พระธรรมวินัย ๐๑๐ บวชเพื่ออะไร


    พระคุณเจ้า ก็จะเรียนถามว่า จะอยู่หรือจะไป คือประเด็นก็หมายถึงว่า จะอยู่หรือจะไป พูดถึงเรื่องความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ คือเป็นเดิมส่วนตัวของอาตมาคือ แบบมันไม่ค่อยยินดีที่จะประพฤติพรหมจรรย์ คือ ก็เลยอยากเรียนถามอาจารย์ว่าจะมีธรรมอะไรบ้างหรือไม่ที่จะขอความอนุเคราะห์จะโยมอาจารย์พอที่จะแนะนำ เพื่อจะบรรเทาความไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่เข้าใจพระธรรมวินัยเลย เวลาได้ยินว่าใครจะบวช ดีใจไหม ดีใจ เขาจะบวช แต่ถ้าศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว ไม่ดีใจ เพราะว่าต้องรู้ว่าเขาเข้าใจธรรมหรือเปล่า เขาเข้าใจพระวินัยโดยถ่องแท้หรือเปล่า หรือว่าไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้นในพระธรรม และพระวินัยก็ไม่รู้ด้วยแต่ว่าอยากจะบวช ไม่คำนึงอะไรทั้งหมด ใครก็ตามที่บวชอย่างนี้นี้ ดิฉันไม่อนุโมทนาเลย จะอนุโมทนาได้อย่างไร เขาเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระปัญญาคุณในเพศของสมณะพระศากยบุตรซึ่งดำเนินเดินตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการขัดเกลากิเลสจนถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงสมควรที่จะบวช แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรมไม่เข้าใจวินัยแล้วบวชทำไม บวชเพื่ออะไร เป็นภิกษุซึ่งคนอื่นเห็นแล้วกราบไหว้ แต่ไม่ได้มีอะไรคุ้มกับที่เขาจะกราบไหว้เลย เพราะเหตุว่าพระธรรมก็ไม่เข้าใจพระวินัยก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นสำหรับดิฉันเห็นแล้วมีจิตเมตตา ที่เขาจะได้รับผลของกรรมหนัก ซึ่งถ้าเป็นคฤหัสถ์ จะไม่ได้รับผลของกรรมหนักเลย เพราะเหตุว่าเพศของคฤหัสถ์กับเพศบรรพชิตนี้ต่างกันมาก คฤหัสถ์สามารถที่จะฟังธรรมอบรมเจริญปัญญาเพราะจริงใจรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่าไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างบรรพชิตได้ ซึ่งเป็นเพศที่สูงสุด ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ควรแก่การกราบไหว้บูชาในการที่สะสมมาที่สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือนด้วยความจริงใจ สละสมบัติ สละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะถึงการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องศึกษาทั้งพระธรรม และพระวินัยด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าอ่านพระวินัย ศึกษาบ้างไม่ศึกษาบ้าง คือไม่ทำก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรหรอกอย่างนั้นไม่ใช่ ไม่มีความจริงใจ และเป็นโทษหนักมาก เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นพระภิกษุที่ประพฤติผิดพระวินัย ดิฉันสงสาร แล้วก็มีความเมตตา ถ้าเป็นไปได้มีทางใดที่จะช่วยให้ไม่ต้องโทษหนัก ที่จะดำรงอยู่ไปในเพศบรรพชิต ก็สมควรที่จะลาสิกขา

    เพราะเหตุว่าแม้ในครั้งพุทธกาลผู้ที่เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ไม่ได้บวช เพราะเหตุว่าท่านไม่สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น แต่ว่าผู้ที่บวชแล้วในครั้งโน้นแต่ยังมีกิเลสอยู่ จึงได้มีการที่ทรงบัญญัติให้เห็นโทษของกิเลส ที่ทำให้ผู้นั้นประพฤติล่วงพระวินัยมากหรือน้อย ก็ไม่สมควรที่จะเป็นบรรพชิต เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นพระภิกษุจะต้องรักษาพระวินัยให้สมบูรณ์ มิฉะนั้นแล้วเป็นโทษที่หนักมาก ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหน ตั้งแต่ศึกษาธรรมมา เวลาที่มีคนบอกว่าเขาจะบวช ดิฉันก็เฉยๆ คือทำอะไรก็ไม่ได้ จะบอกว่าไม่ให้บวชก็พูดไม่ได้ บอกไม่ได้ เพราะเขาจะบวช และทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเขาก็ยังไม่ได้เข้าใจพระธรรมพอ และก็ไม่มีอัธยาศัยอย่างแท้จริง และคนที่จะบวชเพียงสัก ๗ วัน ๑๕ วัน ทรัพย์สมบัติยังอยู่ ไม่ใช่เป็นการสละ ไม่ใช่เป็นการละจริงๆ เลย เเล้วก็ถึงจะกี่วันก็ตาม ถ้าไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยตั้งแต่ต้น ย่อมเป็นโทษ แต่ว่าผู้ใดที่เห็นตัวเองว่าไม่สมควรเลย โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่จะประพฤติตามพระวินัยได้ ก็รู้ตัวเองจะอยู่ต่อไปให้เป็นโทษหนัก หรือว่าถ้าลาสิกขาแล้ว อาบัติทั้งหมดหมดสิ้น ไม่เป็นโทษ เพราะเหตุว่าไม่เป็นพระภิกษุอีกต่อไป และคนนั้นก็สามารถที่จะศึกษาธรรมอบรมเจริญปัญญา แม้ในครั้งพุทธกาลผู้ที่ลาสิกขาแล้ว ก็ยังรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งนี้เป็นความจริงใจ ตั้งแต่ศึกษาธรรมมา แล้วก็ได้ยินว่าใครจะบวช โดยที่ว่ารู้ว่าเขายังไม่ได้เข้าใจธรรม และไม่สามารถที่จะรักษาพระวินัยได้ด้วย เป็นผู้ที่ไม่ตรง และก็ไม่จริงใจ แล้วไม่รู้คุณค่าของพระศาสนาด้วย ถ้ารู้จริงๆ ก็จะรู้ได้ว่า เป็นศาสนาจากพระผู้มีพระภาคผู้ทรงตรัสรู้ ซึ่งแสดงหนทางที่จะขัดเกลากิเลสตามลำดับของผู้ที่เป็นเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ถ้าใครไม่มีอัธยาศัยที่จะเป็นบรรพชิต ไปชวนเขาบวชทำไม ในครั้งพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเป็นผู้ที่ทรงทราบอัธยาศัยของบุคคลที่ได้สะสมมาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์แก่เขาซึ่งสะสมมาแล้ว ก็มีการที่จะให้อุปสมบท เช่นพระนันทะเป็นต้น เพราะรู้อัธยาศัยว่าท่านจะได้ดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่บวชให้เต็มจำนวน จำนวนมากหรือน้อยได้ประโยชน์อะไร ใครที่จะบวชว่า ปีนี้บวช ๑๐ รูป ปีหน้า ๒๐ รูป อีกปี ๑๐๐ รูป ประโยชน์อยู่ที่ไหน เป็นเรื่องขัดเกลาหรือ ตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นการกระทำ ต้องพิจารณาเพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ซึ่งถ้าใครไม่มีอัธยาศัย ไปให้เขาบวช ผิดไหม เขาไม่ได้อยากบวช แต่ไปให้เขาบวช คิดว่าจะได้บุญหรือ ยังไม่รู้ด้วยว่าบุญคืออะไร ถ้ารู้เรื่องว่าพระคือใคร ภิกษุคือใคร สามเณรคือใคร และก็เป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่จะอุปสมบทหรือว่าบรรพชา ก็แล้วแต่เป็นสามเณรหรือเป็นพระภิกษุ เป็นอัธยาศัยของบุคคลนั้นเอง ถ้ารู้สึกตัวว่าไม่ สามารถที่จะดำรงเพศนั้นได้ ลาสิกขาดีกว่าที่จะอยู่ต่อไปโดยที่ไร้ประโยชน์ ไม่ศึกษาแล้วบวช ไม่มีประโยชน์เลย บวชแล้วไม่ศึกษาไม่ประพฤติตามก็เป็นโทษหนัก เป็นการไม่เคารพในเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นศากยบุตร บุตรที่เกิดจากอุระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ. คำปั่น ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวนี้ก็แสดงถึงความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าแสดงถึงเพศที่ต่างกัน เพศบรรพชิตก็สูงสุด เป็นเพศที่ที่ห่างไกลแสนไกลจากความเป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นจะมีชีวิตเป็นไปอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้เลย ต้องมีความจริงใจที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง จึงเป็นเรื่องของอัธยาศัยของผู้นั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เพศบรรพชิตก็ไม่เหมือนเพศคฤหัสถ์ คฤหัสถ์สารพัดคำพูดในทางสนุกสนานในทางอะไรก็ได้ แต่คำพูดของบรรพชิตก็ต้องเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทางธรรม มิฉะนั้นแล้วหมิ่นเหม่ต่อการที่จะอาบัติ

    อ. กุลวิไล แล้วอย่างกรณีภิกษุรับเงิน แล้วอย่างนี้ท่านก็ต้องแสดงอาบัติทุกวัน ถ้าท่านรับเงิน

    ท่านอาจารย์ เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยหรือเปล่า แม้ยินดีเพียงยินดีในเงินและทองที่เขาปวารณาไว้หรือให้ไว้ แล้วยินดีก็อาบัติ ไม่เหมาะควรที่จะศึกษาอบรมปัญญาในเพศบรรพชิต แต่สามารถที่จะเจริญปัญญาในเพศคฤหัสถ์ได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้เป็นพระอริยะบุคคลได้ แต่ถ้าทำผิดพระวินัยไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ถ้าไม่ปลงอาบัติ

    อ. กุลวิไล ถ้ายังได้ศึกษาพระธรรมวินัยก็พอทราบสิกขาบทบางข้อ และขณะเดียวกันเวลาที่เราเห็นเพศบรรพชิตประพฤติปฏิบัติไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ท่านก็ไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เลย

    อ.คำปั่น ก็มีข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้มากมายทีเดียว ในแต่ละสิกขาบทที่ที่แสดงถึงว่า ถ้ามีการล่วงละเมิด ไม่มีการกระทำคืน ก็เป็นผู้ที่มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า นี่ก็แสดงไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอาบัติเบาหรืออาบัติหนักก็ตาม ถ้าหากว่ายังปฏิญาณตนว่าเป็นพระภิกษุอยู่ มีอาบัติติดตัว ไม่ได้กระทำคืน ไม่ได้แสดงตามพระธรรมวินัย ก็เป็นผู้ที่มีอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไม่เมตตาหรือ เห็นๆ กันอยู่แล้วก็ไปอบายภูมิหมด ที่น่าพิจารณาก็คือแม้ในสมัยพุทธกาลเอง ก็มีหลายพระสูตรทีเดียวที่แสดงถึงว่าจากชีวิตของความเป็นพระภิกษุซึ่งเป็นเพศที่สูงยิ่ง แต่ว่าท่านเหล่านั้นไม่เป็นผู้ที่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็ทรงแสดงว่า หลังจากที่ละจากความเป็นพระภิกษุ คือตายจากชาตินั้นไป ก็เกิดเป็นสัตว์นรกอยู่นาน แล้วก็พ้นจากความเป็นสัตว์นรกก็มาเกิดเป็นเปรต บางท่านถึงกับในสมัยนั้นที่บวชก็เป็นถึงเจ้าอาวาส แต่ก็ประพฤติไม่เหมาะไม่ควร ก็เกิดเป็นเปรต อาศัยคูตรในเวจกุฏีเป็นอาหาร

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างนี้คฤหัสถ์จะถวายเงินทองแก่ภิกษุไหม ส่งท่านไปไหน

    อ. วิชัย ก็เป็นความไม่รู้ไม่เข้าใจในธรรมวินัยว่าบวชเพื่ออะไร ฉะนั้น การที่บุคคลที่ไม่เข้าใจก็กระทำตามๆ กัน อย่างที่ยกตัวอย่างกล่าวถึงว่าการนำเงินและทองไปให้แก่พระภิกษุสามเณรก็ตาม คิดว่าได้บุญมาก เห็นไหม การกระทำอย่างนั้นคือเป็นเหตุให้ภิกษุต้องอาบัติ เป็นเหตุให้สามเณรต้องล่วงศีล ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ดังนั้นก็ต้องค่อยๆ จะต้องศึกษา และก็เป็นผู้ที่ต้องเข้าใจในธรรมวินัย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นตัวอย่างของการบวชแล้วเป็นโทษ ไม่ใช่เป็นบุญ เพราะว่าไม่ได้กระทำตามพระธรรมวินัย เมื่อไม่เข้าใจก็ธรรมวินัย และจะปฏิบัติอะไรกัน มิจฉาปฏิปทา มีสำนักปฏิบัติสำหรับคนที่ไม่มีความรู้อะไรเลยก็ไปปฏิบัติได้ นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เคารพในการบำเพ็ญบารมีเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้รู้ความจริงหรือเปล่า ก็แสดงให้เห็นว่าไม่เห็นค่าของพระรัตนตรัยเลย เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคำที่ทรงแสดงเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ให้อยากบวช ให้อยากอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง

    อ. คำปั่น เมื่อได้ศึกษา ก็ได้ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ก่อนศึกษาพระธรรมก็ไม่มีความเข้าใจอะไร ก็มีการประพฤติปฏิบัติที่ผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง บางท่านก็เคยถวายเงินแก่พระภิกษุ แต่พอได้ศึกษาพระธรรมเข้าใจแล้ว ท่านก็ไม่ได้ถวายเงินทอง แต่ว่าถวายในสิ่งที่เหมาะควรแก่พระภิกษุ เพราะว่าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็มีความจริงใจที่จะไม่กระทำในสิ่งที่ผิดอีก แต่ว่าจะกระทำเฉพาะในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ สมัยนี้ จะได้ยินคำเชิญชวนด้วยความคิดของผู้ชายเขาบอกว่า เกิดมาทั้งทีก็ต้องบวช เพราะว่าเป็นผู้ชายก็ต้องบวช คำนี้ไม่มีในพระศาสนา แม้ในครั้งพุทธกาล ไม่มีใครที่ว่าเกิดเป็นผู้ชายแล้วต้องบวช แต่ต้องเป็นเพราะเห็นประโยชน์ของพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นไม่ใช่บวชเพราะคิดว่าอยากบวช ต้องบวช จำเป็นต้องบวช แต่ไม่รู้เลยว่าบวชทำไม

    ผู้ใดก็ตามที่บวชเพราะผู้อื่นให้บวช ไม่รู้ว่าบวชคืออะไร และก็เมื่อบวชแล้วก็ยังไม่เข้าใจธรรมด้วย ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น และยังเป็นโทษ เพราะเหตุว่าโทษหนักมากถ้าล่วงสิกขาบท ซึ่งตราบใดที่ยังมีกิเลสและความไม่รู้อยู่ย่อมไม่สามารถที่จะประพฤติตามพระวินัย ซึ่งทั้งหมดจะงามดุจพระอรหันต์ถ้าประพฤติตามได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงไม่รู้อะไรเลย แต่จะบวชมีกายวาจาตามพระวินัย ไม่ใช่จุดประสงค์ เพราะฉะนั้นจะไม่ได้รับประโยชน์จากการบวช ต้องรู้ว่าบวชเพื่ออะไร ต้องมีความเข้าใจถูกก่อน ก่อนจะบวชต้องรู้ว่าจะบวชเพื่ออะไร และเพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นความจริง ไม่จำกัดเลยว่าใคร ได้ฟังแล้วเข้าใจได้ก็สามารถจะประพฤติตามได้ เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทจึงมี ๔ ในครั้งพุทธกาล ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ทั้ง ๔ บริษัท ไม่จำเป็นต้องบวช แต่เป็นผู้ที่ตรงว่าสะสมมาที่พร้อมที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตหรือเปล่า เพราะว่าพระภิกษุในธรรมวินัยต่างกับบรรพชิตอื่นๆ มาก เพราะเหตุว่าทุกข้อจะต้องเป็นไปด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่ าเพราะอะไรพระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งคนอื่นไม่ สามารถที่จะล่วงรู้ถึงภัยมหาศาลซึ่งจะติดตามมาจากการที่ไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

    ผู้ฟัง ถ้าเผื่อว่าเข้าใจความจริงในขณะนี้แล้ว เข้าใจธรรมแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องบวช อย่างนี้จะถูกต้องหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ อัธยาศัยต่างกัน ตามอัธยาศัย แน่นอน ผู้ที่มีอัธยาศัยแม้มารดาบิดาจะขอร้อง ร้องไห้ไม่บวช ก็ยังอดข้าว ๗ วัน เพื่อที่จะบวช เพราะฉะนั้นแต่ละคนเป็นผู้ที่ตรงว่ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ติดข้องในเรื่องของคฤหัสถ์มากมายไหม ทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกาย ในเรื่องความสวยความงาม ในเรื่องเสียงพราะ ในเรื่องความสนุกสนานต่างๆ สามารถที่จะรู้ความจริงว่าขณะนั้นเป็นธรรม ค่อยๆ ขัดเกลากิเลส เพราะปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปละติดข้องในอาหารอร่อย ในสิ่งต่างๆ ในความเพลิดเพลินต่างๆ ก่อน ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าต้องละกิเลสตามลำดับขั้น กิเลสที่จะต้องละก่อน ก็คือการเข้าใจผิดที่ยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดว่าเป็นเรา ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ ดับกิเลสใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่าให้เราไปทำสิ่งซึ่งไม่ใช่อัธยาศัย แต่ว่าอยากจะรู้ อยากไม่ได้นำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่มีการบังคับใครทั้งสิ้นในพระพุทธศาสนา ที่จะให้บวชต้องเป็นอัธยาศัยของผู้นั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นการบวชเณรหรือบวชพระก็ตามแต่ ๑๐ รูป ๒๐ รูป ร้อยรูป พันรูป หมื่นรูป แสนรูป ไม่มีในพระธรรมวินัยที่จะต้องไปให้ใครมาบวชพร้อมๆ กันอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ผู้ที่บวชนั่นแสดงว่าท่านเข้าใจธรรมแล้ว ก็เห็นว่าสิ่งที่เป็นโทษ มีประการต่างๆ อัธยาศัยท่านก็น้อมไปเพื่อที่จะบวช อันนี้เป็นการที่เข้าใจธรรมแล้วก็ถูกต้องรู้จักตัวเองจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะบวชไหม เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วธรรมเป็นสิ่งที่เป็นปกติ ถ้าปัญญาจะรู้ก็ต้องรู้ความเป็นปกติ และบุคคลผู้นั้นสะสมมาที่จะเป็นปกติในเพศไหน

    ผู้ฟัง เข้าใจแล้วว่า ความเป็นปกติของแต่ละบุคคล ไม่มีใครจะทราบได้ เนื่องจากว่าต้องเป็นผู้นั้นเข้าใจตัวเองจริงๆ ตามความเป็นจริงซึ่งเริ่มจากการเข้าใจธรรมเสียก่อน

    ท่านอาจารย์ เป็นผู้ตรงสัจจะบารมี ถ้าไม่ตรงจะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย พระธรรมลึกซึ้ง แล้วก็เป็นชีวิตปกติประจำวัน สามารถที่จะเข้าใจได้ไม่ว่าในเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เพราะฉะนั้นก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า เมื่อได้ฟังแล้ว ชีวิตยังอยู่อีก จะศึกษาธรรมในเพศใด ตรงตามอัธยาศัย

    ผู้ฟัง ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญการบวชมาก

    ท่านอาจารย์ สรรเสริญการบวชอย่างไร

    ผู้ฟัง เป็นที่เครื่องขัดเกลาได้ดีกว่าเพศฆราวาส

    ท่านอาจารย์ ให้ทุกคนบวชหรือ ไม่ทุกคน เพราะฉะนั้นสำหรับใคร สำหรับผู้ที่มีอัธยาศัยเท่านั้น ที่มาถามจะให้คนอื่นรู้หรือว่าเราเองรู้ เรารู้ หากก็นั่นก็ต้องถามใครไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้

    พระคุณเจ้า เมื่อก่อนถ้าท่านบวชมาแล้วไม่เข้าใจธรรมอะไร แต่พอมาทีหลังเพิ่มเติมศึกษาธรรมเข้าใจธรรมแล้ว ก็รู้ว่าอัธยาศัยของตัวเองตามความเป็นจริงที่จะขัดเกลาในเพศของบรรพชิต แล้วก็ศึกษาธรรมปฏิบัติไปตามธรรมวินัยไปเรื่อยๆ โดยไม่ผิดปกติอะไรต่างๆ อย่างนี้น่าจะได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ถามใครก็ไม่ได้ทั้งหมด แต่พระคุณเจ้าต้องพิจารณาว่าที่บอกว่า เมื่อบวชแล้วศึกษาธรรมแล้วเข้าใจธรรมแล้ว ตรงไหม จริงไหม

    พระคุณเจ้า ส่วนมากก็ไม่ค่อยตรง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าผู้ที่รู้ว่าจริงและตรงเท่านั้น ที่สามารถที่จะรู้จักตัวเองว่า การอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งสัจธรรมในเพศบรรพชิตในยุคนี้ยากยิ่ง

    พระคุณเจ้า พูดถึงบุคคลที่จะเข้าใจธรรม และบวชเป็นพระภิกษุประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยแล้วแต่อยู่ในกลุ่มของภิกษุด้วยกัน แต่ภิกษุบางรูปก็ปฏิบัติตามวินัยเหมือนกันอย่างงั้นแหละแต่ความเข้าใจตัวธรรมของท่านไม่มี เข้าใจผิด ประพฤติผิดปฏิบัติผิดในการอบรมเจริญปัญญาคือตามวินัยประพฤติตามสิกขาบทเหมือนกัน มีศีลเสมอกัน แต่ทิฐิความเห็นไม่ตรงกัน

    ท่านอาจารย์ อันนี้ที่ว่าวินัยเหมือนกันตรงตามพระวินัยที่ได้ทรงแสดงว่าเป็นความฝันหรือเป็นความจริง

    พระคุณเจ้า คือตรงจุดนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่มีใครรู้ได้ คือต้องบุคคลนั้นเองจึงจะรู้ได้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะส่วนมากตามที่อาตมาเคยพบเคยเจอมาคือ เฉพาะหน้าแสดงตัวตนเหมือนจะจริงใจเลยต่อพระวินัย พอลับหลังนี้ไม่ใช่เลยคือไม่ใช่เป็นพูดตรง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผู้นั้นเป็นผู้รู้เองว่ายากแค่ไหนในยุคนี้สมัยนี้

    พระคุณเจ้า ต้องถามอาจารย์ ทำให้อาตมาได้เข้าใจ แยกอันไหนละเอียดลึกซึ้ง พอที่จะเข้าใจรู้ตัวเองว่าควรจะอยู่หรือจะไป

    ผู้ฟัง เหตุที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า ยุคนี้สมัยนี้เป็นยุคที่ยากแสนยากในการประพฤติขัดเกลาในเพศของบรรพชิต นี้เป็นเพราะว่า พระพุทธองค์ได้ปรินิพพานไปแล้วอย่างนี้ใช่เหตุผลใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ปรินิพพานไปแล้วแต่พระธรรมคำสอนยังอยู่ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในคำสอน ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ จะมีสำนักปฏิบัติไหม

    ผู้ฟัง ที่ยากเป็นเพราะว่า ความรู้ของบริษัทที่เหลือก็ไม่ค่อยมีที่จะเกื้อกูลท่าน

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ศึกษา เพราะไม่ได้เข้าใจจริงๆ มีการศึกษาชื่อ ศึกษาเรื่อง แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่รู้ว่าการศึกษาทั้งหมดก็คือศึกษาเพื่อเข้าใจขณะนี้ ตรงตามที่ได้ศึกษา ขณะนี้มีโลภาพไหม ที่ตอบว่ามีก็มี ที่ตอบว่าไม่มีก็มี ตามความจริงใครรู้ ถ้าไม่ศึกษาจะรู้ไหมว่า จิตเห็นขณะนี้เกิดดับเร็วมาก รูปก็เกิดดับเร็วมาก จิตเห็นดับแล้ว ก่อนรูปยังไม่ดับ หลังจากจิตเห็นเกิดแล้วดับไป อีก ๓ ขณะเท่านั้นโลภะเกิดแล้ว ใครรู้ นี่คือความบริสุทธิ์อย่างยิ่งของการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เเข้าใจจริงๆ เป็นผู้ประมาท


    หมายเลข 10622
    16 มิ.ย. 2568