พระธรรมวินัย ๐๐๘ พระพุทธศาสนาไม่อันตรธานจากผู้ศึกษา


    ผู้ฟัง ก็มาถึงประเด็นที่สองซึ่งว่าชาวบ้านหลายท่านได้ยินข้อเรียกร้องของกลุ่มพระภิกษุที่เสนอเกี่ยวกับเรื่องจะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ชาวบ้านหลายส่วนซึ่งไม่มีความเข้าใจก็คิดว่าเห็นดีไปกับสิ่งเหล่านั้น อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ และคณะอาจารย์วิทยากรว่าสิ่งเหล่าคือว่าการที่จะให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้นเป็นการเหมาะสมประการใด

    ท่านอาจารย์ เป็นเพียงชื่อ หรือว่าเป็นการที่ทุกคนศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าทุกคนศึกษาเข้าใจพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติตาม ไม่จำเป็นต้องมีชื่อ เพราะเหตุว่าทุกคนใครก็ได้ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยทั่วโลก เมื่อได้มีการศึกษาเข้าใจธรรม และประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แล้วเพื่ออะไร การเรียกร้องเพื่อให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ต้องคิดถึงว่าเพื่ออะไร เป็นความต้องการ เป็นโลภะ เป็นความติดข้อง หรือว่าเป็นการสละการที่จะต้องยึดถือว่านี่ของฉัน นั่นของคนอื่น หรือว่าจริงๆ แล้วก็คือว่า ศาสนาเป็นคำสอนที่จะทำให้ทุกคนได้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง เพื่อรู้ความจริงว่า สิ่งใดไม่ดีควรละ สิ่งใดดีเป็นสิ่งที่ควรจะอบรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องของการที่จะจำกัด เรียกร้อง หรือใช้เพียงชื่อ แต่ว่าไม่มีการศึกษาให้เข้าใจพระธรรมโดยถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้ามีเพียงชื่อจะมีประโยชน์อะไร และเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง ก็อีกประเด็นนึงคือว่าการที่พระภิกษุ และบุคคลทั่วไปหลายคนที่ไม่มีความเข้าใจก็เพราะว่ามีพระภิกษุท่านหนึ่ง ท่านพูดออกทีวีชักชวนให้ประชาชนไปลงทะเบียนหรือช่วยแสดงความคิดเห็นว่า ถ้าพุทธศาสนาควรจะมีการบรรจุในรัฐธรรมนูญ ถ้าอย่างนั้นพระภิกษุผู้ซึ่งท่านไม่ได้มีความเห็นถูกต้องเลย ท่านกระทำผิดทางพระวินัยไหม

    ท่านอาจารย์ กิจของสงฆ์คืออะไร กิจของพระภิกษุซึ่งบวชในสำนักพระพุทธเจ้าคืออะไร ทำไมจึงบวช บวชเพื่ออะไร บวชเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาพระธรรมด้วย เพราะเหตุว่าพระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้รู้ความจริงว่า การที่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้นั้นต้องอบรมเจริญอย่างไร ทั้งกาย วาจา และใจ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อการได้ มักมาก ต้องการ ไม่ใช่ชีวิตของพระภิกษุ ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะว่าภิกษุในธรรมวินัยเป็นผู้ที่มีพระบรมศาสดาเป็นบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีการเคารพอย่างยิ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

    อ. วิชัย ดังนั้นการที่จะรักษาหรือว่าเป็นการช่วยที่จะให้พระธรรมคำสอนให้ดำรงอยู่ ก็ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อน ถ้าอยากจะให้ประเทศไทยเป็นเมืองของพระพุทธศาสนา ไม่ต้องใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะเหตุว่าใครก็ตามที่เข้าใจพระธรรม ผู้นั้นก็เป็นชาวพุทธ แต่ถ้ามีแต่เพียงชื่อแต่ว่าชีวิตประจำวันทั้งหมดไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจพระธรรม และก็การประพฤติเป็นไปในทุจริตการต่างๆ มากมาย แล้วจะให้คนอื่นบอกว่าเมืองไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ถูกต้องไหม เพราะเหตุว่าทุกอย่างต้องตรงและจริง ไม่มีว่าประเทศไหนจะมีศาสนาอะไรเป็นประจำชาติ ถ้าคนในชาตินั้นไม่ได้เข้าใจธรรมที่ตนได้กล่าวว่าเป็นศาสนานั้น มีไหมในประเทศไหนที่กล่าวว่าประเทศไหนบ้างที่มีศาสนาหนึ่งศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติ และเพื่ออะไร ถ้าคนที่ได้เข้าใจคำว่า พุทธะ ต้องรู้เป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาคือคำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่ สามารถที่จะรู้ได้ แต่เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย และความจริงทั้งหมดตามคำสอนของพระสัมมาสัมเจ้า เป็นไปเพื่อละความชั่วทั้งหมด ทุจริตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทางกายทางวาจาทางใจ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วยเมื่อได้ยินคำว่า พุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคืออะไร ถ้าบอกว่า นับถือพุทธศาสนาแต่ยังไม่เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร อย่างนั้นจะชื่อว่านับถือหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ความถูกต้อง ความจริง ต้องเป็นความตรง ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องไม่คดไม่โกง แต่ว่าตรงต่อความเป็นจริง เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็เข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ซึ่งก่อนฟังจะไม่มีความเข้าใจถูกต้องได้เลย

    ผู้ฟัง ก็เป็นโอกาสอันดีที่พวกเราทุกคนจะมาทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งที่คิดว่าพวกเราทุกคนก็คงทราบกันดีว่า ขณะนี้ก็มีเรื่องเกี่ยวกับที่ไม่ค่อยจะงดงามในวงการพระสงฆ์ ก็ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยแนะนำเราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ในกรณีที่เราเห็นพระประพฤติผิดพระวินัยซึ่งมีข่าวต่างๆ ออกมาตามหนังสือพิมพ์บ้าง ตามทีวีบ้าง เช่นพระดูทีวีที่ไม่สมควร หรือว่าพระมีทรัพย์สมบัติ มีที่ดินมีเงินฝาก หรือเสพของมึนเมาอะไรต่างๆ รวมทั้งสะสมข้าวของ ปัจจุบันนี้มีมากมายจนไม่ทราบว่า เดี๋ยวนี้พระสามารถมีเงินฝากในบัญชีได้แล้วหรือ มันถูกต้องแล้วหรือ ในฐานะที่ดิฉันก็เป็นชาวพุทธแล้วก็ศึกษามากับท่านอาจารย์ยาวนาน ก็อยากกราบเรียนท่านอาจารย์ให้ช่วยแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นแนวทางที่พวกเราจะยึดถือปฏิบัติต่อไป

    ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าขณะนี้พระพุทธศาสนามีผู้ที่ศึกษาและเข้าใจมากหรือเปล่า หรือว่ามีน้อยมาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ก็จะไม่รู้จักอะไรเลย แม้แต่ว่าพระภิกษุคือใคร ตอบได้ไหม พระภิกษุคือใคร ลึกซึ้งมากคือเป็นผู้ที่เห็นภายในสังสารวัฎ ภัยก็คือการที่จะมีชีวิตอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส ทางตาเห็น ติดข้องไม่รู้ และก็นำมาซึ่งกิเลสอีกมากมาย เพราะฉะนั้นบุคคลในครั้งพุทธกาล เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็เห็นประโยชน์ เพราะท่านสะสมมาที่จะเห็นโทษของอกุศล และรู้ว่า รู้กับไม่รู้ รู้ต้องดีกว่า ระหว่างความดีกับความชั่ว ความดีต้องดีกว่า แต่อะไรที่จะละความชั่วได้ ไม่ใช่มีใครไม่รู้จักความชั่วใช่ไหม ทุกคนก็รู้ทั้งนั้น ทำอะไรที่ผิดที่ไม่ถูกต้อง ทุจริตต่างๆ เป็นความชั่วทั้งหมด แต่อะไรจะละความชั่วนั้นได้ เพราะว่ามีความไม่รู้ และทุกคนก็ยังมีกิเลสอยู่ทั้งนั้น แล้วก็กิเลสที่แต่ละคนมี มากน้อยต่างกัน นี่เป็นเหตุที่อัธยาศัยของแต่ละคนต่างกันมาก เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาลเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ผู้ที่จะบวชเป็นผู้ที่จริงใจที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิตซึ่งสูงกว่าเพศคฤหัสถ์ เพราะว่าก่อนจะบวชก็มีกิเลส คฤหัสถ์ก็มีกิเลส และคนที่บวชก็ต้องเห็นโทษเพราะกิเลสที่ละยากในเพศของคฤหัสถ์ และสะสมอัธยาศัยใหญ่ที่จะสละ ไม่ลืมคำนี้ สละ ละทุกอย่างที่เคยติดข้อง สละหมดด้วยไม่เหลือเลย ครอบครัวมารดาบิดาวงศาคณาญาติทรัพย์สมบัติ ถ้าจะเป็นในครั้งโน้น ธุรกิจต่างๆ พ่อค้าหรืออะไรก็ตาม อาชีพต่างๆ ทั้งหมด เพราะเห็นว่า ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสเท่ากับการที่จะไม่ผูกพันไม่ติดข้องในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีการที่จะขอบรรพชาอุปสมบท สละทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างชีวิตของคฤหัสถ์ เพื่อเข้าใกล้ความสงบ อุปสมบท เพื่อถึงความสงบจากกิเลส เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าพระภิกษุคือผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฎ แล้วก็มีปัญญาพอที่จะเห็นโทษของอกุศล แล้วยังรู้หนทางที่ตนเองได้สะสมมาว่าจะอบรมเจริญปัญญาในเพศไหน เพราะว่าผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพุทธบริษัท ท่านอนาถบิณฑิกะ วิสาขามิคารมารดา ท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่ได้อุปสมบท นี้แสดงถึงอัธยาศัยที่ต่าง ที่ควร แก่การที่จะเป็นบุตรที่เกิดจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยบุตร เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรกที่บวชว่า เป็นผู้ที่สละทุกอย่าง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่จำเป็น มีที่อยู่อาศัย จีวร เครื่องนุ่ง ห่มยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยต้องมีใช่ไหม แต่ที่อยู่อาศัยของพระภิกษุในครั้งนั้นเป็นป่า เป็นร่มไม้ เป็นเขา เป็นซอกเขา เพราะเหตุว่าละอาคารบ้านเรือนแล้ว จะไปมีอาคารบ้านเรือนอีกหรือ เพราะฉะนั้นท่านก็มีชีวิตที่ไม่ติดข้อง และแม้แต่สิ่งที่จำเป็นเช่นอาหาร พระภิกษุหุงหาอาหารไม่ได้เพราะสละแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ชีวิตที่บริสุทธิ์คือเมื่อมีผู้ที่มีศรัทธาที่จะให้อาหารแก่ผู้ที่ไม่ได้ทำอาหารใช่ไหม ก็สามารถที่จะให้ได้ สละให้ได้ เพื่อให้ชีวิตของผู้นั้นจะดำรงอยู่เพื่อศึกษาพระธรรมประพฤติปฏิบัติตาม ขัดเกลากิเลสจนถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม นี่คือจุดประสงค์ของการบวช ไม่ใช่จุดประสงค์อื่นเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีความศรัทธาคงอย่างนี้ ท่านก็ดำรงชีวิตตามที่ได้ปฏิญาณไว้ คือสละทั้งหมด มีที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค เท่าที่จำเป็น เกินกว่านั้นไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะมีอะไรทั้งสิ้น ต้องตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ เพราะฉะนั้นสำหรับบรรพชิต นอกจากจะมีชีวิตเหมือนอย่างชาวบ้านธรรมดาที่ยังมีกิเลส แต่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาคือว่าต้องอบรมเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิตด้วย ซึ่งถ้ากระทำผิด ก็มีโทษตั้งแต่เบาจนถึงหนักคือ ไม่เป็นพระภิกษุอีกต่อไป เหมือนคนที่ศีรษะขาด ต่ออีกไม่ได้ บวชอีกไม่ได้ เป็นภิกษุอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใดไม่รู้จักพระธรรมวินัยไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

    ผู้ฟัง พูดก็ลำบากว่า ท่านก็อ้างว่า

    ท่านอาจารย์ ขอโทษ ต้องเป็นความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่พูดได้ เพื่อแก้ไข

    ผู้ฟัง อย่างท่านรับรถราคาแพงๆ แล้วก็บอกว่าเอาไปไว้สะสม

    ท่านอาจารย์ ขอโทษ ต้องไม่ลืม พระภิกษุมีอะไรได้บ้าง บ้านมีได้ไหม ที่ดินมีได้ไหม เงินทองมีได้ไหม สละแล้วจะกลับมาอีกได้อย่างไร กลับมาอีกก็คือพ้นจากการที่จะเป็นพระภิกษุสู่ความประพฤติอย่างคฤหัสถ์ แล้วก็ไม่ยำเกรงต่อพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไปได้เลย พระภิกษุทุกรูปในครั้งพุทธกาล ทั้งหมดทุกสมัย ต้องเคารพในพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ เมื่อการกระทำสังคายนาครั้งที่ ๑ โดยพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพระวินัยเลย เพราะว่าเป็นผู้ที่เคารพอย่างยิ่ง ในพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคได้ประชุมสงฆ์แล้วก็ให้ลงความเห็นว่าการกระทำอย่างนั้นเหมาะควรแก่ภิกษุไหม และต้องเป็นผู้ตรง ถ้าไม่ใช่พูดตรงๆ จะไม่ได้สาระจากพระธรรมวินัยเลย

    แล้วก็สำหรับพุทธบริษัท ก็มี ๔ ในครั้งโน้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยุคนี้ไม่มีภิกษุณีก็มีภิกษุอุบาสกอุบาสิกา ก่อนที่จะปรินิพพานไม่ได้มอบหมายให้บริษัทใดเป็นผู้ดำรงรักษาพระศาสนา แต่พุทธบริษัททั้ง ๔ เมื่อมีความเข้าใจธรรมดีทุกประการ ก็เป็นบริษัทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะต้องดูแลซึ่งกันและกันตามธรรมวินัย ในครั้งโน้น เวลาที่พระภิกษุรูปใดทำผิด ชาวบ้านรู้ เพjงโทษให้เห็นว่าเป็นโทษ ติเตียนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะเหตุว่าเป็นการไม่ประพฤติตามพระวินัย แล้วก็โพนทะนาประกาศให้รู้ทั่วกันว่าการกระทำอย่างใดสมควรการกระทำอย่างใดไม่สมควร เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท มิเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีการที่จะเข้าใจว่าพระภิกษุคือใคร ต้องศึกษาพระธรรม และต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย

    ผู้ฟัง สมัยนี้ก็เหมือนไม่มีใครจะไปชี้ขาดทั้งๆ ที่ก็เหมือนหลักฐาน

    ท่านอาจารย์ พระธรรมวินัยได้แสดงไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่สามารถจะไปทำอะไรได้ เพราะพระวินัยได้แสดงไว้ชัดเจนว่า ถ้าไม่ประพฤติอย่างนี้ ไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย ไม่ต้องหาใครมาชี้อีก เพราะธรรมวินัยทุกข้อเป็นสิ่งที่พระภิกษุจะต้องปฏิบัติ ตั้งแต่กายวาจา และใจ กายจะประพฤติอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ คึกคะนองอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ ขับเสียงเหมือนเสียงเพลงไม่ได้ ใช่ไหม ทุกอย่างหมดมีไว้ในพระวินัยปิฏก พร้อมที่จะให้ชาวพุทธได้เข้าใจถูกต้องว่าผู้ใดเป็นพระภิกษุในธรรมวินัย และผู้ใดไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย ไม่จำกัดเพศฐานะวัยใดๆ ทั้งสิ้น ขึ้นชื่อว่าพระภิกษุแล้วต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ทุกรูป ตั้งแต่ในครั้งพุทธกาลตลอดมา

    ผู้ฟัง แล้วพวกเราควรจะทำยังไง

    ท่านอาจารย์ เพ่งโทษ เมื่อเข้าใจ ใช่ไหม โทษเป็นโทษ เราอยากให้พุทธบริษัทมีโทษหรือ พุทธบริษัทก็เหมือนวงศาคณาญาติ เพราะฉะนั้นอยากให้ญาติประพฤติผิดชั่วเป็นภัยต่อทั้งตนเอง และต่อพระศาสนาหรือ ไม่เป็นที่เลื่อมใส ชาวบ้านติเตียน เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่กล่าวไว้แล้ว แสดงไว้แล้วชัดเจนในพระวินัย ก็กล่าวชี้แจงให้เห็นว่า พระวินัยกล่าวไว้ว่าอย่างนี้ โดยเฉพาะก็คือว่า เมื่อเริ่มที่จะสละเพศคฤหัสถ์ สละทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อสละแล้วจะรับได้อย่างไร จะมีเพศอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสละคือสละจริงๆ ถ้าไม่สละ ก็คือคฤหัสถ์ ไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

    ผู้ฟัง เท่าที่พวกเราทำได้คือเพ่งโทษเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ เพ่งโทษ แล้วก็ติเตียน เหมือนพุทธบริษัทในครั้งโน้นเลย ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ ที่จะช่วยกันรักษาดำรงพระศาสนา ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งว่า พระวินัยได้แสดงไว้ว่าอย่างไร ไม่เว้นเลยสักกรูปเดียวสำหรับพระภิกษุทุกรูป

    อ. คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความสำคัญของการที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมจริงๆ เพราะว่าพุทธบริษัทก็มีภิกษุบริษัทอุบาสกอุบาสิกาก็เหลือ ๓ บริษัทซึ่งเป็นชุมชนหรือว่าหมู่ชนที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบริษัทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะที่พวกเรา ก็เป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็กำลังศึกษาพระธรรมศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมมีความเข้าใจ จะเป็นโอกาสในการที่จะเกื้อกูลในบริษัทอื่นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือผู้ที่เป็นภิกษุบริษัท ในความละเอียดที่จะได้เข้าใจว่า ความต่างระหว่างความเป็นพระภิกษุกับคฤหัสถ์นั้นมีความเป็นจริงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่ตรง เพราะเหตุว่าเมื่อได้มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมแล้ว ก็รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญารู้ความจริงได้ แต่ว่าก็ไม่ได้มีการบังคับเลยว่า ผู้ที่จะศึกษาพระธรรมจะต้องเป็นผู้ที่บวช หรือว่าเป็นพระภิกษุ เพราะเหตุว่าปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถ้าเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน พระภิกษุที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี และอุบาสกอุบาสิกาที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยะบุคคลก็มี ก็แสดงให้เห็นว่าเสมอกันในความเป็นอริยะ แต่ว่าต่างกันโดยเพศ คือสำหรับคฤหัสถ์ ไม่ได้มีการที่จะสละชีวิตของคฤหัสถ์ ซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนานผูกพันต่างๆ แต่ว่าสำหรับผู้ที่เป็นบรรพชิตสละทั้งหมดวงศาคณาญาติมารดาบิดา ก็ต้องแยก ไม่ผูกพันด้วย แล้วก็ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่จะมีการคบหาสมาคม การบันเทิงต่างๆ เหมือนในเพศของคฤหัสถ์ด้วย ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าอัธยาศัยไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าอยากที่จะสนุกเหมือนเดิม แต่ก็อยากบวช ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า ใครที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิตก็สามารถจะกระทำได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้ตั้งแต่ต้นว่า สามารถจะประพฤติตามพระวินัยได้ แล้วก็ศึกษาพระธรรมด้วย

    ผู้ฟัง ก็คือต้องเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย จึงจะสามารถที่จะดำรงอยู่ในความเป็นบรรพชิตได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นโทษ

    อ. วิชัย บางครั้งความรู้สึก พูดถึงแต่ก่อน ความรู้สึกเหมือนว่าภิกษุเป็นเพศที่ขัดเกลา เป็นเพศที่จะสละแล้ว คิดว่าเมื่อบวชเข้าไปแล้วก็จะเป็นเหตุให้มีความสงบ ไม่ต้องมาเดือดร้อนวุ่นวายในการที่จะแสวงหาอย่างคฤหัสถ์ นี่คือความคิด แต่ว่ายังไม่รู้จักพระวินัยคืออะไร แต่พอศึกษาก็รู้ว่าตนเองไม่มีอัธยาศัยที่สามารถที่จะประพฤติได้อย่างนั้น เหมือนกับภิกษุครั้งพุทธกาล

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าคุณวิชัยรู้จักตัวเอง ยังชอบสนุก ใช่ไหม แล้วก็จะไปบวชได้ยังไง

    อ. วิชัย ก็ยังต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่จะต้องต่างกันมาก ระหว่างเพศบรรพชิตกับเพศคฤหัสถ์ ถ้าไม่ใช่อัธยาศัยจริงๆ บวชไม่ได้ เพราะว่าไม่สามารถที่จะมีชีวิตที่เป็นไปตามพระวินัยบัญญัติ ทุกอย่างทั้งกายวาจาและใจด้วย

    อ. วิชัย ดังนั้นบุคคลที่ในสมัยครั้งพุทธกาลที่ท่านเห็นประโยชน์ความต่างระหว่างบรรพชิตกับคฤหัสถ์ และก็คฤหัสถ์ที่รู้จักเช่นท่านอนาถะ ถ้าท่านรู้จักตนเองว่าท่านครองเรือนแต่ว่าก็ สามารถเจริญกุศลในฐานะของพระอริยบุคคลด้วยแล้วก็เป็นคฤหัสถ์ด้วย ที่จะมีการเกื้อกูลอนุเคราะห์บำรุงภิกษุทั้งหลาย อัธยาศัยความต่างของบรรพชิตกับคฤหัสถ์คืออย่างไร


    หมายเลข 10620
    15 มิ.ย. 2568