พระธรรมวินัย ๐๑๔ ฟังคำที่ควรฟัง
ผู้ฟัง เรื่องที่ว่าที่มูลนิธิแล้วขณะนี้ก็มีการพูดคุยถึงเรื่องพระธรรมวินัยก็เยอะมากก็ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีการสนทนากันเยอะ ซึ่งบางคนก็อาจจะคิดว่ามากไป ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรว่า ทำไมทางมูลนิธิเราถึงได้ต้องคุยเรื่องพระธรรมวินัยเยอะมากช่วงนี้
ท่านอาจารย์ คนที่ว่าพระธรรมวินัยมากไป เขารู้หมดแล้วใช่ไหม ไม่ต้องฟังอีกหรืออย่างไร ก็เหมือนกับว่าเขาฟังมาหลายเดือนแล้ว
ท่านอาจารย์ พระวินัยมีจบไหม เหมือนอย่างพระอภิธรรมมีจบไหม พระสูตรมีจบไหม แค่ได้ฟังนิดเดียวพอแล้วหรือ
ผูฟัง เหมือนกับว่าถ้าเป็นสมัยก่อนเราก็จะมีสนทนาหลากหลายใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แล้วไม่เห็นประโยชน์ของพระวินัยว่า พระวินัยก็คือธรรม และความละเอียดของพระวินัยก็ช่วยทำให้เห็นความละเอียดของกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีการบัญญัติพระวินัยเลย แต่พระวินัยทุกข้อ บัญญัติเมื่อพระภิกษุทั้งหลายทำผิดเพราะยังมีกิเลสอยู่ ทรงประชุมสงฆ์ แล้วก็บัญญัติว่าเป็นสิ่งที่สงฆ์เห็นพร้อมว่าเหมาะควรก็บัญญัติ ไม่ใช่ตามที่พระองค์คิดว่าภิกษุคิดอย่างหนึ่งแล้วพระองค์คิดอย่างหนึ่ง แต่ต้องให้สงฆ์เห็นว่าถูกและสมควรด้วย ที่จะบัญญัติให้เป็นข้อประพฤติปฏิบัติของภิกษุ ทั้งหมดตลอดไปทุกกาลสมัย แล้วเราว่ามากไป เรารู้หมดหรือยัง และเราควรจะรู้ไหม ที่เราคิดว่าไม่ควรรู้เพราะเราไม่ใช่พระภิกษุ แต่เราก็เป็นพุทธบริษัทใช่ไหม
ผู้ฟัง แล้วเราจะต้องศึกษาเหมือนกับพระภิกษุศึกษาหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เท่าที่จะเป็นประโยชน์ดีไหม เพราะทางที่มูลนิธิศึกษาน้อยมาก ไม่ได้มากมายอะไรเลย พระวินัยไม่ได้มากมาย เป็นพุทธบริษัทเราจะทอดทิ้งบริษัทหนึ่งคือภิกษุหรือ ภิกษุก็เป็นบริษัทหนึ่งในพุทธบริษัท ขณะนี้ก็มี ๓ อุบาสกอุบาสิกาภิกษุ เราจะละเลยทอดทิ้งพระภิกษุหรือ หรือว่าควรที่จะได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้สำนึกในความเป็นพระภิกษุ เหมือนกับคฤหัสถ์ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็สำนึกในการที่จะต้องเข้าใจพระธรรม พระภิกษุก็ต้องเข้าใจพระธรรมด้วยพระวินัยด้วย
ผู้ฟัง แต่ก็ดูเหมือนว่าพระภิกษุสมัยนี้ไม่มีพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุที่เราต้องพูด ถ้าท่านมีพร้อม เราก็ไม่ต้องพูดเลย เราจะพูดทำไมท่านรู้หมดแล้ว ทั้งธรรมทั้งวินัยด้วย เราไม่ต้องพูด ท่านรู้แล้ว แต่นี้เพราะเป็นอย่างนี้ เราสมควรที่จะเกื้อกูลไหม
ผู้ฟัง แล้วมีบางคนก็ฝากมาถามว่าที่มูลนิธิจะพูดเรื่องนี้ไปถึงนานแค่ไหน
ท่านอาจารย์ อีกนาน บอกได้คำเดียวว่า อีกนานจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ดิฉันเองทุกครั้งที่อ่านพระวินัยด้วยตัวเอง และได้ฟังพระวินัยจากการที่มีการสนทนาธรรมเรื่องพระวินัย ประโยชน์สูงสุดมาก เพราะเหตุว่าเคารพในพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเห็นประโยชน์ว่า ผู้ที่เป็นภิกษุจริงๆ ที่จะรักษาพระวินัย พระศาสนาไว้ได้ ต้องเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ ถ้าจะกล่าว เหมือนอย่างพระองค์เลยทุกข้อ ไม่รับเงินทอง ไม่ยินดีในเงินและทอง กายวาจาทั้งหมดอภิสมาจาร และความประพฤติปฏิบัติที่งาม ไม่เป็นที่ติเตียนเลย เพื่ออะไร ทำไมพระพุทธเจ้าจะต้องมานั่งบอกว่า เวลาบริโภคอาหาร อย่าบริโภคเสียงดัง ทั้งหมดนี้ พ่อแม่ตลอดกาล แม้ว่าภิกษุจะโตแล้ว แต่ว่าความประพฤติทั้งหลายสอดส่องดูแล เหมือนกับบุตรที่เกิดจากพระอุระ เพราะฉะนั้นจะเห็นพระมหากรุณาได้ว่าทรงขัดเกลากิเลส ไม่ว่าจะเป็นในเพศบรรพชิตแล้ว ก็ไม่ได้ละเลย ไม่ใช่บวชแล้วก็ปล่อยไป พระภิกษุจะทำอย่างไรก็ได้ อย่างนั้นพระศาสนาก็จะไม่ตั้งมั่น เหมือนกับพระองค์ในการทรงแสดงธรรมกับคฤหัสถ์ ตั้งแต่การคบมิตร และก็ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ทรงแสดงทั้งหมด เพราะฉะนั้นพระธรรมวินัยทั้งหมดทั้ง ๓ ปิฏกเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ไม่ใช่ว่าคฤหัสถ์ส่วนตัว ฉันศึกษาแค่พระสูตรพระอภิธรรม พระวินัยฉันไม่เกี่ยว นั่นไม่ใช่เลย นั่นคือผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าของคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะตรัสเรื่องอะไร เป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งหมด ผู้ฟังเหมือนกับว่าไม่อยากฟังใช่ไหมถึงถามว่าจะพูดเรื่องพระวินัยไปอีกนานเท่าไร พูดอีกนาน นานมาก จนกว่าถูกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ เกื้อกูลเอื้อเฟื้อต่อพระภิกษุ ต่อพุทธบริษัททั้งหมดว่า ให้เห็นค่าของพระธรรมทุกคำ ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย หรือพระสูตร และพระอภิธรรม
ผู้ฟัง ที่เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า มูลนิธิทุกวันนี้ก็มีการพูดถึงเรื่องพระวินัย ยังพูดถึงเรื่องพระวินัยน้อย
ท่านอาจารย์ เพราะว่าอะไร เราพูดเรื่องพระอภิธรรมและพระสูตรนานเท่าไหร่ ลองสำรวจดูเทปทั้งหมด แล้วเราเริ่มมีการสนทนาพระวินัยที่มูลนิธิ เพราะเห็นประโยชน์ว่า ไม่ควรจะขาดซักปิฏกเดียว แต่แม้กระนั้นก็มีผู้ที่คิดว่า พระวินัยไม่ใช่สำหรับคฤหัสถ์ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไรในระหว่างพุทธบริษัท เหมือนครอบครัวเดียวกันบ้านเดียวกัน และความประพฤติของคนในบ้านทำลายพระศาสนา และเราก็อยู่ในบ้านนั้นประเทศนั้นครอบครัวนั้น และเราจะปล่อยให้ทำลายพระศาสนาด้วยการที่ทำทุกอย่างไม่ตรงตามพระวินัย สมควรไหม ทั้งนี้เพราะเหตุว่าเป็นความผิดของใคร คฤหัสถ์ละเลยที่จะไม่ศึกษาพระวินัย หากไม่ละเลยช่วยกันประคับประคอง ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นหน้าที่ของพระภิกษุที่ท่านจะต้องเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท ท่านจะต้องเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม และรักษาพระวินัย ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะเหตุว่าจุดประสงค์ของท่านสามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน เพื่อจะดำเนินชีวิตที่เป็นประโยชน์ยิ่ง แต่ทำหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราไม่มีการที่จะว่าคนนั้นทำคนนี้ไม่ทำ ใครทำใครไม่ทำ เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด ให้เป็นเครื่องเตือนซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าพุทธบริษัทเห็นว่าพระภิกษุท่านประพฤติไม่ถูก เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา มีตั้งแต่ในครั้งพุทธกาล แล้วเราไม่ทำตามอย่างนั้นหรือ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คือว่าพระวินัยมีที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติมีมากมาย
ท่านอาจารย์ มีประโยชน์ด้วยสำหรับคฤหัสถ์ด้วย ลองอ่านสิ คฤหัสถ์จะพฤติตามพระวินัยไม่มีใครขัดขวางเลยว่าทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นเพศคฤหัสถ์ ฉันจะทำไม่ได้อย่างนั้น แต่สิ่งใดที่ดีงาม คฤหัสถ์เองก็ขัดเกลา เพราะเข้าใจวินัยมากขึ้นละเอียดขึ้น
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คือว่าพระวินัยที่จะเอามาสนทนาในมูลนิธิ ต้องเป็นที่เกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ที่ในชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับพระภิกษุ ควรที่จะรู้ในสิ่งที่คฤหัสถ์เกี่ยวข้องกับพระภิกษุโดยตรง ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ มีคฤหัสถ์หลายคนที่บอกว่า แล้วไม่มีพระเราจะทำอย่างไร พระคือใคร ถ้ามีโจรเราจะทำอย่างไร ทำไมไม่คิด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้จักความเป็นพระภิกษุ และคฤหัสถ์อยากมีพระภิกษุเพื่ออะไร ในเมื่อไม่รู้เลยว่าความเป็นพระภิกษุอยู่ที่ไหน อยู่ที่พระวินัย และต้องศึกษาพระธรรมด้วย ไม่ใช่จะรักษาแต่พระวินัย อย่างบางท่านท่านก็ไม่ล่วงศีลอะไร แต่ท่านก็ไม่ได้ศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งเราจะตามใจตัวเรา เราอยากต้องการอย่างนี้ แต่ว่าพิจารณาหรือเปล่าว่าสิ่งที่มูลนิธิทำ เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ การที่จะพูดถึงพระวินัยเป็นโทษหรือเปล่า หรือว่าเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ประโยชน์นั้นมากพอหรือยัง ในเมื่อเราพูดพระอภิธรรมพระสูตรมานานมากแล้ว และถึงเวลาหรือยังถึงกาลสมัยที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดพระวินัย อยากจะกล่าวว่าไม่รู้จบ จบไม่ได้ เพราะเหตุว่าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ การที่ประเทศชาติมีพระภิกษุซึ่งไม่ได้ศึกษาและไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย แล้วจะให้เป็นอย่างนี้เพราะเขาไม่รู้หรือ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของผู้ที่ได้ศึกษาธรรมแล้ว ก็เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน เราอยากจะให้ใครตกนรกไปต่อหน้าต่อตาหรือ เอาเงินไปผลักเขาให้เขาตกนรกอย่างงั้นหรือ ใช่ไหม เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนที่ไม่หวังดี ก็หวังดีอย่างไม่รู้ ให้เงินพระภิกษุไป แต่รู้ไหมว่าโทษแค่ไหน ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่กลัวว่าถ้าไม่ให้เงินพระภิกษุแล้วจะไม่มีพระภิกษุ แล้วจะมีพระภิกษุทำไม ถ้าเรามีพระภิกษุที่รับเงินทอง จะมีไว้ทำไม
เพราะฉะนั้นความเป็นคนตรง ต้องตรง เพื่อพระภิกษุที่ท่านได้รับรู้ได้ฟัง ได้ไตร่ตรองสำนึกในความเป็นภิกษุ ท่านสามารถที่จะสละสิ่งที่ไม่ดี และเริ่มสนใจศึกษาพระธรรมและวินัยได้ เป็นประโยชน์ไหมถ้าเราจะมีพระภิกษุอย่างนั้น ที่เป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัย หรือเราอยากจะมีภิกษุที่ไม่เป็นไปตามพระวินัย แต่ก็ยังอยากมี มีเพื่ออะไร
บางคนก็บอกว่าจะได้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ หน้าตามีหลายหน้า จะเอาหน้าไหน หน้าแย่ๆ ใครมาเห็นก็แย่ ไม่เป็นไปตามพระวินัยเลย พระภิกษุขี่ม้าบิณฑบาตร ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องอวดชาวต่างประเทศ ถ้าศึกษาแล้วน่าอาย มากกว่าที่จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นหน้าเป็นตา
ผู้ฟัง การฟังพระธรรม ถ้าฟังโดยไม่ละเอียดไม่ได้เป็นผู้ที่ละเอียด ก็อาจจะเข้าใจผิดในเรื่องของพระธรรมวินัยเช่น คำว่า อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ศาสนาพุทธจะอันตรธานหรือไม่อันตรธาน เราไม่สามารถทำอะไรได้ อันนี้ก็คือว่าบางคนถ้าเข้าใจผิด ก็จะคิดว่า ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรจะอันตรธานหรือไม่อันตรธาน ก็ไม่สามารถจะไปทำอะไรได้
ท่านอาจารย์ อันตรธานคืออะไร เห็นไหม เข้าใจหรือเปล่า ไตร่ตรองหรือเปล่า หรือคิดเองพูดเองเผินๆ เวลานี้ ศาสนาพุทธอันตรธานแล้วจากคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรม และไม่เข้าใจธรรม จะยังอยู่ได้อย่างไรไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นศาสนาจะอันตรธาน เวลานี้เขากำลังอันตรธาน ถ้าเราไม่ช่วยกันศึกษา เพราะฉะนั้นคนใดก็ตามที่เข้าใจธรรม ศาสนายังไม่อันตรธานกับคนนั้นเท่านั้น แต่ว่าแก่คนที่ไม่ได้ศึกษาไม่ได้เข้าใจเลย แล้วเราจะบอกว่าพระศาสนายังอยู่ พูดได้อย่างไร ต้องเป็นคนที่ตรงตามเหตุตามผลด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเราคิดว่าเวลานี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม แล้วจะบอกว่าพระศาสนายังอยู่ ถูกไหม ต้องฟังทุกคำ ไม่ศึกษาธรรมเลย และบอกว่าพระพุทธศาสนายังอยู่ ถูกไหม เพราะฉะนั้นการที่เราช่วยกันศึกษาและเผยแพร่พระธรรมเท่าที่ทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจกันทำได้ ทำไมเรายังศึกษา และพระวินัยทำไมเราทอดทิ้ง
ผู้ฟัง บางครั้งเห็นพระภิกษุที่ประพฤติไม่เหมาะสมไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย ก็ไม่กราบไหว้เพราะว่า ขณะที่เป็นกุศลนั้นเราก็ไม่กราบไหว้ ถ้าไม่เข้าใจก็จะกราบไหว้ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นพระภิกษุแต่ว่าไม่ประพฤติอยู่ในความประพฤติที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นก็ถามสำหรับตัวผม ผมเห็นผมก็ไม่ได้กราบไหว้
ท่านอาจารย์ และขณะนั้นหวังดีด้วย เพื่อท่านจะได้สำนึก ทำไมคฤหัสถ์ไม่ไหว้ ถ้าทำถูกเราไหว้ ถ้าไม่เห็นว่าทำผิดเราไหว้เพราะเราไม่รู้ว่าทำอะไร แต่ถ้าเห็นกำลังทำผิด แล้วใครไหว้ ถ้าไหว้ก็เป็นการส่งเสริมให้ท่านทำต่อไป
อ. จักรกฤษณ์ เราสนทนากันในเรื่องพระธรรมวินัย ท่านก็บัญญัติประโยชน์ของพระธรรมวินัยไว้ด้วย ทรงบัญญัติประโยชน์ไว้ ๑๐ ข้อด้วยกัน อันนี้ผมอยากจะรบกวนขอรายละเอียดแต่ละข้อ เพราะว่าประโยชน์จะเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ รบกวนท่านอาจารย์ขยายความจากประโยชน์ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๐ แล้วแต่ท่านอาจารย์จะให้รายละเอียดได้ในส่วนไหนอย่างไร
ข้อที่ ๑ ประโยชน์เพื่อความดีแห่งหมู่
ท่านอาจารย์ คนชั่วทำให้คนดีมีความสุขไหม อยู่ด้วยกัน ไม่มีทาง แต่คนดีทุกคนเป็นคนดีอยู่ด้วยกันจะสงบสุขไหม เพราะฉะนั้นต่างคนต่างมาต่างคนต่างมีกิเลสต่างคนต่างจะเป็นภิกษุ แล้วถ้าไม่มีพระวินัยบัญญัติให้ประพฤติเสมอกัน จะอยู่กันด้วยความผาสุกไหม ไม่มีทางที่จะผาสุก
อ. จักรกฤษณ์ ข้อที่ ๒ เพื่อความสำราญแห่งหมู่
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความดีก็ไม่เป็นทุกข์เลย ใครบอกว่าความดีนำทุกข์มาให้บ้าง
อ. จักรกฤษณ์ ท่านหมายถึงไม่เดือดร้อน ไม่นำความเดือดร้อนอะไรมาให้
ท่านอาจารย์ ก็เป็นความดี
อ. จักรกฤษณ์ ข้อที่ ๓ เพื่อกำจัดบุคคลเก้อยาก
ท่านอาจารย์ กล้าทำ กล้ารับเงินรับทอง กล้าที่จะไม่สงบ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ทรงบัญญัติไว้ เพื่อให้ศึกษา ประพฤติปฏิบัติตามเพื่อขัดเกลากิเลส
อ. จักรกฤษณ์ เพราะท่านชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่ละเมิดพระวินัยคือผู้ที่เก้อยาก
ท่านอาจารย์ กล้าที่จะทำชั่วทำผิดพระวินัย รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติก็ยังฝืนที่จะทำ
อ. จักรกฤษณ์ ในข้อความวงเล็บไว้ว่า เก้อยากก็คือหมายความว่า หน้าด้านที่ยังทำ
ท่านอาจารย์ ไม่ละอาย หน้าด้านนี้เยอะไหม
อ. จักรกฤษณ์ ก็มีคนพูดว่า คนที่อันตรายที่สุด คือผู้ที่หน้าด้าน เพราะว่าไม่ละอาย ไม่เกรงกลัวต่ออะไรเลย
ข้อที่ ๔ เพื่อความอยู่เป็นผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
ข้อที่ ๕ เพื่อระวังอาสวะที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ตัวเลยว่าอยู่กับกิเลส แต่พระวินัยทำให้รู้ว่ากิเลสอยู่ไหน เมื่อไหร่
อ. จักรกฤษณ์ ท่านกล่าวถึงปัจจุบันก็คือเป็น ณ ขณะนี้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เราอยู่กับกิเลส ท่ามกลางกิเลส ทุกขณะที่เห็นได้ยิน เพราะฉะนั้นบัญญัติพระวินัยเพื่อให้รู้ว่าอยู่กับกิเลส ท่ามกลางกิเลส
อ. จักรกฤษณ์ ข้อที่ ๖ เพื่อกำจัดอาสวะที่จะมีต่อไปข้างหน้า
ท่านอาจารย์ ถ้าขณะนี้สามารถที่จะรู้ได้ว่ามีกิเลส ขณะนั้นก็กำจัดกิเลสที่จะเกิดต่อไป
อ. จักรกฤษณ์ ข้อที่ ๗ เพื่อความเลื่อมใสของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นผู้ที่สามารถจะละอาคารบ้านเรือน และเป็นคนดี เลื่อมใสไหม ด้วยเหตุว่าคฤหัสถ์ที่ดี คนก็ยังเลื่อมใส ยิ่งเป็นผู้ที่ดี และก็สามารถสละเพศคฤหัสถ์ได้ จะยิ่งเลื่อมใสไหม
อ. จักรกฤษณ์ ยิ่งเลื่อมใส
ข้อที่ ๘ เพื่อความเจริญยิ่งยิ่งของผู้เลื่อมใสแล้ว
ท่านอาจารย์ ถ้าพระภิกษุขัดเกลากิเลส ประพฤติตามพระวินัยทุกวัน คฤหัสถ์ก็ไม่ต้องมาเป็นอกุศล
อ. จักรกฤษณ์ ข้อที่ ๙ อันนี้มีความละเอียดที่อยากจะรบกวนท่านอาจารย์ขยายความ โดยพิสดาร
ข้อที่ ๙ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
อันนี้กว้างขวางอย่างไร
ท่านอาจารย์ เหมือนยิ่งตอนต้น ใครที่ไม่เข้าใจธรรมพระศาสนาคำของพระพุทธเจ้าก็อันตรธานไปแล้วจากเขา ไม่ฟังธรรม แล้วธรรมจะไม่อันตรธานหรือ เฉพาะคนที่ฟังเท่านั้นที่พระศาสนาอย่างไม่อันตรธาน แต่ใครก็ตามที่ไม่ฟังพระศาสนาอัตรธานจากคนนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นการที่พระศาสนาจะตั้งมั่นได้ก็คือ ด้วยการที่พระภิกษุรู้หน้าที่ของพระภิกษุ ศึกษาธรรมให้เข้าใจ และก็ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
อ. จักรกฤษณ์ อันนี้ท่านมุ่งถึงพระวินัย เพราะมีความสำคัญเรื่อง
ท่านอาจารย์ เพศบรรพชิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพระวินัย เป็นพระไม่ได้เลย
อ. จักรกฤษณ์ หมายถึงพระสัทธรรมเอง ถ้าไม่เคารพพระวินัยและพระธรรม ท่านก็ไม่สามารถที่จะเจริญต่อไปได้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะรักษาพระวินัยได้ไหม เพราะฉะนั้นยิ่งศึกษาเข้าใจธรรมเท่าไร ยิ่งรักษาพระวินัยมากเท่านั้น มั่นคงขึ้น
อ. จักรกฤษณ์ พระวินัยก็เกื้อกูลในความมั่นคง ความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น
สุดท้ายข้อที่ ๑๐ เพื่ออุดหนุนพระวินัย
ท่านอาจารย์ เพราะว่าส่วนใหญ่ถามดู รับเงินรับทองได้ไหม ได้ อย่างนั้นไม่ได้อุดหนุน หรือไม่สนับสนุน ไม่ส่งเสริม ไม่ได้รักษา ไม่ได้ปกป้องเลย
อ. อรรณพ เรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมในข้อที่ ๙ ว่า เพื่อรักษาพระศาสนา เพื่อความตั้งมั่นของพระสัทธรรม หรือรักษาพระศาสนา ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า เพื่อที่จะให้ภิกษุประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จึงจะเป็นความตั้งมั่นของพระศาสนา หรือรักษาพระศาสนาไว้ได้ แต่ทีนี้ถ้ามีคนเขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเลย ก็ไม่มีใครมาบวช ก็เลยทำให้ไม่มีภิกษุ ซึ่งพุทธบริษัทก็จะหายไปอีกหนึ่ง แล้วจะตั้งมั่นศาสนาได้อย่างไรในเมื่อไม่มีภิกษุ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็อยากจะมีภิกษุที่ไม่ประพฤติตามพระวินัย รับเงินรับทอง ประพฤติทุกอย่างไม่ตามพระวินัยอย่างนั้นหรือ
อ. อรรณพ ถ้าไม่มีภิกษุทุศีลแล้ว คือเราไม่เอาภิกษุทุศีลแล้ว แล้วไม่มีผู้บวชเป็นภิกษุเลย พระศาสนาจะดำรงตั้งมั่นอยู่ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจ ไม่ต้องรออันตรธานจากคนนั้น
อ. อรรณพ แล้วถ้าเหลือเพียงอุบาสกอุบาสิกา พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ พระศาสนาอยู่ที่ไหน
อ. อรรณพ อยู่ที่ความเข้าใจ เพราะฉะนั้นในการของพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ล่วงมาจะ ๒๖๐๐ กว่าปีแล้ว ก็มีการเสื่อมไปโดยลำดับ แต่ก็ยังไม่ถึงคราวที่จะอันตรธาน มีผู้ที่ศึกษา และเข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้นแม้ไม่ได้อยู่ในเพศบรรพชิต แต่เป็นผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ที่ศึกษาพระธรรม และมีความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสภาพธรรม พระศาสนาอันได้แก่ปริยัติศาสนา ปฏิปัตติ หรือปฏิเวธศาสนา ก็ดำรงได้ด้วยปัญญาของผู้ที่เข้าใจธรรม
ท่านอาจารย์ ใครห่วงใยพระศาสนาก็ศึกษาสิ ไม่เห็นจะต้องไปพึ่งใครที่ไหน
อ. อรรณพ เพราะฉะนั้น ความตั้งมั่นของพระศาสนาก็อยู่ที่ปัญญาของพุทธบริษัท
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอย่าห่วงใยๆ เดี๋ยวไม่มีพระ ถ้าศึกษาเข้าใจพระธรรม พระธรรมยังตั้งมั่นอยู่
อ. อรรณพ เพราะฉะนั้นก็คือ ในข้อที่ ๙ เพื่อความตั้งมั่นของศาสนา ก็คือพระวินัย มีไว้หนึ่งเพื่อให้ผู้ที่สามารถที่จะดำรงเพศพระภิกษุ ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย หรือแม้
ท่านอาจารย์ ต้องศึกษาพระธรรมด้วย
อ. อรรณพ และถ้าไม่มีผู้ที่จะพร้อมที่จะรักษาพระวินัย แม้จะศึกษาพระธรรมแล้ว ก็ยังดีกว่าจะมีผู้ที่บวชเข้าไปแล้วทำลายพระธรรมวินัย ที่พระองค์ท่านทรงแสดงประโยชน์ของพระวินัยก็คือเพื่อความตั้งมั่นของพระศาสนา ก็คือ ถ้าผู้ที่บวชมีพระวินัยกำกับ เพื่อให้ท่านประพฤติปฏิบัติตาม ให้ยังมีผู้ที่ศึกษาพระธรรม แล้วก็มีอัธยาศัยที่จะรักษาพระวินัย ก็ยังมีภิกษุที่ยังรักษาพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่มีผู้ที่พร้อมอย่างนั้น ก็เป็นบริษัท ๒ ที่เหลือ ซึ่งก็ศึกษาพระธรรมและศึกษาพระวินัยด้วย เพื่อที่จะดำรงธรรมวินัยเท่าที่จะมีอยู่ได้ ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่าศาสนาอันตรธาน ก็คือ ไม่มีใครเข้าใจธรรม
อ. อรรณพ ศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ไม่ใช่ว่าไปเปลี่ยนเพศ ก็เป็นปัญญาที่เข้าใจพระธรรม
ผู้ฟัง ผมมีเพื่อนบวชเป็นพระภิกษุ แต่ว่าท่านจะชอบโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก เวลาเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ก็โพสต์ถ่ายรูปกับรถไฟบ้าง ถ่ายรูปสถานที่ที่ท่านไปบ้าง
ท่านอาจารย์ อย่างนั้นท่านเข้าใจว่าท่านเป็นภิกษุหรือเปล่า คำว่าภิกษุคืออะไร ผู้เห็นภัยในสังสารวัฎ เมื่อเห็นภัยแล้วทำอะไร สละเพศคฤหัสถ์เพราะรู้จักตัวเองว่าสามารถที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต เหมาะสะดวกสบายสำหรับท่าน ไม่เดือดร้อนเลยกับการที่จะไม่มีเงินและทอง ไม่มีวงศาคณาญาติ ไม่มีเรื่องวุ่นวายต่างๆ ทั้งหลาย แล้วท่านมีเฟซบุ๊ค และมีพวกสิ่งต่างอันนี้ทำไม เพราะฉะนั้นใครจะไหว้ภิกษุที่กำลังทำอย่างนั้นบ้าง ภิกษุคือผู้สงบ อย่างนั้นไม่สงบเลย ไม่เป็นไปเพื่อความสงบด้วย
ผู้ฟัง เพราะบางทีก็จะอ้างว่าไม่มีในพระวินัยว่า ห้ามเล่นเฟซบุ๊ก
ท่านอาจารย์ แล้วก็การบวชเพื่ออะไร
ผู้ฟัง ก็คือเพื่อขัดเกลา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดของพระวินัยเพื่ออะไร ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ บวชทำไมในเมื่อบวชแล้วไม่ใช่เป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นถ้าเห็นภิกษุแม้ถ่ายรูป คิดดู ไม่ต้องถึงเฟซบุ๊ก ไม่ต้องถึงเซลฟีหรืออะไรทั้งสิ้น แค่ถ่ายรูป สงบไหม ต้องตรง เพราะอะไร กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล อะไรเห็น ปัญญาเท่านั้นที่เห็น ปัญญาไม่คดงอเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจถูกต้อง ก็คือว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส และไม่ศึกษาพระธรรม ไม่สามารถที่จะละความไม่ตรง เพราะเข้าใจผิดได้ อย่างคนที่บอกว่า พระภิกษุสมัยนี้ต้องรับเงินและทอง ถ้าคิดสักนิดหนึ่ง ใครเป็นผู้ที่บัญญัติพระวินัย และคนนั้นกำลังพูดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าว่า ภิกษุสมัยนี้ต้องรับเงินทอง ไม่เช่นนั้นก็เป็นภิกษุไม่ได้ กล้าที่จะคิดอย่างนั้นไหมว่า จะเปลี่ยนพระวินัย เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมทั้งหมด แล้วก็ทรงรู้ถึงกาลในอนาคตด้วยว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่แม้กระนั้นก็ทรงบัญญัติเรื่องการขัดเกลากิเลส ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย จะไปให้เป็นวิธีอื่นไม่ได้ ธรรมสะอาด ธรรมบริสุทธิ์ ธรรมตรง เพราะฉะนั้นการเป็นภิกษุต้องตรง ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์
