พระธรรมวินัย ๐๐๗ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ผู้ฟัง ประเด็นที่จะสนทนาก็คือ มีการพูดถึงศัพท์ทางพระวินัย ที่บอกว่า การเพ่งโทษ ติเตียน แล้วก็โพนทะนา แล้วในความละเอียดของภาษาไทยตรงนี้ที่มาจากภาษาบาลีก็จะมีความละเอียดมากซึ่งเหมือนกับจริงๆ ก็เป็นการที่ต่อเนื่องจากพระสูตรเมื่อวานที่ ถ้าติเตียนด้วยกุศลจิตเพื่อให้อะไรดีขึ้นก็ควรทำ แล้วก็เลยจะขอความกรุณาว่าใน ๓ คำ ที่ท่านอาจารย์จะให้พวกเรารู้จะเป็นอย่างไร เพ่งโทษ ติเตียน แล้วก็โพนทะนา
อ. คำปั่น ก็ขออนุญาตท่านอาจารย์แล้วก็จะได้กราบเรียนท่านอาจารย์ในความละเอียดของพระธรรมด้วย เพราะว่าถ้ากล่าวถึงความประพฤติเป็นไปของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็จะมี พฤติกรรมหรือว่าความประพฤติเป็นไปที่ไม่เหมาะสมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนเข้าสู่เพศที่สูงยิ่งคือเพศบรรพชิต เมื่อมีการกระทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรในฐานะที่เป็นอุบาบาสกอุบาสิกาผู้ที่เข้าใจความจริงจะนิ่งเฉยอยู่ จะเป็นการเหมาะควรไหม เพราะว่าถ้าหากว่าไม่กล่าวความจริงให้เข้าใจ ท่านจะรู้ตัวไหมว่า ท่านทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง จึงมีคำอยู่ ๓ คำซึ่งปรากฏมากมาย ทั้งในส่วนของพระวินัย และก็ในส่วนของพระสูตรด้วย ที่กล่าวถึงผู้ที่เป็นบัณฑิต ผู้ที่มีปัญญาที่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผิดอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็กล่าวให้เข้าใจตามความเป็นจริง
ซึ่งคำแรก ก็คือคำว่า เพ่งโทษ ซึ่งในภาษาบาลีก็คือ อุชฌายติ ซึ่งก็มีความหมายว่า เห็นถึงความประพฤติที่ไม่ดีประพฤติชั่วแล้วก็กล่าวให้เข้าใจว่า นี่คือพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุนำมาซึ่งความไม่เลื่อมใสของผู้อื่น อันนี้คือคำแรก เป็นการกล่าวให้เห็นถึงความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร
คำที่สองคือคำว่า ติเตียน ภาษาบาลี ในภาษาพระวินัยท่านใช้คำว่า ขียติ หมายถึงว่าตำหนิให้รู้ตัวเลยว่า เป็นสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทำอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรเลย
แล้วก็คำที่ ๓ น่าสนใจมากก็คือคำว่า โพนทะนา ภาษาบาลีก็คือ วิปาเจติ ซึ่งท่านก็ให้คำอธิบายไว้ไพเราะทีเดียวว่า พูดให้กว้างขวางออกไป คือกระจายข่าวให้แพร่สะพัดไปในทุกที่ทุกสถาน เป็นการกล่าว มุ่งประโยชน์ให้สำนึกจริงๆ ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็จะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าใจถูกต้องตามไปด้วยว่า พฤติกรรมอย่างนี้ไม่เหมาะไม่ควร ซึ่งก็จะเป็นการช่วยกันดำรงรักษาไว้ซึ่งความถูกต้อง คือรักษาพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ได้ทรงบัญญัติไว้
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจถูกว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อะไรถูกอะไรผิด อะไรมีโทษอะไรไม่มีโทษ เป็นผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริง แล้วเห็นคนอื่นทำสิ่งที่ไม่ถูก ใจของคนนั้นคิดอย่างไร เป็นผู้รู้ถูกเข้าใจถูกว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร สิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว สิ่งใดเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้อง ใจขณะนั้นคิดอย่างไร ทุกคนมีใจ คิดได้ ใจของทุกคนคิดอย่างไร
อ. คำปั่น ในเมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ควรที่จะให้เขาได้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์คือการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ มีความหวังดีไหม รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูก เป็นโทษอย่างยิ่ง ควรไหมที่จะให้เขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูก นี่เป็นความหวังดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เพ่งโทษ คุณคำปั่นให้คำแปลกครั้งหนึ่ง
อ. คำปั่น เห็นถึงความประพฤติที่ไม่ดี ประพฤติชั่ว แล้วก็กล่าวให้เข้าใจว่านี่คือพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องว่า ความประพฤติที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นต่างกับคนไม่รู้ ก็ได้แต่ว่า ใช่ไหม แล้วที่ถูกเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเข้าใจถูกและรู้ว่าเป็นธรรมฝ่ายอกุศล รู้ว่าเป็นธาตุ รู้ว่าเป็นการสะสมซึ่งไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลเลย แต่ธรรมฝ่ายดีก็ให้ผลดีธรรมฝ่ายชั่วก็ต้องให้ผลชั่ว ความเห็นผิดจะเป็นความเห็นถูกไม่ได้เลย และถ้าใครกำลังเห็นผิดเข้าใจผิด จะมีความกรุณาที่จะให้เขาได้เข้าใจถูกไหม เพราะฉะนั้นจึงได้ถามว่า แล้วผู้ที่รู้ขณะนั้น ใจเป็นอย่างไร มีความหวังดีหรือเปล่า มีความกรุณาหรือเปล่า เมื่อมีความหวังดีเ มื่อมีความกรุณา ควรไหมที่จะกล่าวสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้เขาสามารถพิจารณาได้ เขาจะฟังหรือไม่ฟัง จะพิจารณาหรือไม่พิจารณา แต่ผู้นั้นก็ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้นั้นแล้ว คือได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดคือให้เขาได้เข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเพ่งโทษไม่ใช่เพียงแต่ว่าใครทำไม่ดีก็ว่า แต่ต้องเป็นผู้ที่หวังดีด้วย ที่จะให้เขาเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ไม่ทำผิด
อ. คำปั่น คำต่อมาก็คือ ติเตียน ก็คือ กล่าวตำหนิให้เห็นจริงๆ ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควร
ท่านอาจารย์ ควรทำไหม ฟังเผินๆ ไม่ควรติใคร แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ ติไหม แต่ไม่ใช่ติ เปล่าๆ ก็ต้องแสดงให้เห็นด้วยว่าอะไรถูกอะไรผิด เขาจะได้รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกจริงๆ แล้วผิดจริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจถูกควรที่จะติไหม หรือกลัวไม่กล้าตินั่นคือความรักตน ไม่หวังดีต่อคนอื่นด้วย ไม่พูดสิ่งที่จริงและตรงให้เขาเข้าใจ นั้นชื่อว่าเป็นมิตรหรือเปล่า หวังดีหรือเปล่า ปล่อยเขาไปสู่ความเห็นผิด ตกเหวลึกก็ตกไป ไม่มีวันได้ขึ้นมาอีกเลย หันหลังให้พระสัทธรรม นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความหวังดี เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จึงเพ่งโทษ ให้รู้ว่าโทษอยู่ตรงไหน ชี้แจงให้เห็นถูกให้เข้าใจ ติเตียนให้รู้ด้วยว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
อ. คำปั่น แล้วก็พูดถึง โพนทะนา ก็คือพูดให้กว้างขวางออกไป คือกระจายข่าวให้แพร่สะพัดไปในทุกที่ทุกสถาน
ท่านอาจารย์ คนไทยใช้คำนี้ด้วยใช่ไหม ใครทำผิดใครทำชั่วก็โพนทะนา แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่หวังดี เพื่ออะไร เพื่อให้คนที่ผิดๆ ๆ ทั่วไปหมด ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนผิดไหม ดีไไหม ดีเพราะว่าคนจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท แม้ในครั้งอดีต เมื่อมีพระภิกษุที่ผิดพระวินัย กระทำสิ่งที่ไม่ควร อุบาสกอุบาสิกาเพ่งโทษ รู้เลยว่า นี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ติเตียน บอกด้วย ให้รู้ว่าไม่สมควร แล้วก็โพนทะนาด้วย ให้รู้ทั่วๆ กันไป เพราะว่าอาจจะมีคนที่เข้าใจผิดเห็นดีเห็นงามตามไปเพราะความไม่รู้ก็ได้
อ. ธีรพันธ์ ก็ได้ยินคำว่า เพ่งโทษ รู้สึกว่าจะเหมือนกับไป เพ่งดูโทษของคนอื่น โดยที่ขณะนั้นเหมือนกับเป็นอกุศล เพราะว่าได้ยินคำว่าเพ่งโทษแล้วก็เหมือนกับไปคอยที่จะจับผิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ามีคนบอกว่า ที่มูลนิธิมีแต่การศึกษาปริยัติ ไม่มีการปฏิบัติ เพ่งโทษหรือเปล่า สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ เพ่งโทษเพราะเข้าใจผิด แต่สำหรับผู้ที่มีความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะรู้ว่า เพ่งโทษผู้ที่เข้าใจผิด เห็นผิด ว่าการอบรมเจริญปัญญาต้องไปสู่สำนักหนึ่งสำนักใด เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของเหตุผล ที่พร้อมที่จะได้ไตร่ตรองพิจารณาว่าความเป็นจริงคืออย่างไร มีเราที่จะไปทำ หรือว่าเป็นการอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกตามที่ผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงให้ทุกคนได้เข้าใจถูกต้องว่า เป็นการอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่เป็นการไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นเพ่งโทษคืออะไร สำหรับคนที่ไม่เข้าใจเห็นสิ่งที่ถูกเป็นผิดเพ่งโทษเข้าใจว่าผิด แต่สำหรับผู้ที่รู้ ไม่ได้ไปกล่าวสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ได้ชี้แจงเหตุผล เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีการให้เห็นโทษจริงๆ โดยการบอกว่า สิ่งที่ถูกคืออย่างไร และสิ่งที่ผิดเป็นโทษอย่างไร แต่ผู้ที่เป็นอกุศล และก็เพ่งโทษเพราะไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็กล่าวคำซึ่งไม่สามารถจะอธิบายได้ เพราะเป็นการที่ว่าไม่ได้รับฟังเหตุผลว่า การรู้สภาพธรรมเดี่ยวนี้เป็นคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเปล่าว่า สิ่งที่ควรรู้ยิ่งคือเห็นในขณะที่กำลังเห็น ได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสคิดนึกทั้งหมด ไม่ว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คำนี้เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ระหว่างสองคำเพ่งโทษคือรู้ว่าอันไหนผิด
อ. ธีรพันธ์ กับที่ไม่รู้ความจริงเเล้วก็ไปพูดด้วยความไม่รู้
ท่านอาจารย์ กล่าวโทษ แต่ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ แต่ว่าถ้าผู้ใดก็ตามที่มีความเข้าใจถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิด เพ่งโทษคือสิ่งใดที่ผิดก็ให้เขาได้รู้ว่านั่นผิด ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย
อ. ธีรพันธ์ ขออีกคำเหมือนกับคำที่เป็นอุปัชฌายาจารย์ที่ว่าเป็นผู้ที่เพ่งโทษเพื่อให้สัทธิวิหาริกประพฤติถูกต้องใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นความเมตตากรุณาของอุปัชฌายะหรือเปล่า ที่มีหน้าที่ดูแลเอาใจใส่ผู้ที่สมัครตนเป็นศิษย์มอบตนให้ผู้ที่เป็นอุปัชฌายะว่ากล่าวติเตียน เพื่อความประพฤติที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องละเอียด ไม่ใช่เพียงได้ยินแล้วกลัวไม่กล้า เพ่งโทษคนอื่นได้อย่างไร โพนทะนาได้อย่างไร แต่ต้องเป็นผู้ที่เห็นถูก แล้วก็มีความหวังดี แม้แต่การที่จะกระจายข่าวให้รู้ไปทุกหนแห่ง ก็เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
อ. คำปั่น ก็มีข้อความที่ปรากฏในอรรถกถาว่า
ถึงแม้ว่าภิกษุเหล่านั้นบวชแล้วในศาสนาของเราตถาคต แต่เพราะไม่ปฏิบัติตามที่เราตถาคตสอน จึงเท่ากับไปแล้วจากพระธรรมวินัยนี้นั่นเอง คือภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า อยู่ไกลแสนไกลจากศาสนานี้
นี่คือชัดเจนว่า ยกตัวอย่างผู้ที่เป็นประธานของพุทธบริษัท คือภิกษุบริษัทเมื่อไม่อยู่ในพระธรรมวินัย ไม่ศึกษาไม่อบรมเจริญปัญญา ไม่ขัดเกลากิเลส ก็ชื่อว่า ออกไปจากพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้อยู่ไกลแสนไกลจากพระศาสนา คือจากพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงก็เป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคล ที่ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม เป็นผู้ไม่มีความละอาย ไม่มีความยำเกรงต่อพระรัตนตรัย ผู้นำก็บวชเข้าไปแล้ว ก็มีแต่สะสมโทษให้กับตนเอง เพิ่มพูนอกุศล ย่ำยีสิขาบท เมื่อความเป็นบรรพชิตถ้ารักษาไม่ดีอย่างนั้นแล้ว ก็มีแต่จะฉุดคร่าผู้นั้นให้ลไปสู่ที่ต่ำคืออบายภูมิเท่านั้น ท่านเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารอย่างยิ่ง กราบท่านอาจารย์ในความละเอียดของพระธรรม
ท่านอาจารย์ ก็ต้องทราบจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม แม้พระสูตร พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงแม้แต่ข้อความอย่างนี้ เพื่อให้พุทธบริษัทมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าพระธรรมทั้งหมดประโยชน์คือ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อละอกุศล เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่าพุทธบริษัทซึ่งมีพระภิกษุเป็นประธานก็กล่าวได้ เป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท ถ้าเขาบุคคลนั้นบวชแล้ว แล้วก็ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย หลอกลวงตั้งแต่บวชหรือเปล่า เพราะเหตุว่าการบวช บวชเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังธรรม ไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่าอยากจะตามว่าจะต้องทำอย่างไร เวลาที่มีบุคคลที่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วคือคฤหัสถ์จะทำอย่างไรแต่ทั้งหมดของพระธรรม และเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็มีความเมตตามีความหวังดี และก็ไม่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีความเข้าใจถูกต้องว่า ภิกษุหรือภิกขุในธรรมวินัยคือใคร ไม่ใช่เพียงเป็นผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน แต่ว่าเป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่มอบตนเป็นพระศาสดา ที่จะทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นถ้าบุคคลนั้นไม่ได้บวช ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง และบุคคลนั้นบวช บุคคลนั้นเป็นใคร หลอกลวงหรือเปล่า เพราะเหตุว่าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแม้ว่าบวช เพื่ออะไร ถ้าบวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมวินัยไม่ใช่ภิกษุแน่นอน หลอกลวงตั้งแต่บวช แล้วไม่ศึกษา และก็ยังไม่ประพฤติปฏิบัติตามด้วย
เพราะฉะนั้นจากเพศคฤหัสถ์ซึ่งสามารถที่จะฟังธรรมเข้าใจ อบรมเจริญปัญญา ละคลายกิเลส จนถึงความเป็นพระอริยบุคคลในเพศของคฤหัสถ์ได้ ต่อเมื่อไหร่บรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่สามารถที่จะเป็นเพศคฤหัสถ์ได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่ฟังธรรมก็เป็นผู้ตรงๆ ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะเหตุว่า เราไม่เข้าใจ ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยประกาศทั้งปวงให้เข้าใจแม้แต่ว่าหลอกลวง หลอกลวงเมื่อไหร่ ถ้าไม่รู้จักว่าบวชเพื่ออะไร แล้วบวช ก็ลวงแล้ว แล้วก็เมื่อบวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็หลอกลวงแล้ว เมื่ออ่านรู้ว่าพระธรรมวินัยมีอะไรบ้างแต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามก็หลอกลวง ก็หลอกลวงโดยตลอด เพราะฉะนั้นผู้นั้นไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย แล้วคฤหัสถ์จะทำอย่างไร หน้าที่ของคฤหัสถ์โดยไม่ได้เกี่ยวข้องที่จะไปว่ากล่าวตักเตือนพระภิกษุรูปหนึ่งรูปได้เลย แม้พระภิกษุณียังว่ากล่าวภิกษุไม่ได้ แล้วคฤหัสถ์จะไปว่ากล่าวภิกษุ เป็นไปไม่ได้เลย แต่คฤหัสถ์สามารถที่จะศึกษาธรรม เข้าใจความจริง แล้วก็ไม่เป็นอกุศล มีจิตที่เมตตาที่จะสงเคราะห์ หรือว่าช่วยกันในระหว่างพุทธบริษัทที่จะดำรงพระศาสนาให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของคฤหัสถ์ก็คือว่า จะศึกษาเพื่อทำให้รู้ว่าใครเป็นพระภิกษุในธรรมวินัย และใครไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยหรือเปล่า มิฉะนั้นเพียงเห็นผ้าเหลือง คนไทยก็บอกว่า ไหว้ผ้าเหลือง ผ้าเหลืองในร้านมีตั้งเยอะ ไหว้ผ้าเหลือง หรือว่าไหว้บุคคลผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม และก็เห็นภัยของสังสารวัฎที่รู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า สามารถที่จะเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิต ไม่ง่ายเลย ยากมาก และความต่างกันก็เหมือนเส้นไหมที่ละเอียด กับชีวิตของคฤหัสถ์ซึ่งเหมือนผ้าเนื้อหยาบ การดำรงชีวิตของพระภิกษุ บริสุทธิ์ตั้งแต่แม้แต่การที่จะมีชีวิตอยู่แต่ละวัน สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพชอบ โดยการที่ว่าอาศัยผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้ไปเอ่ยปากขอ เพราะเหตุว่าแล้วแต่บุคคลใดมีศรัทธา เขาก็เห็นประโยชน์ในการที่บุคคลนั้นสละอาคารบ้านเรือนเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ก็แล้วแต่ความคิดของคนในแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่ว่าถ้าสมัยใดที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็ไม่เข้าใจแม้แต่ว่าภิกษุคือใคร เพราะฉะนั้นเรื่องของพระวินัย ก็เป็นเรื่องที่คฤหัสถ์ควรที่จะได้ทราบตามควรแก่การที่จะอนุเคราะห์ต่อเพศบรรพชิต มิฉะนั้นแล้ว ก็เป็นการส่งเสริมให้กระทำสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับตนเองอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเป็นภัยอย่างมากสำหรับผู้ที่ปฏิญาณตนโดยการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย และไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
ผู้ฟัง เช้านี้ผมขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์ และคณะวิทยากรเกี่ยวกับพระวินัยจะเป็นการสมควรหรือไม่ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เป็นการสมควร เพราะว่าพุทธบริษัทก็ควรที่จะได้เข้าใจพระวินัย เพราะเหตุว่าถ้าพุทธบริษัทไม่เข้าใจพระวินัย พระศาสนาก็ไม่สามารถที่จะดำรงต่อไปได้ เพราะเหตุว่าที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบริษัททั้ง ๔ คือในอดีต ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาแต่ปัจจุบันก็มีแต่ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา
ผู้ฟัง ก็จะมีประเด็นคำถาม ๒ คำถาม คำถามแรกก็คือการประพฤติเป็นไปของพระภิกษุในสมัยนี้ซึ่งเหตุการณ์อันนี้ ได้มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเรียกร้อง และประชุมเรียกร้องในข้อสิ่งที่ท่านคิดว่าเหมาะสม แต่การออกมาประชุมเรียกร้องนั้นประกอบด้วยความเห็นผิด และความเห็นผิดของท่านดีก็ทำให้เกิดมีการโต้แย้ง และถึงการใช้กำลังต่อสู้กันกับเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย การกระทำเช่นนี้ถูกต้องตามพระวินัยอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่า พระภิกษุคือใคร มิฉะนั้นเราก็จะไม่รู้เลย คิดว่าผู้ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ที่เรียกว่าผ้าเหลืองเป็นพระภิกษุ แต่ภิกษุ คือผู้ที่มีศรัทธาที่จะอบรมเจริญปัญญา ในเพศบรรพชิต เพื่อละกิเลส เพื่อให้ถึงความสงบจากกิเลส นี่จึงจะเป็นพระภิกษุ และพระภิกษุแต่ละท่านนี้เมื่อบวชก็ต้องปฏิญาณตนว่า จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นภิกษุทั้งหมด มีพระวินัยเป็นที่สิกขาคือศึกษาคือประพฤติปฏิบัติตาม จะประพฤตินอกธรรมวินัยไม่ได้
ผู้ฟัง และการกระทำเช่นนี้ ก็เป็นการผิดกับพระวินัยบัญญัติใช่ไหม
ท่านอาจารย์ พระวินัยก็ยังมีเป็นที่รู้ว่ายังคงดำรงอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้ว่าผู้ใดเป็นพระภิกษุในเพศบรรพชิตที่อบรมเจริญปัญญา โดยการที่ต้องศึกษาธรรม และก็ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยด้วย ก็ยังมีข้อความที่สามารถจะศึกษาให้เข้าใจได้ว่า พระภิกษุนั้นต้องประพฤติอย่างไร มิฉะนั้นแล้วก็เป็นการขัดต่อพระธรรมวินัย
ผู้ฟัง ก็มาถึงประเด็นที่สองซึ่งว่าชาวบ้านหลายท่านซึ่งได้ได้ยินข้อเรียกร้องของกลุ่มพระภิกษุที่เสนอเกี่ยวกับเรื่อง จะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ชาวบ้านรายส่วนซึ่งไม่มีความเข้าใจ ก็คิดว่าเห็นดีไปกับสิ่งเหล่านั้น ผมอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ และคณะอาจารย์วิทยากรว่า สิ่งเหล่านี้คือว่าการที่จะให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น เป็นการเหมาะสมประการใด
ท่านอาจารย์ เป็นเพียงชื่อ หรือว่าเป็นการที่ทุกคนศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าทุกคนศึกษาเข้าใจพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติตาม ไม่จำเป็นต้องมีชื่อ เพราะเหตุว่าทุกคนใครก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยทั่วโลก เมื่อได้มีการศึกษาเข้าใจธรรม และประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็สามารถที่จะรู้แจ้งเรียนสัจธรรม แล้วเพื่ออะไร การเรียกร้องเพื่อให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ต้องคิดถึงว่าเพื่ออะไร เป็นความต้องการ เป็นโลภะ เป็นความติดข้อง หรือว่าเป็นการสละ การที่จะต้องยึดถือว่า นี่ของฉัน
