้าใจ ใครก็อ่านพระไตรปิฎกแล้วอาจจะเข้าใจผิดได้ เพราะถ้าผู้ใดก็ตามที่เพียงอ่านพระวินัยปิฏก แต่ว่าไม่มีความเข้าใจในความละเอียด ความลึกซึ้งและประโยชน์ของพระวินัย ก็จะประพฤติผิดพระวินัยได้ โดยคิดว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ทำได้ แต่ความจริงเขาไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วแต่ละข้อที่ทรงบัญญัติ เป็นสิ่งที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นพื้นฐานที่ตรง ที่จะแก้ทุกจุด ที่เป็นความประพฤติทางกาย ทางวาจา ถ้าเป็นพระสูตร ถ้าอ่านเองก็จะคิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ ให้เราละชั่ว ทำความดีและชำระจิตให้บริสุทธิ์ แต่ไม่มีหนทาง ไม่มีอะไรเลย เพียงแค่พูดอย่างนี้ใครจะเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้นเพียงนิดๆ หน่อยๆ ที่เห็นข้อความในพระสูตร ก็จะทำให้เข้าใจผิด แล้วก็คิดว่าเป็นเรา มีความเห็นที่ผิดไปว่า พระพุทธเจ้าให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความจริงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทรงแสดงพระธรรม คือเรื่องของธรรมโดยละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะไม่ให้เข้าใจผิด เพราะเราเข้าใจผิดมานาน เราไม่รู้จักสิ่งที่มีในโลกนี้นาน จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสำหรับพระอภิธรรมปิฎกเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทุกคนต้องรู้ประมาณว่า ความรู้ ความเข้าใจ ปัญญาของเราแค่ไหน เราจะมีปัญญาที่จะเข้าใจคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่ใช้คำว่า อภิธัมมะ ได้หรือ ถ้าเราไม่เริ่มต้นด้วยความเข้าใจถูกต้องตั้งแต่ต้น เป็นลำดับ และไม่อาจจะเห็นความละเอียดของพระอภิธรรม ก็เลยคิดเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกินเลยวิสัยที่เราจะรู้ได้

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมด้วยความเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นผู้ที่ฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีคุณและโทษ ถ้าเป็นคุณต้องถูก สิ่งใดก็ตามที่ถูกต้องเป็นคุณ แต่สิ่งที่ผิดเป็นโทษ

    คุณทวีศักดิ์ ถ้าจะกล่าวถึงในลักษณะนี้ ชาวพุทธของเรา ณ ปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นคุณของพระรัตนตรัย แล้วก็ไม่เห็นโทษของการกระทำที่เรียกว่าที่เกิดจากกิเลส ทางกาย ทางวาจา และก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อทั้งตนเองและผู้อื่นอะไรต่างๆ

    ท่านอาจารย์ โดยเฉพาะ ไม่เห็นโทษในการที่ศึกษาผิวเผิน แล้วก็คิดเอง เพราะคิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสง่ายๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจากการที่เป็นผู้ที่เผินและไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำให้เข้าใจพระธรรมทั้งหมดผิด แค่คำว่าธรรม ถามเยาวชนว่า ธรรมคืออะไร เห็นไหม จะตอบว่าอย่างไร

    คุณทวีศักดิ์ ก็จะตอบกันต่างๆ นานากันไป

    ท่านอาจารย์ แต่แท้ที่จริง ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม หมายความถึงทุกอย่างที่มีจริง เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงตรัสรู้ทุกอย่างที่มีจริงโดยที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่มีใครเสมอเหมือนได้เลย นี่คือการที่จะต้องมีความเคารพจริงๆ นอบน้อมยิ่งขึ้นในพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งขณะนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าอะไรเป็นธรรม

    คุณทวีศักดิ์ หมายถึงอริยสัจ ๔ หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมด อย่าเพิ่งไปไกลถึงอริยสัจจะ แค่ธรรมคำเดียวก่อน

    คุณทวีศักดิ์ สิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราไม่ทำธรรม เราจะไม่รู้จักอริยสัจธรรม

    คุณทวีศักดิ์ สิ่งที่มีอยู่จริง สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้

    ท่านอาจารย์ แต่เพียงคำว่าธรรมคำเดียว คนที่ไม่เคยฟังธรรมมาก่อน คิดไม่ถึง คิดไม่ออกว่าอะไรเป็นธรรม และเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เพราะฉะนั้นทุกคำ ต้องศึกษาด้วยความเคารพ ด้วยการที่พิจารณาให้ลึกซึ้ง เพราะความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้เลย ถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นความจริง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะกล่าวสั้นๆ ตั้งแต่ขั้นต้น เพราะเหตุว่าการศึกษาธรรมต้องให้คนที่ได้ฟังไตร่ตรอง พิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเองว่า คำนี้ถูกต้องไหม จึงสามารถที่จะฟังคำต่อๆ ไป ซึ่งทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญาทั้งหมด ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้

    คุณทวีศักดิ์ ในครั้งพุทธกาล การเผยแพร่พระธรรมของพระพุทธองค์นั้น ที่เรียกว่าพระสัทธรรม หมายถึงว่า เป็นธรรมที่ได้ยินจากการฟังอย่างนั้นหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ธรรมมีจริง เยอะไหม หลากหลายไหม

    คุณทวีศักดิ์ หลากหลายมากมายเหลือเกิน

    ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่าทุกอย่าง เว้นไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ถ้าจะเข้าใจโดยความคิดว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และก็ไม่มีเว้นเลยสักอย่าง ที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ เพราะว่าธรรมหลากหลายมากแม้ขณะนี้ เพราะฉะนั้นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาและพิสูจน์ได้ทันที ถ้าจะเข้าใจคำว่าธรรม ต่อไปนี้มีความเข้าใจตรงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เริ่มเห็นความสำคัญและประโยชน์ว่าต้องตรง ว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร และจะเข้าใจอะไร คำต่อๆ ไปอีกเยอะมาก

    เพราะฉะนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ความจริงมี ที่พระองค์ตรัสรู้นั้นทุกกาลสมัย ไม่ใช่เฉพาะสมัยพระองค์ แล้วพอโลกเปลี่ยนไปก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรต่างๆ ไปเป็นคนละสมัย ไม่ใช่ เพราะเหตุว่า คำว่าสมัยหมายความถึงขณะ ขณะหนึ่งก็มีสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นปรากฏ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นธรรม ฟังแค่นี้ไม่ทราบว่าจะพิจารณาตามได้ทันหรือเปล่า เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะงง ว่ากำลังพูดเรื่องอะไร กำลังพูดธรรม คือสิ่งที่มีจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ถึงที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย

    เพราะฉะนั้นตอนนี้ที่เราจะเริ่มคิดว่า แล้วอะไรที่เรารู้ไม่ได้ แล้วอะไรที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นผู้ที่ต้องการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระองค์ ก็จะต้องเข้าใจคำแต่ละคำที่ได้ตรัสไว้ แม้แต่คำแรกคือคำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง ไม่ทราบมีใครให้ตัวอย่างบ้างหรือเปล่า

    คุณทวีศักดิ์ สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันของเรา ก็คือเรามองเห็น มองเห็นสิ่งที่ปรากฏใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีเห็น ใช่ไหม

    คุณทวีศักดิ์ ใช่

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริง ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น ถูกต้องไหม

    คุณทวีศักดิ์ ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังเห็น คิดว่าเราเห็น แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ถ้าเห็นคือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็นไม่มี เราก็ไม่มีที่จะไปเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีอะไรเลยเกิดขึ้นในโลก โลกว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ก่อนที่จะเป็นโลกไม่มีอะไรเลย แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นแหละโลก เพราะฉะนั้นโลกมีเห็นไหม โลกมีได้ยินไหม โลกคิดนึกหรือเปล่า โลกกระทำธุรกิจอะไรต่างๆ หรือเปล่า ทั้งหมดที่ใช้คำว่าโลกก็เพราะเหตุว่า มีธรรมที่มีจริงเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่เป็นโลก ทุกคำในพระไตรปิฎกต้องชัดเจน แล้วก็เป็นสิ่งที่ใหม่มาก ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน เพราะเหตุว่าคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะกล่าวถึงคำจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมได้เลย เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งต้นตรง ก่อนที่จะไปถึงคำต่อๆ ไป เช่นคำว่าธรรม สัจธรรม อริยสัจธรรม หรือสัทธรรม หรืออะไรพวกนี้ ต้องเข้าใจให้ชัดเจนมั่นคง ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง

    คุณทวีศักดิ์ สิ่งที่ท่านอาจารย์กำลังกล่าวถึงนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริง อยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมด ทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะเรา ไม่ใช่เฉพาะเขา ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ทุกอย่างที่มีขณะนี้เกิดจึงมี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดเป็นโลก ถ้าไม่มีอะไรเลยเกิดขึ้นโลกก็ไม่มี เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งที่เกิดเป็นโลกหนึ่งๆ ๆ ซึ่งอันนี้ก็เริ่มละเอียด

    คุณทวีศักดิ์ หมายถึงสิ่งทุกอย่างใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่เว้นเลย ถ้าพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลยซักอย่างเดียว ธรรมทั้งหลายต้องทั้งหมดและอนัตตา อัตตาคือเราคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืนที่เที่ยง แต่อนัตตาไม่ใช่อย่างที่เราคิด เพราะสิ่งนั้นไม่ยั่งยืน เพียงเกิดขึ้นและความจริงที่คนไม่รู้ก็คือว่า เมื่อเกิด และดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่สืบต่อกัน สนิทจนกระทั่งเหมือนไม่มีอะไรกำลังเกิดดับเลยในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นนี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะได้เข้าใจธรรมก็ต้องเข้าใจในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ที่พระองค์ได้ตรัสรู้และทรงแสดง ค่อยๆ ไตร่ตรองว่า จริงไหม อย่างเห็น ไม่ได้เห็นตลอดเวลา ถูกต้องไหม

    คุณทวีศักดิ์ ใช่

    ท่านอาจารย์ เห็น เมื่อมีปัจจัยคือมีตา ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังกระทบตาเดี่ยวนี้ แล้วธาตุรู้คือจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นก็เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏก็ไม่ได้ เพราะไม่มี ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างสอดคล้องกันทั้งหมด ทั้งพระไตรปิฎกในความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นเรา หรือเป็นเขา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แยกโลกละเอียดยิบ เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ ไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมต่อไปได้เลย

    คุณทวีศักดิ์ ในทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการเห็น ก็จะมีเรียกว่ามีส่วนต่างๆ ที่อยู่เรียกว่าเป็นกระบวนการเดียวกัน หรืออะไรก็ไม่ทราบจะพูดอย่างไรแต่พูดแบบทางโลก จะมีองค์ประกอบอะไรที่เกี่ยวข้องกันในหลายๆ ส่วน หลายๆ อย่าง จึงทำให้เห็นใช่ไหม อย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ นั่นคือความคิดที่ชาวโลกผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดมานานแสนนานทุกชาติแสนโกฎกัปป์มาแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม แต่เพราะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่รู้ว่าพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย ต่อเมื่อใดศึกษาธรรม เข้าใจธรรมโดยความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะศึกษาอย่างละเอียดที่จะเข้าใจถูกต้องจริงๆ ในแต่ละคำ เมื่อนั้นก็แน่นอนตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก

    คุณทวีศักดิ์ สิ่งที่มีจริง นอกจากเห็นก็คือได้ยิน ก็ถือว่ามีจริงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ได้ยินมีจริงหรือเปล่า ใช่ไหม เราคงไม่ต้องถามใครใช่ไหมเพราะว่ากำลังได้ยิน ปฏิเสธไม่ได้เลย ผู้ที่ตรง ได้สาระจากพระธรรม เพราะไม่ใช่เป็นเราที่จะแปรเปลี่ยนสิ่งหนึ่งสิ่งใด คิดไปเอง แต่ว่าได้ยินเดี๋ยวนี้มีไหม ถ้าได้ยินเดี๋ยวนี้มีก็หมายความว่าได้ยินมีจริงๆ ถ้าไม่เกิดได้ยิน จะได้ยินไหม ก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นได้ยินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างละเอียดยิ่งใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงไว้ โดยนัยต่างๆ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน เรียกว่าตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่างที่มีจริงทุกขณะ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อให้คนที่เห็นประโยชน์ รู้ว่าเมื่อชาวโลกไม่รู้แต่มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ ควรฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ไหม เพราะเหตุว่าถ้าไม่ฟังจะไม่มีวันรู้เลย แล้วก็ไม่รู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใครด้วย


    หมายเลข 10883
    9 พ.ย. 2568