พระธรรมวินัย ๐๑๓ - เกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ เราเข้าใจธรรมคนอื่นยังไม่เข้าใจธรรม ควรให้เขาเข้าใจไหม ใครไม่เข้าใจพระวินัยแต่เราเข้าใจกันบ้างแล้วเพราะว่ามีการศึกษาพระวินัยที่มูลนิธิ ควรที่จะให้คนอื่นเขาได้เข้าใจด้วยไหมเพื่อที่จะได้ถูกต้อง ไม่ทำสิ่งที่ผิด
อ. วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงการไม่เห็นแก่ตัว ก็คิดถึงสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งแต่เป็นสุเมธาดาบส ที่พระองค์เห็นประโยชน์ในการที่จะอบรมบารมีเพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เพื่อที่จะแสดงธรรมเพื่อให้คนอื่นได้รู้ตามพระองค์ ดูเหมือนกับว่าแม้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงความบริสุทธิ์ด้วยพระองค์เองแล้ว แต่ว่ายังมีพระมหากรุณาที่จะประกาศธรรมเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในธรรมให้บุคคลอื่นไม่ว่าเป็นสถานที่ต่างๆ
ท่านอาจารย์ การเข้าใจธรรมกับการเข้าใจพระวินัย ณ ปัจจุบันนี้ อะไรมากกว่ากัน ลองคิดเพื่อที่จะได้ทำประโยชน์ พระธรรมได้ฟังมานานมาก พระวินัยได้ฟังมากเท่าพระธรรมหรือเปล่า ถ้าเป็นการที่มีผู้ที่เข้าใจพระวินัยเพิ่มขึ้น สมัยนี้จะไม่เป็นอย่างนี้เลย เป็นความเสื่อมอย่างยิ่งของความประพฤติที่ไม่ประพฤติตามพระวินัย เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว แต่พระวินัยแม้แต่ญาติพี่น้องมิตรสหายคนที่รู้จักกันก็ยังไม่รู้ว่าไม่ควรให้เงินและทองแก่พระภิกษุ เพราะภิกษุไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง แค่นี้ก็ไม่รู้ แล้วจะรู้อะไรที่ยิ่งกว่านี้ เพราะฉะนั้นสมควรไหม ถึงเวลาไหม ที่จะมีความเมตตา เห็นว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ที่ควรที่จะให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจควรทำไหม ขณะนั้นก็เป็นการขัดเกลากิเลสของเราเองด้วยความเมตตาที่จะให้คนอื่นเข้าใจถูกต้อง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ประพฤติผิด เพราะเหตุว่าภิกษุใดที่ประพฤติผิด ตามพระวินัยที่ทรงบัญญัติไว้ ต้องอาบัติคือเป็นโทษที่ไม่ประพฤติตามพระวินัย แล้วถ้าไม่ปลงอาบัติให้ถูกต้องตามพระวินัย ก็ไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุใด คฤหัสถ์ไม่ใช่บรรพชิต ชีวิตไม่ได้อยู่ได้โดยอาศัยผู้อื่น แต่ผู้ที่อยู่ได้โดยอาศัยคุณความดีของผู้อื่นที่สละปัจจัยต่างๆ ให้พระภิกษุดำรงชีวิตอยู่ได้นั่นคือคุณความดีของคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นภิกษุใด รู้คุณของความดี ภิกษุนั้นต้องประพฤติตามคุณความดีที่รู้ จะไม่ประพฤติตามคุณความดีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแสดงว่าไม่รู้คุณของผู้มีคุณ แล้วก็ประพฤติผิด เป็นโทษอย่างยิ่งไหม ถ้าไม่ใช่พระภิกษุ การให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดกับคนอื่น เราให้ด้วยความรู้ความจริงว่าบุคคลนั้นขัดสน แต่การที่จะให้พระภิกษุแล้วไม่รู้ความจริงว่าพระภิกษุนั้นศึกษาธรรมหรือเปล่า ประพฤติตามพระวินัยหรือเปล่า แต่พฤติกรรมการแสดงของการรับเงินและทอง รู้ได้เลยว่าไม่ประพฤติตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า เป็นเบื้องต้นของอกุศลทั้งหลายที่จะติดตามมา เพราะฉะนั้นจึงเห็นพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามพระวินัยในยุคนี้ในสมัยนี้ เพราะฉะนั้นควรไหมที่จะให้ได้รู้ทั่วๆ กัน
อ. วิชัย ก็มีคนที่โทรมาถามหลังจากที่เรามีการเผยแพร่ว่า บางครั้งก็รู้ว่าไม่ควรถวายหรือว่าให้เงินแก่พระภิกษุ แต่ว่าด้วยการฟังไม่ด้วยดี ก็คิดว่าพระภิกษุก็ต้องมีค่าเดินทางค่าใช้จ่ายต่างๆ ดูเหมือนกับว่าเป็นความที่ไม่พิจารณาไม่ฟังว่า การที่ให้เงินและทองกับพระภิกษุ และพระภิกษุรับไปมีโทษ
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราต้องอดทนให้เขาเข้าใจไหม หรือปล่อยไปให้เข้าใจผิด คุณวิชัยจะอดทนไหม ก็ต้องกล่าวด้วยความถูกต้องตามธรรมวินัยให้คนอื่นที่เขายังไม่เข้าใจโดยทั่วกันจะอดทนกล่าวไปเรื่อยๆ ไหม
อ. วิชัย ก็ต้องอดทนกล่าวไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ เพื่ออะไร
อ. วิชัย ก็เพื่อแสดงความจริงเพื่อที่จะให้พระธรรมวินัยดำรงอยู่ แสดงสิ่งที่เป็นธรรมก็ต้องเป็นธรรม สิ่งที่ไม่ใช่ธรรมก็ต้องไม่ใช่ธรรม
ท่านอาจารย์ เพื่อประโยชน์ใช่ไหม ก็ต้องเพื่อประโยชน์ เช่นทุกคำที่กระทำเป็นไปเพื่อประโยชน์ ไม่ผิด และถูกต้องด้วยเป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วย เป็นการขัดเกลากิเลสของตนเองด้วย ที่จะไม่เห็นแก่ตัว
อ. วิชัย ถึงแม้ว่าบุคคลอื่นที่ไม่เข้าใจมีมากมายเหลือเกิน ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วก็แม้ฟังอยู่ก็ยังประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่
ท่านอาจารย์ ก็ต้องพูดจนกว่าเขาจะเข้าใจดีไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่ความดีความถูกต้องก็ต้องพิจารณาว่าสิ่งใดควรทำ เรื่องการที่จะขัดเกลากิเลสจนรู้แจ้งอริยสัจธรรม อีกนานเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะเหตุว่าแม้คุณความดีในชีวิตประจำวัน ที่สามารถจะเป็นไปได้ทีละเล็กทีละน้อยก็ยังไม่กระทำ แล้วจะหวังอะไรที่จะขัดเกลากิเลส จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ด้วยเหตุนี้ถ้ารู้ว่า การที่จะเข้าใจธรรมซึ่งกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ตามปกติ อย่างผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ผู้ที่เป็นพระโสดาบันก็มี ท่ามกลางสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติอย่างนี้ ผู้ที่ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็มี ท่ามกลางสิ่งที่กำลังเป็นปกติในขณะนั้น เหมือนอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เห็นประโยชน์ของกุศลทั้งปวง ที่จะค่อยๆ เป็นบารมี ที่จะทำให้คุณความดีเพิ่มขึ้น เพราะปัญญารู้ประโยชน์ ที่ทำคุณความดีกัน ก็ต้องเป็นเพราะปัญญาเห็นประโยชน์ แต่ถ้าขณะใดที่ไม่ทำคุณความดีจะกล่าวว่าเห็นประโยชน์ได้ไหม จะกล่าวว่าเป็นปัญญาได้ไหม ก็มีตัวตนที่อยากจะหมดกิเลสเร็วๆ ที่ต้องการจะฟังพระธรรม แต่ว่าไม่ได้เห็นประโยชน์เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว การสละความเห็นแก่ตัว ไม่ง่าย ต้องทุกอย่างทุกประการ แม้ในชีวิตประจำวันด้วย
ถ้าบวช ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เป็นบาปหรือเป็นบุญ ตรงต้องตรง ถ้าไม่ตรงก็คือไม่ได้ฟังด้วยดี เพราะฉะนั้นต้องคิด การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดบวช แล้วไม่ศึกษาพระธรรม แล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เป็นบาปหรือเป็นบุญ ที่บวช เริ่มตั้งแต่บวช บวชทำไม ก็เป็นบาปแล้ว เพราะไม่รู้ว่าบวชทำไม ถ้ารู้ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามคือศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย จึงเป็นบุญ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ชักชวนกันไปบวชเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน ชวนเขาไปทำบาป ให้เขาเป็นบาปหรือว่าให้เขาเป็นบุญ เพราะฉะนั้นการที่จะตอบแทนพระคุณ ต้องด้วยคุณความดี ไม่ใช่เอาความไม่ดีไปตอบแทนคุณของใคร นั่นตอบแทนไม่ได้เลย ความไม่ดีจะไปตอบแทนคุณไม่ได้ คุณต้องตอบแทนด้วยคุณความดี
อ. ธีรพันธ์ ก็ช่วยกัน เพราะว่า วิริยะคือนำออก นำออกซึ่งกิเลส ไม่ใช่เฉพาะเพศภิกษุเท่านั้น ภิกษุมีกิเลส แล้วก็คฤหัสถ์ไม่มีกิเลสหรือ หรือจะไม่ต้องมาศึกษา ศึกษาเฉพาะภิกษุ หรือว่าคฤหัสถ์หมดกิเลสแล้วไม่ต้องศึกษา แล้วจะศึกษาจากที่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระวินัยในส่วนของพระวินัยที่มีมารยาท อาจาระ โคจระที่งดงามมากเลย สำหรับภิกษุที่บวชเข้ามาในธรรมวินัยที่ประพฤติตามสิกขาบทที่พระภูมิภาคทรงบัญญัติไว้ งดงามจริงๆ เลย เป็นผู้ที่งามพร้อมทั้งกายวาจา จะฟังจากที่ไหน หรือจะฟังแต่พระสูตรพระอภิธรรม แต่ว่ากิเลสที่เกิดขึ้นก็เป็นไปกับความเห็นแก่ตัว อยากจะรู้ธรรม อยากจะรู้เรื่องราวเยอะๆ แต่ว่าไม่ศึกษาที่จะมีการขัดเกลา ที่เป็นการฝึกกายวาจา เพราะฉะนั้นการศึกษาพระวินัยเป็นประโยชน์มากเลย เพราะว่าอย่างน้อยได้ทราบว่า ภิกษุในธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ในเมื่อผู้อื่นทราบอย่างนี้ใช่ไหม ถ้าจะคิดเขาจะบวชก็คิดแล้วว่า ถ้าจะมาบวชต้องรับเงินทองไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าบวชตามๆ แล้วก็จะมารับเงินในเพศพระภิกษุ ถ้าทราบอย่างนี้ แล้วก็จะมีความละอาย การคิดจะบวชก็ลดน้อยถอยลงไปจนคิดไม่บวชเลย ศึกษาธรรมในเพศของคฤหัสถ์ก็ได้ นี่คือการประกาศ วินยะคำสอนที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังอย่างนี้เลย ก็จะเข้ามาบวชอีก ก็เป็นการดี คำว่าบวชก็บวช บวชเข้ามาเเต่ว่ามาทำลายคำสอน ในท้ายที่สุดทำลายผู้นั้นเองโดยไม่รู้ตัว
ท่านอาจารย์ ถ้าจะให้คนที่จะบวชเข้าใจว่า จะบวชเป็นภิกษุ รับเงินทองไม่ได้ ยินดีในเงินและทองไม่ได้ และไม่รับสิ่งซึ่งไม่ใช่วิสัยของบรรพชิต จะรับสิ่งที่ฟุ่มเฟือยไม่ได้ จะทำเหมือนอย่างเพศคฤหัสถ์ไม่ได้ ให้เขารู้ว่าเขาสามารถที่จะเป็นภิกษุได้ไหม จะบวชไหม ควรที่จะให้เขารู้ก่อนใช่ไหม ก่อนบวชต้องรู้ว่ารับเงินทองไม่ได้ รับได้แต่เฉพาะสิ่งที่สมควรแก่ผู้สงบ ซึ่งสามารถที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพื่อขัดเกลากิเลสจึงไม่เป็นโทษ บอกให้รู้ก่อนบวชจะดีไหม ดีไหม แล้วต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยว่า ถ้าสามารถจะบวชได้ จึงควรบวช เพราะรู้ก่อนแล้วว่า บวชแล้วรับเงินรับทองไม่ได้ แล้วจะบวชหรือไม่ ถ้าจะบวชก็ต้องไม่รับเงินรับทอง ไม่มีกรณีไรๆ ที่จะบอกว่าเพราะเหตุนั้นหรือเพราะเหตุนี้เลย เมื่อศึกษาพระธรรมมีความเข้าใจในเรื่องการที่จะขัดเกลากิเลส นำกิเลสออก ด้วยความประพฤติทางกายทางวาจาที่ละเอียดกว่าคฤหัสถ์ ขณะนั้น ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเป็นบรรพชิตโดยที่ว่าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะไม่รู้ว่าจะขัดเกลากิเลสได้อย่างไร ก่อนบวชควรให้ทุกคนที่จะบวชรู้ แต่ปัจจุบันทันทีที่บวชเสร็จ ก็ถือบาตรแล้วก็มีผู้ใส่เงิน ทันที บาปตั้งแต่บวช ทันทีที่บวช สมควรไหมที่จะให้เขาได้รู้ความจริงเพื่อที่จะไม่ได้เป็นโทษต่อไป
อ. คำปั่น ก็เป็นประโยชน์มากที่ได้ฟังที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย เป็นประโยชน์โดยส่วนเดียว เพราะว่าเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงโดยตรงเลย ซึ่งจากการสนทนาธรรม ท่านอาจารย์ได้กล่าวให้เข้าใจถึงความจริง โดยกล่าวให้ได้คิดพิจารณาว่า ทำไมถึงไม่อยากฟังพระวินัย ทำไมถึงไม่อยากฟังพระวินัย ก็เพราะว่าไม่เข้าใจว่า นั่นคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมเป็นคำจริง แล้วก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลโดยส่วนเดียว แม้แต่ในส่วนของพระวินัยที่ได้กล่าวอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงนี้ ก็คือเรื่องของการรับเงินและทอง ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เพราะว่ามีสิกขาบทโดยตรงเลย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ว่า
ภิกษุใดรับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งเงินและทอง หรือยินดีเงินและทองที่ผู้อื่นเก็บไว้ให้ เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
นี่เป็นพระบัญญัติเป็นสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุจะได้ศึกษาในบทนี้ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม คือต้องไม่รับ และไม่ยินดีในเงินและทอง พร้อมกันนั้นก็ต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจโดยละเอียดด้วย
ท่านอาจารย์ ยังมีใครที่คิดว่าคฤหัสถ์ไม่ควรที่จะฟัง และเข้าใจพระวินัยบ้างไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แค่ฤหัสในสมัยพุทธกาล เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ในสมัยพุทธกาล เข้าใจพระธรรมเห็นประโยชน์จริงๆ ของการที่จะขัดเกลากิเลส และการที่จะสามารถเข้าใจในพระวินัยด้วยบุคคลนั้นขัดเกลากิเลสของตนเองด้วย ไม่ใช่เฉพาะวินัยของคฤหัสถ์คือศีล ๕ แต่ยังมากกว่านั้นอีก พระพระวินัยละเอียดอย่างยิ่ง ยิ่งเห็นความละเอียดของบุคคลที่บวชเป็นพระภิกษุ กิเลสของคฤหัสถ์ก็เช่นเดียวกัน แล้วก็มากด้วย เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะขัดเกลาโดยไม่ต้องไปบวชเป็นภิกษุ ก็ทำได้ เพราะฉะนั้นในพระวินัยปิฏก มีเสขิยวัตรมีข้อที่คฤหัสถ์ก็ประพฤติปฏิบัติตามได้ ทำให้ขัดเกลากิเลส ด้วยความเข้าใจธรรมว่า แม้กิริยาที่ไม่ งามวาจาที่ไม่สมควร เกิดจากกิเลส เพราะฉะนั้นบรรพชิตไม่สมควรที่จะพูดฉันใด คฤหัสถ์ที่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็จะขัดเกลาตัวเองตามพระวินัยด้วย และถ้าไม่มีคฤหัสถ์ในครั้งพุทธกาล ใครจะเพ่งโทษติเตียนโพนทะนา การกระทำที่ไม่ถูกต้องของพระภิกษุ เพราะฉะนั้นถ้ายุคนี้สมัยนี้ คฤหัสถ์ใดยังคิดว่าไม่ต้องฟังไม่ต้องเข้าใจพระวินัยก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คฤหัสถ์ในครั้งพุทธกาล คือไม่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าทุกคำ แม้เป็นคำที่ตรัสเป็นวินัยบัญญัติแก่ภิกษุ คฤหัสถ์ก็สามารถที่จะได้ฟังเข้าใจ เห็นประโยชน์ และก็ประพฤติปฏิบัติตามโดยไม่ต้องบวชก็ได้ แต่ว่าเป็นการเห็นอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยว่าไม่สมควรที่จะกระทำ แม้ไม่ใช่บรรพชิต
ต้องเป็นแต่ละคน ที่เห็นคุณประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจพระธรรมถูกต้อง แล้วก็เริ่มศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่มีเมตตากับผู้ที่ไม่รู้หรือว่าเข้าใจผิด โดยการที่ชี้แจงสิ่งที่ถูกต้อง การเชียร์ฟุตบอล ไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย เพราะเหตุว่า ถ้าจะถามผู้ที่บวช จะต้องรู้ว่าบวชเพื่ออะไร และเมื่อบวชแล้วทำอะไร บวชแล้วก็คือว่าเพื่อก่อนบวชต้องรู้ว่า เพื่อจะได้เข้าใจพระธรรม โดยการที่สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ซึ่งเป็นชีวิตที่สะอาดตั้งแต่ตื่นจนหลับ เพราะว่าเห็นคุณค่าของพระธรรม ไม่มีสิ่งอื่นที่จะยิ่งกว่า ลาภยศทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เคยมี ไม่เท่ากับการสละหมด เพื่อประโยชน์ต่อการที่จะได้เข้าใจธรรมมากกว่าเพศของคฤหัสถ์ และเพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจพระธรรมแล้วก็รู้ว่าการขัดเกลากิเลส เพราะปัญญาที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ด้วยเหตุนี้จึงสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง เพราะทรงรู้ว่าข้อใดความประพฤติใดที่จะทำให้ภิกษุอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ขัดเกลากิเลส ถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม นั้นเป็นพระภิกษุในธรรมวินัย คือมีกิจ ๒ อย่างคือศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นถ้าถามผู้ที่บวชว่า บวชทำไม ก็ต้องตรงจุดประสงค์ มิฉะนั้นแล้วก็เป็นคฤหัสถ์ก็ฟังธรรมได้ ไม่ต้องบวชเลย และเมื่อบวชแล้วรักษาพระวินัย ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเพื่ออะไร ต้องเพื่อการขัดเกลากิเลส เพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะเข้าใจได้จากการที่ได้เข้าใจถูกต้อง โดยการศึกษาธรรม เห็นคุณของพระธรรมว่า เพราะธรรมความเข้าใจนี้ นำไปสู่การที่จะเห็นคุณของการประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย สิ่งใดที่ถูกต้องก็ต้องประพฤติตาม ไม่ใช่ไปทำสิ่งที่ผิดๆ และอ้างว่า ผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องเกมส์ รื่องอะไรต่างๆ แต่ว่าต้องไม่ลืม จุดประสงค์ของการสละเพศคฤหัสถ์ซึ่งมากไปด้วยความสนุกสนานบันเทิงต่างๆ วงศาคณาญาติทรัพย์สมบัติ เพราะเห็นว่าไร้ประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เท่ากับการที่จะได้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า เพื่อเข้าใจพระธรรม และประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสตามพระวินัย มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่ สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม ในเพศบรรพชิต เมื่อไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลย สิ่งที่ถูกต้องถูก การกล่าวคำจริงเป็นการกล่าวเพื่ออนุเคราะห์ให้คนที่ไม่รู้ได้เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เพื่อที่จะได้ไม่ประพฤติในทางที่ไม่ควร หน้าที่ของพระภิกษุคือศึกษาพระธรรมวินัย แล้วก็รักษาพระวินัยประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท ไม่ใช่เป็นผู้ตามพุทธบริษัท ว่าพุทธบริษัทต้องการอะไรก็ทำอย่างนั้น ในสมัยพุทธกาล ไม่มีผ้ายันต์ ไม่มีสิ่งที่มีในสมัยนี้ เพราะอะไร เพราะบุคคลในครั้งโน้น เห็นประโยชน์ของการที่จะเป็นพระภิกษุในธรรมวินัยซึ่งต่างกับคฤหัสถ์ แต่ถ้าประพฤติอย่างคฤหัสถ์ บวชทำไม
อ. กุลวิไล คฤหัสถ์ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่า พระภิกษุท่านทำถูกต้องแล้ว เห็นท่านศึกษาพระธรรม แต่ท่านอาจจะมีความเห็นผิด แล้วก็ประพฤติปฏิบัติผิดด้วย ก็ยังคิดว่าเป็นทางที่ถูก ขณะเดียวกันก็คฤหัสถ์เองก็ไม่ได้ศึกษาด้วย เพราะฉะนั้นขาดความเข้าใจธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่พึ่งคนอื่น มีตนเองเป็นที่พึ่งโดยเข้าใจพระธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จึงจะพึงได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่อาศัยไหว้วานพึ่งคนอื่น ด้วยเหตุนี้ ไม่เกี่ยงให้คนอื่นศึกษาธรรม แต่ละคนเมื่อเห็นประโยชน์แล้วก็ศึกษา ถ้าเป็นอย่างนี้ทั้งประเทศก็ศึกษาธรรม ไม่ใช่พุทธศาสนาดีมาก แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง ให้คนอื่นเข้าศึกษา ให้เด็กๆ ศึกษา แต่ตัวเองก็ไม่ได้ศึกษา อย่างนั้นเป็นผู้ที่ไม่ตรงไม่จริงใจ ถ้ารู้ว่าสิ่งใดประเสริฐ เห็นค่าจริงๆ เพราะฉะนั้นทั้งชีวิตควรจะเป็นยังไง เพื่ออะไร
อ. กุลวิไล เป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมจริงๆ ก็ต้องเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้
ท่านอาจารย์ เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก็แสนยากใช่ไหม แล้วจะเป็นพระภิกษุที่ดีจะยากกว่าสักแค่ไหน และถ้าไม่เป็นพระภิกษุที่ดี ก็เป็นโทษแก่ตนเอง เป็นโทษที่หนักมาก เพราะเหตุว่านอกจากตนเองจะทำลายประโยชน์ของตน แล้วก็เมื่อสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว โทษหนัก ที่ทำลายคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพูดคำที่ไม่จริง มุสาวาทะ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับ พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แต่สอนให้ทำ สอนให้เป็นตัวตน สอนทุกอย่างที่จะให้ติดข้อง ไม่ใช่เป็นการละกิเลส เพราะฉะนั้นก็ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โทษต้องหนักมาก ด้วยเหตุนี้เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก่อน ถ้ารู้สึกตัวว่าไม่สามารถที่จะเป็นพระภิกษุที่ดีได้ ลาสิกขาได้ แล้วก็ศึกษาพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นดิฉันเคยกล่าวว่า ใครก็ตามที่ลาสิกขา เพราะไม่สามารถจะเป็นพระภิกษุที่ดีได้ ดิฉันดีใจ และขออนุโมทนาด้วย
อ. คำปั่น จริงๆ ก็ไม่ต้องบวช ก็ถ้ามีความประสงค์ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจความจริงก็สามารถที่จะเริ่มต้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใดก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับการจะสะสมของแต่ละบุคคลว่าจะเห็นคุณของพระธรรม เห็นคุณของความเข้าใจความจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าถ้าหากว่าบวชเป็นพระภิกษุเป็นบรรพชิต แต่ว่ามีความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็มีโทษมาก อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่ เป็นโทษจริงๆ การเกิดในนรก การเกิดในอบายภูมิรออยู่แล้ว สำหรับพระภิกษุที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ซึ่งหลายท่านก็คงจะได้ทราบเหตุการณ์ข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพระภิกษุ สำหรับผู้ที่เข้าใจความจริง เป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมก็รู้ได้เลยว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นไม่ใช่กิจของพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ภิกษุที่ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่ได้มีการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่มีการขัดเกลากิเลส แต่ว่าพฤติกรรมที่ท่านทำนั้นตรงข้ามกันเลย เป็นการบิดเบือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ และที่สำคัญ พอกพูนสะสมหมักผมในสิ่งที่เป็นโทษให้กับตนเองไว้มากมาย ท่านไม่รู้ตัวเลยว่าท่านกำลังทำทางให้ตัวของท่านเอง ไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีน่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่ได้คล้อยตามพระธรรมวินัย ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ มีแต่โทษโดยส่วนเดียวจริงๆ
