พระธรรมวินัย ๐๑๑ ไม่อนุโมทนากับภิกษุผู้ทุศีล


    ผู้ฟัง พระภิกษุคือผู้ที่บวชในบวรพุทธศาสนา เพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน สละบ้านเรือนทรัพย์สินเงินทอง ถ้าดูในปัจจุบันนี้ ก็รู้สึกจะไม่ค่อยเห็นในลักษณะนี้ การที่เราจะไปทำบุญกับพระภิกษุเช่นนั้น มันเป็นการส่งเสริมให้เขาทำผิดยิ่งขึ้น แล้วเราจะไปทำบุญกับใคร ถ้าอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมที่เป็นบุญหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นบุญ

    ท่านอาจารย์ ไม่ยากที่จะต้องไปขนขวายที่ไหน ใช่ไหม โอกาสไหนก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีก็ทำ เพราะว่าถ้ากุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นอกุศลก็เกิด ต้องไม่ประมาทในกุศลเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ เพราะว่าถ้าขณะนั้นอกุศลเกิดก็ทำสิ่งที่ดีงามไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทำดีเพราะรู้ว่าถ้าไม่ทำก็เป็นอกุศล แล้วก็ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าจะมีการเข้าใจถูกต้องว่า ขณะนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง คือสรุปว่าให้เราฟังพระธรรมให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ นั้นเป็นสาวกหรือเปล่า แล้วพระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อใคร

    ผู้ฟัง เพื่อสาวก

    ท่านอาจารย์ เพื่อให้ผู้ที่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ ได้มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น บุญอะไรสูงสุด

    ผู้ฟัง เข้าใจพระธรรมคำสอน

    ท่านอาจารย์ เพราะถ้าปัญญาไม่เกิดก็ดับกิเลสไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ถามอีกเหมือนอย่างที่เขาบอกถามว่า เราจะไปทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว แล้วถ้าเราไม่ไปทำกับพระภิกษุหรือไปทำกับใคร

    อ. อรรณพ เปรตก็ดี หรือเทวดาก็ดี คืออมนุษย์ มีทั้งเปรตและเทวดา โดยเฉพาะภพภูมิที่เป็นเปรตอสูรกาย สามารถที่จะมีโอกาสอนุโมทนาในส่วนกุศลที่มีผู้อุทิศให้ ถ้าเป็นผู้ที่เขามีความผูกพัน เขาก็ย่อมที่จะมีความปลื้มปีติที่ว่าญาติๆ เขาระลึกถึงในความลำบากเดือดร้อนอย่างยิ่ง อย่างเป็นมนุษย์ด้วยกัน ถ้าเรามีญาติที่ตัวเราได้ตกอยู่ในความลำบาก เราก็ต้องคิดถึงญาติก่อน ฉันใด เปรตเขาเป็นโอปปาติกะกำเนิด ตายปุ๊บก็เกิดเป็นผุดมาเต็มร่าง แล้วเขาก็จะจำได้ว่าใครเคยเป็นญาติเขา แล้วเขาต้องมาทุกข์ยากอย่างนี้เขาก็รู้เลยว่าเพราะอะไร เพราะฉะนั้นก็มีโอกาสจะอุทิศส่วนกุศล แต่การที่จะอุทิศส่วนกุศลก็ต้องมีผู้เจริญกุศล ถ้าเราจะพูดถึงทานกุศล ก็มีผู้ให้และผู้รับ ต้องมีความบริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับโดยสรุป คือผู้ให้ด้วยกุศลจิต ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้และอยาก หรือเอาของที่ไม่สมควรไปให้พระภิกษุ ไม่มีทางเลยที่เปรตจะอนุโมทนาได้ แต่เราไม่รู้ เราคิดไปตามเรื่อง คนให้เขาอยากให้ คนรับก็อยากได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความบริสุทธิ์ฝ่ายผู้ให้ ก็คือมีอกุศลจิตที่มีการสละในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้รับ ถ้าผู้รับเป็นพระภิกษุก็ถวายของที่สมควรกับพระภิกษุ ถ้าผู้รับเป็นคฤหัสถ์ก็ให้ของที่สมควร ไม่ใช่ให้สิ่งที่เป็นโทษกับเขา และอันส่วนที่สองก็คือความบริสุทธิ์ของผู้รับ ซึ่งผู้รับบริสุทธิ์ ก็คือถ้าเป็นภิกษุก็ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย หากเป็นภิกษุที่ทุศีล มีตัวอย่างในพระไตรปิฎก มีผู้ถวายทานกับภิกษุที่ทุศีลถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่๑ ครั้งที่ ๒ พอครั้งที่ ๓ อมนุษย์เปรตบอกเลยว่า ถูกภิกษุทุศีลปล้น เขาอนุโมทนาไม่ได้เพราะผู้รับเป็นผู้ทุศีล เพราะฉะนั้นผู้รับไม่บริสุทธิ์ ทีนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นภิกษุเป็นบรรพชิตเท่านั้น ผู้ที่มีศีลมีกัลยาณธรรม เพราะสังฆรัตนะไม่ได้หมายถึงพระภิกษุภิกษุณีเท่านั้น แม้อุบาสกอุบาสิกา ท่านจิตตคฤหบดี ท่านวิสาขามิคารมาตา อีกหลายๆ ท่าน ท่านเป็นอริยบุคคล เป็นสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นก็มีตัวอย่างว่า นางเวมานิกเปรตลำบากเดือดร้อน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ แล้วก็มีคนเห็น เขาบอกอยากจะช่วยจังเลย ถึงให้เขาก็รับไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร นางเปรตก็บอกว่า ในกลุ่มของท่านมีอุบาสกผู้มีศีล ก็ขอให้ทำประโยชน์กับอุบาสกนั้น ชนเหล่านั้นก็ให้ท่านอาบน้ำแล้วก็ให้ท่านใส่ผ้าใหม่อะไรเรียบร้อย นางเปรตอนุโมทนาทันที ไม่ได้เป็นพระภิกษุ แต่เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม อนุโมทนาได้ เปรตเขารู้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่อนุโมทนาในอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เปรต เมื่อมีผู้ที่ถวายทานแก่พระภิกษุทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้ เปรตไม่อนุโมทนาเลย เพราะภิกษุเป็นผู้ทุศีล เป็นผู้ตรงไหม จะอนุโมทนาในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในการกระทำที่ผิดได้อย่างไร นั่นเปรตนะ แล้วมนุษย์ทุกวันนี้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม อนุโมทนาหรือเปล่า ถ้าภิกษุเป็นผู้ทุศีล แล้วก็มีผู้ถวายทาน ใครอนุโมทนาบ้าง ก็เหมือนกันใช่ไหม เปรตก็ยังไม่อนุโมทนา เพราะฉะนั้นคนที่รู้ก็ไม่อนุโมทนา แต่คนไม่รู้เขาอาจจะดีใจ เห็นมีการถวายทานใช่ไหม แต่ว่าถ้าเป็นผู้รู้จะอนุโมทนาต่อผู้ที่ทุศีลได้อย่างไร เพราะว่าผู้ที่ทุศีลก็คือว่า พวกที่บวชแต่ไม่ได้ศึกษาธรรม และไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย แล้วทำอะไร แล้วก็คฤหัสถ์ก็ถวายทานให้ใคร ไปทำอะไร ทำไมไม่คิดให้ลึกซึ้งว่าประโยชน์อยู่ที่ไหน และจะให้อนุโมทนาหรือ แต่ถ้าใครก็ตามทำกุศล ช่วยคนยากจน เด็กนักเรียนชาวนาชาวไร่ไม่มีที่ดินอะไรอย่างงั้นนะ อนุโมทนาในกุศลของเขาที่ทำประโยชน์ ทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ ให้เขาได้มีโอกาสที่จะได้มีชีวิตที่สะดวกสบาย ซึ่งต่อไปเขาก็คงจะมีโอกาสได้ฟังธรรม ถ้าเขาได้สะสมมา ให้โอกาสแก่คนที่ด้อยโอกาส แต่ไม่ใช่ให้คนซึ่งไม่ได้ทำอะไรเลย พระวินัยก็ไม่รักษา พระธรรมก็ไม่ได้ศึกษา แล้วทำอะไร แล้วเราจะอนุโมทนาไหม เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรง ก็คือว่าสามารถที่จะทำให้รู้เหตุผลตามความเป็นจริงว่า เมื่อไม่เป็นอย่างนี้ เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเป็นคำที่ไม่ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด ทำให้คำที่จริงหรือคำที่ตรงนั้นเสื่อมไปสูญไป ไม่มีใครได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังแต่คำที่ไม่ถูกต้องและไม่ตรง เพราะฉะนั้นก็ไม่อนุโมทนา

    อ. อรรณพ ถ้าพูดถึงประเด็นนี้แบบชัดๆ กันเลยก็คือว่า จากตัวอย่างในพระไตรปิฏกว่า แม้อุบาสกที่ถวายทานให้ภิกษุทุศีล อุบาสกถวายสิ่งที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมให้กับภิกษุด้วยซ้ำ แต่ภิกษุนั้นทุศีล แต่ถ้าผู้ให้เอาเงินไปให้พระ ไม่บริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับ และสิ่งที่นั้นก็ไม่ได้เหมาะกับภิกษุเลย เพราะฉะนั้นเปรตจะอนุโมทนาได้อย่างไร ไม่มีทาง ผู้ที่ท่านไปบวชเป็นพระภิกษุ คือผู้ที่สละแล้ว ไม่ติดในเงินและทอง เราก็จะกลับไปเอาเงินทองกันไปให้ เพราะนั้นเป็นความไม่บริสุทธิ์ ทั้งผู้ให้ผู้รับ และกระทั่งของที่ให้ไม่ใช่ไทยธรรมที่เหมาะสม

    อ. คำปั่น โดยความหมาย ไทยธรรมก็คือ สิ่งที่ควรแก่การที่จะนำไปให้ ต้องเป็นสิ่งที่เหมาะควรแก่ผู้นั้น อย่างเช่นผู้ที่เป็นเพศพระภิกษุ เป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนแล้ว สิ่งที่เหมาะควรแก่ท่านก็จะเป็นสิ่งที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ให้ชีวิตของท่านเป็นไปได้ในการดำรงชีวิต เพื่อที่จะศึกษาพระธรรมม อบรมเจริญปัญญา อย่างเช่นอาหารบิณฑบาต จีวร แล้วก็เครื่องใช้ต่างๆ ที่เหมาะควรแก่ท่าน พวกบาตร พวกมีดโกน พวกเข็ม ที่จะเป็นเครื่องสำคัญในการที่จะทำให้ท่านดำรงชีวิตในความเป็นบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่สละแล้ว เพราะฉะนั้นวัตถุสิ่งอื่นที่ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต อย่างเช่นเงินทอง อันนี้ไม่ควรแน่นอน แล้วก็แม้ในสมัยก่อน ยานพาหนะที่เป็นพวกเกวียน ที่เป็นไม่ใช่อย่างรถในสมัยนี้ ยังไม่ควรเลย ก็ไม่ต้องกล่าวถึงสมัยนี้ ไม่ควรแน่นอน และที่สำคัญ การถวายสิ่งเหล่านี้แก่ผู้ที่เป็นพระภิกษุ ผู้ให้ก็เป็นผู้ให้ที่ไม่ฉลาด ผู้รับก็เป็นผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย แทนที่จะกล่าวความจริงให้กับผู้ที่ถวายได้รับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต แต่ก็กลับรับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท พอได้ยินให้ฟังอย่างนี้ ก็พอที่จะเข้าใจว่า การกระทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็ไม่มีใครชื่นชมสรรเสริญ ไม่มีใครอนุโมทนาในการกระทำอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาไตร่ตรองเพื่อความเป็นผู้ตรง รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรควรอะไรไม่ควร ก็มีคนเล่าให้ฟังว่า เขาก็เห็นพระภิกษุรับบิณฑบาต ข้าวของเยอะแยะ และก็มีคนจนขอทานอยู่ใกล้ๆ เขาก็คิดในใจ ขอทานคนนี้จะคิดบ้างไหมว่า รู้อย่างนี้เราบวชเเสียดีกว่า เพราะเหตุว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย แต่ก็ยังมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่ถ้าคนนั้นที่เป็นคนยากไร้เป็นคนตรงๆ เขาก็จะรู้ได้ว่าเขาบวชไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ได้มีอัธยาศัยที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก การที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ใช้คำว่าสละ ไม่ได้หมายความว่ามีเยื่อใย บุคคลในครั้งพุทธกาลเวลาที่ท่านละอาคารบ้านเรือนที่จะออกบวชเป็นบรรพชิต แม้มารดาบิดาเวลาท่านไปบิณฑบาตหรือไปพำนักอยู่ ท่านก็ไม่ได้บอก ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องที่จะแสดงให้เห็นว่าต้องการอาหารอร่อย หรือว่าให้ญาติรู้ว่ามาหามาเยี่ยมเลย เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจะมั่นคง อาจหาญ กล้าหาญที่จะสละ สิ่งที่สละจริงๆ ไม่ใช่สละเพื่อได้ มีเด็กนักเรียน ก็ไปบวชมา ก็ถามบอกเป็นไงบ้าง โอ้ดีมากเลย อาหารก็อร่อย เงินก็ได้ด้วย แล้วยังไง นี่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาแน่ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นพระพุทธศาสนา พุทธบริษัทมีบรรพชิต และคฤหัสถ์ ทั้ง ๒ เพศ การศึกษาเล่าเรียนธรรมรู้แจ้งเรียนสัจธรรมได้ตามอัธยาศัยที่ได้สะสมมา ตรงตามความเป็นจริง ไม่ได้ให้คฤหัสถ์ไปบวช ไม่มีการบวชหมู่ ร้อยรูป พันรูป หมื่นรูป แสนรูป ล้านรูป ไม่มีใครให้ใครไปบวชได้เลย เพราะเหตุว่าการบวช บวชใคร ไม่ใช่ให้คนอื่นเขาบวชใช่ไหม คนที่จะบวชก็ต้องรู้ว่าบวชหรือไม่บวช เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่กล้าที่จะรู้ความจริง อาจหาญที่จะทำสิ่งที่ถูก เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาล ผู้ที่สะสมมาที่จะสละอาคารบ้านเรือน พร้อมที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขอบวช เมื่อบวชแล้ว บวชทำไม ฟังพระธรรมตลอด ไม่ว่าพระผู้มีพระภาคจะเสด็จที่ไหน แม้ว่าจะอยู่ในพระวิหารเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อพระสัมมาส้มเจ้าเสด็จจาริกไปสู่ที่อื่น ติดตามไปเพื่อให้ฟัง เพราะฉะนั้นชีวิตของบรรพชิตในครั้งนั้น ก็ศึกษาธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า แม้ความประพฤติก็ต้องขัดเกลา ผิดจากเพศคฤหัสถ์ ชีวิตคฤหัสถ์ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครติเตียน ตะโกนดังๆ ก็ได้ อย่างมากก็มีคนว่าเอ๊ะทำไมคนนี้ตะโกนเสียงดัง แต่ถ้าเป็นบรรพชิต อาบัติ หมายความว่าต้องเห็นว่าเป็นโทษ ต้องปลงอาบัติ ด้วยการปลงคือสำนึก ต้องอาบัติหมายความว่าทำสิ่งที่ผิดจากที่พระผู้มีพระภาคบัญญัติไว้ ก็เป็นการมีโทษที่เป็นอาบัติ และเมื่อเป็นอาบัติแล้ว ตราบใดที่ไม่สำนึก และไม่ปลง ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ไม่ใช่ผู้ที่เกิดจากพระอุระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปัญญาเกิดอย่างนั้น ไม่ใช่เกิดอย่างมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นเรื่องของปัญญา เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องด้วยความเคารพอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเป็นโทษ ก็เป็นเปรตครองผ้าเหลือง

    ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ตรง ก็คือเกิดมาแล้วเป็นมิตรต่อกัน มีความหวังดีต่อกัน คนที่เป็นมิตรไม่ได้หวังร้ายต่อใครเลย เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย แล้วประพฤติผิด เป็นโทษอย่างยิ่ง ผู้ที่มีความเป็นมิตรคือเมตตา อยากจะให้เขาเกิดในนรกไหม อยากจะเห็นคนที่มองเห็นกันอยู่ในชาติไปเกิดเป็นเปรตไหม ก็น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะอนุเคราะห์ก็คือว่า ไม่มีคำใดของใคร นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงทั้งพระธรรมและพระวินัย ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามได้รู้จักว่า ประพฤติปฏิบัติตามในเพศใด ในเพศของคฤหัสถ์หรือว่าในเพศของบรรพชิต เราก็เป็นมิตรทั้งสองฝ่ายคือไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ถูกต้อง

    อ. คำปั่น ในช่วงหลังๆ ก็จะได้กล่าวถึงความเป็นพระภิกษุ ก็ขออนุญาต สรุปพระสูตรสูตรหนึ่ง ก็คือ อัคคิขันธูปมสูตร มีทั้งหมด ๗ ประการ เพื่อกล่าวให้ได้เข้าใจจริงๆ ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลจริงๆ เกื้อกูลสำหรับทุกคนผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเพศบรรพชิต เป็นเพศที่สละอาคารบ้านเรือน สละทรัพย์สมบัติแล้ว จริงใจที่จะน้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่ประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ที่ไม่จริงใจที่จะขัดเกลากิเลส ก็มีชื่อเรียกมากมายว่า

    เป็นภิกษุศีล เป็นภิกษุลามก เป็นภิกษุประพฤติชั่ว เป็นภิกษุเน่าใน เป็นภิกษุเพียงดังหยากเยื่อ เป็นภิกษุผู้มีกรรมมันปกปิด

    สารพัดที่จะกล่าวถึงในความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง พระพุทธพจน์ ก็คือ

    (๑) การที่กอดกองไฟยังจะดีกว่าพระภิกษุกอดในสิ่งที่ไม่เหมาะควรอย่างเช่นเพศสตรี เพราะว่าการกอดของไฟก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่การทำอย่างนั้นอบายภูมิแน่นอน

    (๒) การเอาเชือกหนังไถไปหรือว่าถูไปที่ขาทั้ง ๒ ข้าง ไถไป ลากไปลากมาจนกระทั่งถึงกระดูก ยังดีกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลยินดีในการกราบไหว้ของคฤหัสถ์ เพราะว่าตัวเองเป็นผู้ทุศีลการเอาหนังอันคมนี้ขัดถูจนกระทั่งตัวเองได้รับบาดเจ็บนี้ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่าความเป็นผู้ทุศีล เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ

    (๓) การที่เอาหอกชโลมด้วยน้ำมันแทงเข้าไปที่กลางอก ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลยินดีในการประคองอัญชลี อันนี้ยังไม่ถึงกราบไหว้ แต่ว่าเพียงแค่ประคองอัญชลี การกระทำอย่างนั้น ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่าภิกษุผู้ทุศีลยินดีในการประคองอัญชลีของคฤหัสถ์ เพราะว่าตัวเองไม่มีมีคุณธรรม ประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ

    (๔) การที่เอาแผ่นเหล็กร้อนๆ แนบกาย ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลครองจีวรที่คฤหัสถ์ถวายด้วยศรัทธา เพราะว่าการเอาแผ่นเหล็กแนบกาย ตายไปก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่าความเป็นผู้ทุศีลแล้วก็ครองจีวรที่ชาวบ้านถวายด้วยศรัทธา เป็นเหตุให้ตัวเองเกิดในอบายภูมิ

    (๕) การที่นั่งบนเตียงตั่งร้อนๆ เป็นเหล็ก ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลนั่งนอนบนเตียงตั่งอาสนะที่ชาวบ้านหรือว่าคฤหัสถ์ถวายด้วยศรัทธา

    (๖) การที่ถูกง้างปากด้วยขอเหล็กแล้วเอาก้อนเหล็กแดงใส่เข้าไปลงในปาก ไปทำร้ายอวัยวะต่างๆ จนกระทั่งถึงข้างล่าง ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลบริโภคก้อนข้าวที่ชาวบ้านถวายด้วยศรัทธา แสดงถึงความบริสุทธิ์มากเลยว่า ใครคือผู้ที่เหมาะควรต่อการที่จะได้รับก้อนข้าวที่ชาวบ้านถวายศรัทธา ก็ต้องเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น ไม่ใช่ภิกษุผู้ทุศีล และข้อสุดท้ายก็คือ

    (๗) การที่ถูกจับโยนลงไปในหม้อเหล็กแดงทั้งตัวเลย ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลใช้สอยวิหารหรือว่าอาวาสที่คฤหัสถ์ถวายด้วยศรัทธา

    นี่ทั้งหมด ๗ ประการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงซึ่งก็ละเอียด แต่ว่าอันนี้คือกล่าวโดยสรุป พระธรรมคำสอนในส่วนนี้เกื้อกูลมากเลย ภิกษุ ๖๐ รูปกระอักเลือด แสดงว่าเป็นผู้ที่ไม่บริสุทธิ์เป็นภิกษุปาราชิก อีก ๖๐ รูป ลาสิกขา เพราะว่าตัวเองประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควรมากมาย อีก ๖๐ รูปถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ในพระธรรมวินัย แล้วก็ได้รับการเกื้อกูลจากพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระสูตรนี้เตือนไว้อย่างดีมากว่า ความเป็นภิกษุผู้ทุศีลนั้นเป็นโทษมาก ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่กระทำคืนให้ถูกต้อง ถ้ามรณะภาพลงก็เป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นพูดตรง และเห็นคุณของพระธรรม เพราะว่าจะเกิดในนรกนี้นานมากกว่าจะพ้นนรกได้ แม้เปรต แม้สัตว์เดรัจฉาน ก็แล้วแต่พบภูมิว่าจะมากน้อยแค่ไหน กว่าจะได้เป็นมนุษย์ เพราะต้องเป็นผลของกรรมดี และเป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยปัญญาเพราะว่าได้เคยได้ฟังธรรมได้พิจารณาไตร่ตรองเข้าใจ และก็เห็นโทษของอกุศล เพราะฉะนั้นการที่เป็นผู้ที่หวังดี และก็กล่าวข้อความในพระไตรปิฏก ก็เพื่อที่จะให้ผู้ที่ปฏิญาณโดยการบวชว่าเป็นเพศบรรพชิต ได้สำนึกในสิ่งที่ถูกต้องว่า เป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าไม่สามารถจะเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยได้ ลาสิกขาบท สึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ก็จะพ้นจากโทษที่ผิด แต่ว่าถ้าบวชใหม่ก็ต้องปลงอาบัติทั้งหมดที่ยังไม่เปลงก่อนที่จะลาสิกขา แต่ยังมีข้อปลีกย่อยอีกมาก แต่ประโยชน์ที่สุดก็คือว่า ถ้าเป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัยไม่ได้เป็นโทษมากกับตนเองก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะพิจารณาว่า จะหวั่นเกรงโทษนั้นไหม เพราะว่า ข้อความในพระไตรปิฏกก็แสดงโทษไว้มาก

    อ. คำปั่น พระภิกษุทุกรูป ตั้งแต่สมัยพุทธกาลทุกยุคทุกสมัยทั้งหมด ต้องศึกษาพระธรรมวินัย น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัยไม่มีเว้นเลย ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มีชาวบ้านบางคน ก็บอกว่า นั้นคือภิกษุในฝัน ถ้าจะทำตามพระธรรมวินัย หรือว่าในอุดมคติ หรือว่าอุดมการณ์ใดๆ ก็ตาม แต่ผู้นั้นลืม ไม่มีพระภิกษุในฝัน ไม่มีภิกษุในอุดมคติ มีแต่ภิกษุในธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด เปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าไม่เป็นพระภิกษุได้ไม่จำเป็น แต่ถ้าเป็นต้องเป็นตามพระวินัย และก็ต้องศึกษาธรรมด้วย มิฉะนั้นพระภิกษุทำอะไร เพื่ออะไร บวชเพื่ออะไร


    หมายเลข 10632
    16 มิ.ย. 2568