พระธรรมวินัย ๐๐๙ ศากยบุตร


    อ.วิชัย บุคคลที่ในสมัยพระพุทธกาลที่ท่านเห็นประโยชน์ ความต่างระหว่างบรรพชิตกับคฤหัสถ์ และคฤหัสถ์ที่รู้จักอย่างเช่นท่านอนาถะก็รู้จักตนเองว่าท่านครองเรือน แต่ว่าก็ สามารถเจริญกุศลในฐานะของอริยบุคคลด้วย และก็เป็นคฤหัสถ์ด้วยที่จะมีการเกื้อกูลอนุเคราะห์บำรุงภิกษุทั้งหลาย อัธยาศัยความต่างของ บรรพชิตกับคฤหัสถ์คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นท่านก็รู้ว่าถึงไม่บวช ท่านก็ทำธุระให้แก่พระศาสนาได้ โดยการศึกษา และก็ทะนุบำรุงพระภิกษุสงฆ์ ตามกำลัง

    อ. คำปั่น เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ ก็จะไม่รู้ว่าใครคือพระภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นก็ตั้งแต่ความหมายของภิกษุแล้วว่าหมายถึงอะไร เพราะว่าท่านที่ได้มาฟังการสนทนาธรรมเมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวในความเป็นจริง ว่าก็คือผู้ที่เห็นโทษเห็นภัยในสังสารวัฎ เพราะว่าภัยของชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ ที่จะรู้ว่ากิเลสมีโทษอย่างไร และก็จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองอย่างไร และก็ตามเหมาะควรแก่เพศของตนด้วย และท่านผู้นั้นก็มีอัธยาศัยใหญ่จริงๆ ในการที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติวงศาคณาญาติความรื่นเริงความบันเทิงต่างๆ ไม่มีเลย สละเพื่อที่จะอุปสมบท เป็นผู้ที่ใกล้ต่อความสงบจากกิเลสจริงๆ เพราะฉะนั้นสำคัญก็คือการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนจริงๆ

    ท่านอาจารย์ การที่จะเป็นพระภิกษุ ก็ต้องสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ยินดีในเงินและทอง และไม่รับเงินและทองด้วย เพราะฉะนั้นถ้ากิเลสเกิดกำเริบขึ้นมา และก็มีการกระทำที่เป็นการถือเอาสิ่งของเรียกว่าทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน แม้เพียงเท่านี้ ก็ถึงกับปาราชิก แสดงให้เห็นว่าเงินกับภิกษุไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเกี่ยวข้องกันเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าสละความยินดีในเงินและทอง เพราะว่าการอบรมเจริญปัญญา เพื่อละความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะซึ่งเป็นสิ่งที่คฤหัสถ์ต้องการ แต่เมื่อคิดที่จะสละแล้ว สิ่งนั้นจะได้มาจากอะไร ก็เพราะมีเงินและทอง เพื่อที่จะได้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมา ด้วยเหตุนี้ เงินและทองนำมาซึ่งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสซึ่งพระภิกษุปฏิญาณว่าจะละขัดเกลาด้วยการที่บวชเป็นเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นถ้ากิเลสเกิดกำเริบถึงกับทำให้มีการที่เหมือนกับลัก ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ก็อาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นภิกษุโดยประการใดๆ ที่ไม่สามารถจะเป็นภิกษุอีกต่อไปได้

    อ. วิชัย ก็เคยมีโอกาสสนทนาเรื่องของการรับเงินและทอง ภายหลังออกอากาศก็จะมีคนโทรมาถามว่า ภิกษุรับเงินทองไม่ได้ แต่บางครั้งท่านก็ถามภิกษุ ท่านก็บอกว่าเช่นยุคนี้ก็จะมีเรื่องของการค่าใช้จ่ายในการเดินทางบ้าง ในการรักษาพยาบาลต่างๆ บ้าง ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินและทอง

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต้องเป็นภิกษุ ง่ายมากเลย ถ้าไม่สามารถที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ต้องเป็น เป็นได้อย่างไร ไม่จริงใจ หลอกลวง ถ้าสะสมไว้มาก ข้อความในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงเศรษฐีหัวโล้น แล้วก็ถ้าไม่ได้มาในทางที่ คือรับอย่างไรก็รับไม่ได้ ก็เป็นมหาโจร ไม่ใช่โจรธรรมดาแต่เป็นมหาโจร เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง มีกิเลสแล้วเห็นโทษของกิเลส จะขัดเกลากิเลส แล้วจะไม่ตรงได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าการขัดเกลากิเลสด้วยปัญญา ซึ่งไม่จำกัดเลยว่าเป็นใครก็ได้ ฟังพระธรรมค่อยๆ เข้าใจ ขณะที่เข้าใจ ความเข้าใจนั้นก็ละความไม่รู้ความไม่เข้าใจ นี้คือการขัดเกลากิเลสซึ่งเกิดจากความไม่รู้ซึ่งเป็นกิเลส แล้วก็ยังมีกิเลสอื่นซึ่งเกิดจากความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือว่า ฟังพระธรรม แล้วก็เป็นผู้ตรงคือเห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของกิเลสในเพศคฤหัสถ์ ก็มีการงดเว้นทุจริตต่างๆ ซึ่งเราใช้คำธรรมดาว่ารักษาศีล ๕ แต่รักษาคือศึกษา ประพฤติปฏิบัติสิกขาบทด้วย แต่ว่าไม่ใช่มากเท่า [iir=b๙แต่ว่าเป็นผู้ที่คนที่ละทุจริต เพราะเห็นโทษของทุจริตเห็นโทษของกิเลส ถ้าไม่เห็นโทษของกิเลสจะละได้ไหม เพราะฉะนั้นชีวิตของคฤหัสถ์ก็จะเห็นได้ว่าหลากหลายมาก แล้วแต่ว่าใครจะเห็นโทษในเรื่องอะไร ก็เป็นไปตามอัธยาศัยว่า เพราะปัญญาที่เห็นโทษต่างหากที่ทำให้เขาละโทษนั้นได้ ถ้าเขาเห็นโทษของการที่จะเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น ผู้นั้นเองเมื่อเห็นโทษก็ละการเบียดเบียน สมาทานสิกขาโดยไม่ต้องบอกใครก็ได้ เพราะสมาทานหมาย ถือเป็นข้อประพฤติปฏิบัติของตนเองส่วนตัว ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกใครก็ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความที่จะขัดเกลากิเลสในเพศไหน

    อ. วิชัย ต้นสิกขาบท ก็พูดถึงเรื่องของท่านพระอุปนันทศากยบุตร ซึ่งก็มีคฤหัสถ์ที่เขาเตรียมเนื้อจะถวาย แต่ว่าในคืนนั้นก็จะมีเด็กในเรือนที่กินเนื้อนั้นก่อน และภายหลังท่านก็มา แล้วก็ท่านก็ขอรับเป็นเงินไป ซึ่งคฤหัสถ์นั้นก็รู้ว่านี่ไม่ควรแก่ภิกษุ ก็เลยเพ่งโทษ ติเตียน และโพนทะนา และในฐานะที่เรากล่าวในสิกขาบท จะถือว่าจะเป็นเหตุเพื่อที่จะเกื้อกูลอนุเคราะห์อย่างเช่น ในช่วงแรกกล่าวถึงบริษัทที่เหลือทั้ง ๓ ที่จะเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้ทรงไว้ซึ่งพระธรรมวินัยอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจที่ถูกต้องในข้างเราต้องการอนุเคราะห์ให้พุทธบริษัทประพฤติตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติไว้ เราก็ต้องกล่าว ถ้ารู้ก็กล่าว ถ้าไม่รู้ก็ศึกษาให้เข้าใจ ให้ชัดเจนถูกต้อง เพื่อจะได้อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน พระภิกษุท่านอนุเคราะห์คฤหัสถ์อย่างไร ศึกษาธรรม แสดงธรรม เพื่อให้คฤหัสถ์ได้เข้าใจถูกต้อง นั่นคือกิจที่พระภิกษุอนุเคราะห์คฤหัสถ์ แต่ว่าสำหรับคฤหัสถ์ จะสงเคราะห์หรืออนุเคราะห์หรืออย่างไรก็แล้วแต่ แต่หมายความว่า กิจที่คฤหัสถ์สามารถทำได้ทุกอย่างที่เป็นการที่จะทำให้พระภิกษุดำรงอยู่ในเพศของบรรพชิต คฤหัสถ์นั้นควรทำอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าทำในฐานะของมิตรที่ดี ในฐานะของพุทธบริษัทร่วมกัน ที่จะต้องช่วยกันดำรงรักษาคำสอน ไม่ใช่ทิ้งให้เป็นภาระของใคร เพราะผู้มีพระภาคมอบให้พุทธบริษัทในครั้งนั้น ทั้ง ๔ พร้อมเพรียงกันศึกษา และก็ประพฤติปฏิบัติตาม

    อ. คำปั่น เรื่องของการรับเงินและทองก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าในสมัยพุทธกาลเอง ผู้ที่เป็น พุทธบริษัทที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นผู้ที่มีความเข้าใจความจริง สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าพระภิกษุก่อนบวชสละทรัพย์สินเงินทองแล้ว สละวงศาคณาญาติ สละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นจึงรับเงินและทองไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ จึงจะสามารถที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้องด้วยว่าความจริงเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือภิกษุที่ท่านรู้สึกสำนึกว่าท่านไม่สามารถที่จะดำรงเพศภิกษุได้ ท่านสามารถที่จะลาสิกขาได้ทุกโอกาสใช่ไหม เมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีใครห้ามเลย

    อ. วิชัย เพราะว่าการลาสิกขาก็ง่ายมาก เพียงแค่แสดงแก่ใครก็ได้ที่รู้เนื้อความว่า ขอลาสิกขาจากเพศภิกษุคือลาพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ ขอให้ทรงจำว่าเดี๋ยวนี้เป็นคฤหัสถ์ นี้ก็คือพ้นจากความเป็นภิกษุแล้ว ไม่ต้องทำพิธีอะไรทั้งสิ้น

    อ. อรรณพ ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นบรรพชิต จะต้องมีความตรงยิ่งกว่าคฤหัสถ์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องประพฤติตามพระวินัย และก็ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ

    อ. อรรณพ เพราะถ้าจะไม่ประพฤติตามสิกขาบทต่างๆ และแล้วก็อาจจะอ้างยุคสมัยบ้าง เช่น ในยุคสมัยนี้ก็อาจจะต้องมีการรับเงินรับทอง มิเช่นนั้นก็จะไม่สะดวก เช่นนี้ก็เป็นความไม่ตรงต่อเพศบรรพชิตอย่างยิ่ง

    ท่านอาจารย์ ไม่ตรงต่อที่ว่า บวชทำไม

    อ. อรรณพ เพราะฉะนั้น อย่างคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ตราบใดยังมีกิเลสโลภะก็เกิดได้ แต่ความตรงของผู้ที่ยังมีโลภะด้วยกันแต่ต่างเพศกัน ก็ไม่ได้บวช

    ท่านอาจารย์ นั่นคือตรง ไม่ใช่ว่าเหมือนกันเลย แต่เชื่อว่าบวช แต่ต้องรู้ว่าบวชคืออะไร แล้วก็ต้องตรงต่อความประสงค์ด้วย ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องประพฤติตามพระวินัยบัญญัติ ซึ่งถ้าไม่ประพฤติตามพระวินัย ไม่ใช่พระภิกษุแน่นอน ก็ต้องเป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นความต่างของคฤหัสถ์กับบรรพชิต ก็คือพระวินัย เพราะว่า คฤหัสถ์ก็ศึกษาธรรมได้ บรรพชิตก็ศึกษาธรรมได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะศึกษาธรรมในเพศภิกษุ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกาลสมัยไหน เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ที่ทรงบัญญัติสิ่งที่ควรแก่พระภิกษุ เป็นพระภิกษุเพื่ออะไร อยู่ดีๆ เป็นคฤหัสถ์แล้วก็จะไปเป็นพระภิกษุ คิดอย่างไร เพื่ออะไร ผู้ที่ตรงก็คือผู้ที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตร เพราะเหตุว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงสงบจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ แล้วก็มีชีวิตที่เป็นเพศบรรพชิตตลอด จนกระทั่งทุกอย่างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในยุคไหนสมัยไหน ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกลับเป็นผู้ที่มีกิเลสอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะบวชก็คือว่าผู้ที่เห็นพฤติการณ์พฤติกรรมการกระทำของพระสัมมาสัมเจ้า ทั้งในเรื่องของธรรม ในเรื่องของพระวินัยด้วย เพราะฉะนั้นพูดนั้นก็จะประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหมจึงบวช ไม่ใช่ประพฤติอย่างเดิมคืออย่างคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นเมื่อจะประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่จะทำได้ ในเมื่อยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็รู้ว่าการที่จะ สามารถรู้ธรรมได้ ก็คือว่าไม่ใช่เพียงศึกษาธรรมแล้วไม่รู้ว่าจะประพฤติอย่างไร ทางกายทางวาจา เพราะเหตุว่าเมื่อเข้าใจความเป็นภิกษุแล้วก็รู้ด้วยว่า ภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไรตามพระวินัยทั้งหมด มิฉะนั้นก็ไม่ใช่บรรพชิตไม่ใช่พระภิกษุ

    เพราะฉะนั้นเมื่อต้องการจะประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับเงินทองหรือเปล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีที่ดินไร่นาหรือเปล่ าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปราสาทราชวังหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ตรง เห็นคฤหัสถ์กับบรรพชิตก็รู้แล้วว่าต้องต่าง ไม่ต่างจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตอย่างไร คฤหัสถ์ก็มีชีวิตของคฤหัสถ์เหมือนเดิม แต่เมื่อเป็นบรรพชิตเป็นพระภิกษุแล้วต้องต่างจากคฤหัสถ์ ถ้าไม่ต่างก็ไม่ใช่ภิกษุ

    อ. อรรณพ ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็จะต้องมีความตรง ถ้าเห็นภิกษุไม่ประพฤติตามธรรมวินัย ก็ต้องเป็นความตรงของอุบาสกอุบาสิกาที่จะชี้แจง

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่าบุคคลนั้นไม่ใช่ภิกษุ ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ถ้าความประพฤติที่ล่วงทางกายทางวาจาที่ไม่เหมาะสม สำนึกหรือเปล่า ปลงอาบัติหรือยัง เมื่อปลงอาบัติแล้วยังทำต่อไปอีกหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติไว้เพื่ออนุเคราะห์ให้ภิกษุอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นภิกษุเองต้องตระหนักในกายวาจาซึ่งจะเป็นเหมือนอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ และถ้าได้ล่วงไปแล้ว เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อยังมีอกุศลอยู่ ความประพฤติทางกายหรือทางวาจาเป็นอกุศลก็มี แต่ต้องสำนึกในความเป็นภิกษุต้องปลงอาบัติ ถ้าตราบใดที่ไม่ปลงอาบัติ ก็ชื่อว่าไม่เคารพในพระธรรมวินัย ในพระบรมศาสดา แล้วบวชทำไม บวชที่จะประพฤติตามไม่ใช่หรือ เมื่อบวชแล้วก็ต้องเป็นผู้ตรงที่ต้องประพฤติตามพระวินัย และก็ต้องศึกษาพระธรรม ด้วยเพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมก็ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ครบถ้วน

    อ. อรรณพ เพราะฉะนั้นความไม่ตรงหลังจากบวชแล้วมากมายที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำตามพระธรรมวินัย ก็มาจากจุดแรกก็คือ ตรงหรือไม่ตรงต่อการบวชตั้งแต่แรก

    ท่านอาจารย์ ตรงต่อการเป็นภิกษุในธรรมวินัย

    อ. อรรณพ และคฤหัสถ์ก็ควรจะเป็นผู้ที่ตรงที่จะเพ่งโทษ ดิเดียน โพนทะนาด้วยกุศลจิตที่จะรักษาพระธรรมวินัย

    อ. คำปั่น ความหมายที่กล่าวถึงศากยบุตรนี้ก็คือ ผู้ที่เกิดในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน ที่ปฏิญาณตนว่าจะเป็นผู้ที่ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือศากยบุตร ก็จะต้องคล้อยตามความประพฤติเป็นไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำว่าศากยบุตรนี้ก็มีความหมายที่ละเอียดมาก ก็คือผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่คล้อยตาม แล้วก็น้อมประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอุบาสกอุบาสิกาเห็นพระภิกษุ ก็เหมือนกับเห็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุตรในที่นี้หมายความถึงผู้ที่มีความประพฤติด้วยความสงบตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม

    อ. อรรณพ ต้องด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรมและพระวินัย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้สมัยนี้ยุคนี้เห็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม ไม่เห็น ในขณะที่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และในขณะที่ศึกษาเข้าใจพระธรรม ผู้นั้นจึงจะเป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ. อรรณพ แม้ข้อแรกที่พระองค์ท่านทรงเปรียบเทียบม้าอาชาไนยว่า ม้าอาชาไนยก็คือว่า มีกำเนิดที่ดี แล้วก็ที่จะเป็นม้าอาชาไนย แล้วก็เกิดในที่ที่ม้าอาชาไนยทั้งหลายเกิดกัน ก็เหมือนกับผู้ที่บวชเป็นบรรพชิต คือเกิดใหม่จากเพศคฤหัสถ์ หมดไปแล้ว เกิดใหม่เป็นเพศบรรพชิตก็อยู่ในหมู่บรรพชิตที่มีอาจาระและโคจระที่ดีงาม เพราะฉะนั้นเมื่ออย่างนั้นก็ต้องอยู่ในที่เดียวกัน แบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นที่พระองค์ท่านตรัสข้อแรกว่าสำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระโคจระก็เป็นที่ชัดเจนมากๆ เลยว่า เหมือนม้าอาชาไนย เขาก็เกิดในถิ่นที่ของม้าอาชาไนยอื่นๆ คือผู้ที่มีความประพฤติ แล้วก็ความเป็นไป การศึกษาพระธรรม มีอุปนิสสยโคจระนี้เป็นเริ่มต้นเลย ถ้าจะเพราะนั้นถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็เป็นม้าพยศ ม้าโกง

    ท่านอาจารย์ บางแห่งจะใช้คำว่า เกิดจากพระอุระ หมายความถึงปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าถ้าไม่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะไม่มีภิกษุ ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นจากปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ทรงแสดงธรรม จนกระทั่งมีผู้ที่รู้จักตนเอง ว่าจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นผู้นั้นเมื่อบวชแล้วเป็นพระภิกษุแล้ว ก็เป็นบุตรที่เกิดจากพระอุระ จากปัญญา ซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย

    อ. อรรณพ คำเหล่านี้พระองค์ท่านตรัส แล้วทำให้เกิดความซาบซึ้งมากว่า ผู้ที่จะถึงขั้นที่จะเป็นสมณศากยบุตรบ้าง เกิดจากพระอุระบ้าง หรือว่าเปรียบเทียบว่าถ้ากำเนิดเหมือนม้าอาชาไนย ก็ต้องกำเนิดในหมู่ม้าอาชาไนย ก็กำเนิดในหมู่พระภิกษุที่ประพฤติปฏิบัติราวกับเป็นพระอรหันต์ แม้ว่าท่านยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านก็มีความเคารพในสิกขาบท แล้วก็ประพฤติตามสิกขาบท ประดุจกับเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์

    อ. วิชัย ก็เห็นภิกษุในธรรมวินัย เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกข์ และก็ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจระ และก็มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย ก็อยากขอเรียนอาจารย์ปั่นให้กล่าวคำอุปมาในอรรถกถาเมฆิยสูตรอีกครั้งหนึ่ง

    อ. คำปั่น เพราะว่าเป็นผู้ที่เห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ก็มีโทษไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ในกรณีที่อาบัติเบาที่สุด ก็คือทุพภาษิต ผู้ที่เห็นโทษจริงๆ ท่านก็เห็นว่า มีโทษเปรียบประหนึ่งว่าเป็นอาบัติปาราชิก เพราะเหตุว่า เป็นโทษจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอาบัติเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็มีโทษสำหรับผู้ที่ประพฤติล่วงละเมิด เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะ เป็นอกุศลเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากว่าเป็นผู้ประมาทไม่เห็นโทษ ก็จะสะสมพอกพูนมากขึ้น เพราะว่าอกุศลที่มาก็มาจากทีละเล็กทีละน้อย

    ท่านอาจารย์ บางท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่าทุพภาษิตเลย

    อ. คำปั่น คำว่า ทุพภาษิต หมายถึง คำที่กล่าวชั่ว คำพูดชั่ว เป็นอาบัติที่เกี่ยวกับเรื่องของคำพูด อย่างเช่น มีเจตนาที่จะกล่าวกระทบผู้อื่น ด้วยการยกเอาชื่อ ยกเอานามสกุลมาเพื่อที่จะ ประสงค์จะล้อเล่น เป็นอาบัติทุพภาษิต

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่สงบวาจา คิดดู สงบวาจา เคยพูดเล่น เคยสนุกสนาน แต่ว่าวาจาของพระภิกษุต้องเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่านึกจะพูดอะไรก็พูดอย่างคฤหัสถ์เหมือนเดิม

    อ. วิชัย ก็มีข้อที่น่าคิดคือว่า การที่จะเห็นเหมือนกับว่าอาบัติเพียงเล็กน้อยเหมือนทุพภาษิตที่จะเห็นอย่างปาราชิก ปัญญาที่จะรู้ว่ามีโทษเป็นอย่างงั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเป็นผู้สงบจริงๆ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ สมณะคือผู้สงบ เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ใช่ผู้สงบ กายวาจาไม่สงบก็คือไม่ใช่บรรพชิต

    ผู้ฟัง คำถามครั้งแรกก็จะเรียนถามว่า จะอยู่หรือจะไป คือประเด็นก็หมายถึงว่า จะอยู่หรือจะไป พูดถึงเรื่องความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ คือเป็นเดิมส่วนตัวของอาตมาคือ แบบมันไม่ค่อยยินดีที่จะประพฤติพรหมจรรย์ คือ ก็เลยอยากเรียนถามอาจารย์ว่าจะมีธรรมอะไรบ้างหรือไม่ที่จะขอความอนุเคราะห์จะโยมอาจารย์พอที่จะแนะนำ เพื่อจะบรรเทาความไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์


    หมายเลข 10621
    16 มิ.ย. 2568