บำเพ็ญเหตุที่จะให้ถึง

 
เมตตา
วันที่  10 ส.ค. 2568
หมายเลข  50645
อ่าน  379

อ.ชุมพร: ได้ยินเรื่องของอยู่คนเดียวกับความคิดค่ะ การที่เราเหมือนจะพอฟังเรื่องนี้ก็สนใจที่จะหาว่า ความคิดนี่เป็นลักษณะอย่างไร ท่านอาจารย์ค่ะ การที่จะค่อยๆ คุ้นกับสภาพธรรมะแม้ความคิด จะเป็นลำดับอย่างไร ค่ะ

ท่านอาจารย์: ขณะใดก็ตามที่ไม่ใช่ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นอะไร?

อ.ชุมพร: เป็นความคิดค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วสงสัยอะไร?

อ.ชุมพร: คืออย่างนี้ค่ะ หมายความว่า เราต้องมีความชัดเจนในความแตกต่างระหว่าง เห็นกับคิด

ท่านอาจารย์: แน่นอน!! ต่างกันไหม? อย่าเพิ่งไปไหน ถ้าไม่พูดถึงเดี๋ยวนี้ไม่มีวันที่จะรู้ว่าต่างกัน ถ้ารู้ว่าต่างกันเดี๋ยวนี้ก็หมดปัญหาไม่มีข้อสงสัย

อ.ชุมพร: ฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการฟัง แล้วค่อยๆ ที่จะมั่นคงขึ้นตามลำดับทั้งๆ ที่เราก็ฟังแล้วเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่คิด ได้ยินก็ไม่ใช่คิด แต่เวลาสภาพธรรมะเกิดมันเหมือนปนกันแล้วก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้แต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงเช่นนั้นค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วปัญญาที่จะรู้อย่างนั้นมาจากไหน?

อ.ชุมพร: ก็ต้องมาจากการฟังเรื่องของสภาพธรรมะ

ท่านอาจารย์: แล้วฟังมาแล้วนานเท่าไหร่?

อ.ชุมพร: ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เตือนสติว่าเหมือนจะรีบ แสดงว่าก็ต้องฟังแล้วค่อยๆ มั่นคงในความเป็นธรรมะให้มั่นคงก่อนที่สภาพธรรมะปรากฏใช่ไหมค่ะ?

ท่านอาจารย์: ลองคิดดู สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มีคนฟังไหม?

อ.ชุมพร: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ฟังแล้วเข้าใจมีไหม?

อ.ชุมพร: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เข้าใจแล้วคิดต่างๆ กันมีไหม?

อ.ชุมพร: มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น บางคนคิดว่า ขอเป็นผู้เลิศในทางความจำ ขอเป็นผู้เลิศในทางกล่าวธรรมะ ขณะนั้นมีไหม? ขอเป็นผู้เลิศ อีกนานเท่าไหร่ ไม่ใช่ขอวันนี้ได้วันนี้ใช่ไหม?

อ.ชุมพร: กราบท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เขารู้ใช่ไหมว่า อีกนานเท่าไหร่กว่าจะเป็นอย่างนั้น ยิ่งจะต้องเป็นผู้เลิศยิ่งจะต้องนานต่อไปอีกใช่ไหม? เขาไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นผู้เลิศในวันสองวันนี้เลย แต่ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่

ผู้ที่ไม่ขอเป็นผู้เลิศมีเยอะ ผู้ที่ขอเป็นผู้เลิศก็ตามอัธยาศัย แสนนานจึงได้กล่าวอย่างนี้ได้ใช่ไหม? ไม่ใช่ขอเป็นผู้เลิศแล้วเป็นเลยชาตินี้ ชาติหน้า เป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น ไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรมะ จึงคิดว่าจะถึงธรรมะได้อย่างไร ทำไมลืม ทำไมไม่คิดบ่อยๆ ทำไมไม่เข้าใจให้ชัดเจน ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดที่ไม่เข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมะ

เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะแล้ว ไม่มีการที่จะหวังอะไรเลยว่า จะเป็นวันนี้ เดือนหน้า หรือกี่ชาติ แต่ว่าจะต้องมีเหตุให้สมควรที่จะให้เป็นไปได้ พอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น ชาตินี้เป็นชาติที่เห็นได้ชัดว่า วันนี้เข้าใจอะไรบ้างตามที่ได้ฟัง ต้องเป็นคนที่ตรง แล้วกว่าจะหมดความไม่รู้ทั้งหมด ถึงจะสามารถค่อยๆ มีปัญญาตามลำดับทีละเล็กทีละน้อย นี่คือผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรมในครั้งอดีต ท่านเหล่านั้นท่านหวังถึงปานนั้นอีกนานเท่าไหร่ แต่ท่านก็บำเพ็ญเหตุที่จะให้ถึง

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ เมื่อไหร่จะถึง ฟังแค่นี้แล้วจะถึง ลองคิดดูวันนี้เดี๋ยวนี้เข้าใจอะไร?

เพราะฉะนั้น สะสมความเข้าใจในความลึกซึ้งที่ได้ฟังเป็นบารมี พร้อมกับกุศลทั้งหลายที่เริ่มเห็นโทษของความที่เป็นอกุศลมานานแสนนาน เพียงแค่กุศลสักครั้งก็ยังดีกว่า มิเช่นนั้นก็เพิ่มอกุศลไปเรื่อยๆ

นี่เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาไตร่ตรองในความเป็นจริง.. เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีซึ่งเป็นธรรมะตลอดไม่ได้ขาดไปเลย แต่ไม่เข้าใจ จึงต้องมีผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ทรงแสดงให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ง่ายว่า ไม่ใช่ฟังแล้วพระองค์ตรัสรู้แล้วแสดงธรรมะแล้ว รีบไปทำ จะได้รู้ความจริง นั่นไม่ใช่คำของผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานเท่าไหร่ บำเพ็ญมาเพื่อจะให้คนอื่นไปนั่งปฏิบัติแล้วก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรม จะเป็นไปได้หรือ?

อ.ชุมพร: กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ได้เตือนได้ย้ำให้ค่อยๆ เห็นฐานะของตัวเอง แล้วก็ความที่ยังไม่ได้มั่นคงในความลึกซึ้งของสภาพธรรมะ เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์กล่าวถึงผู้ที่บำเพ็ญบารมีในอดีต เพราะท่านค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ค่อยๆ พิจารณาสภาพธรรมะที่ปรากฏ แสดงว่า ความไม่รู้ในเรื่อง ความต้องการก็ยังมีอีกเยอะ จนกว่าการฟังจะค่อยๆ ดับความต้องการเช่นนั้น

ท่านอาจารย์: ขอโทษนะ คำว่า ยังมีอีกเยอะ นี่น้อยมากถูกต้องไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะ

ท่านอาจารย์: มหาศาลกว่ายังมีอีกเยอะแค่ไหน? เพราะฉะนั้น แต่ละคำ กว่าจะไปละลายความเหนียวแน่นหนาแน่นของอกุศลที่สะสมมา นามธรรมยิ่งกว่ารูปธรรมที่ตกในถังยางมะตอย และแค่นี้จะรีบไปไหน? นอกจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งค่อยๆ มั่นคงขึ้นจึงละ

เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางละเมื่อเข้าใจ ไม่ใช่จะไปละด้วยวิธีอื่นเลย และเข้าใจอะไร? เข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ธรรมะเป็นอย่างผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วแสดง เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเพื่อที่จะรู้ความจริงให้ค่อยๆ เข้าใจ นั่นคือค่อยๆ ละความไม่รู้

เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มหาศาลแค่ไหน คิดดู!! แล้วจะรีบไปไหน? จะรีบไปเอาออกให้หมด ไปนั่งทำอะไรอย่างนั้นหรือ?

นอกจากทุกคำที่เข้าใจต่างหากหนทางเดียว คือสิ่งที่จะค่อยๆ ถึงสิ่งที่กำลังเป็น สิ่งที่เหนียวแน่นมากสะสมมามากทั้งความไม่รู้ และความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะค่อยๆ ถึงค่อยๆ ละลายทีละน้อย แล้วคิดดูว่าเมื่อไหร่จะหมด? เพราะสิ่งที่สะสมมามากมายมหาศาลยิ่งกว่าจักรวาลทั้งหลายรวมกัน เพราะเดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ตามที่ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แสดงไว้ และทรงแสดงหนทางด้วย ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยนี่แหละจะค่อยๆ หมดความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย มิเช่นนั้นแล้วจะเอาอะไรมาละความไม่รู้ ถูกต้องไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ชี้ให้เห็นความไม่รู้ซึ่งเข้าใจยาก แล้วท่านอาจารย์ก็เกื้อกูลว่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากจะค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

ท่านอาจารย์: มั่นคงขึ้นไหม?

อ.ชุมพร: ค่อยๆ มั่นคงขึ้นค่ะ

ท่านอาจารย์: นั่น สัจจบารมี อธิษฐานบารมี ขันติบารมี ไม่มีเลยแล้วจะไปรู้อะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งกำลังเป็นอย่างนั้นทุกคำ

อ.ชุมพร: ท่านอาจารย์กล่าวถึง สัจจบารมี ความจริง แสดงว่าเราก็ยังไม่ได้มั่นคงในความจริงในการดำเนินไปของความเข้าใจอย่างนั้นใช่ไหมค่ะ?

ท่านอาจารย์: ความจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร?

อ.ชุมพร: ความจริงเดี๋ยวนี้ก็เป็นสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: เกิดหรือเปล่า?

อ.ชุมพร: เกิดแล้วค่ะ

ท่านอาจารย์: ดับหรือเปล่า?

อ.ชุมพร: ดับแล้วค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่มีปัจจัยเกิดได้ไหม?

อ.ชุมพร: ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: มีปัจจับทำให้เกิดแล้วดับ ใช่ไหม?

อ.ชุมพร: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้จะไม่เป็นอย่างที่กล่าวได้ไหม?

อ.ชุมพร: ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: นั่นคือสัจจบารมี และก็เป็นอธิษฐานบารมี มั่นคง ใครจะชักชวนไปให้ไม่ฟังธรรมะ ให้ไม่เข้าใจธรรมะ ให้ไปทำโน่นทำนี่ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อ.ชุมพร: กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ค่อยๆ ตอกย้ำให้ค่อยๆ มั่นคงขึ้นในหนทางที่จะค่อยๆ มั่นคงในหนทางที่จะเข้าใจความจริง ไม่มีหนทางอื่นนอกจากหนทางนี้เท่านั้นค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่อย่างนั้น จะละความไม่รู้เดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยได้ไหม?

อ.ชุมพร: ไม่ได้แน่นอนค่ะ

ท่านอาจารย์: มีแต่เพิ่ม ใช่ไหม?

อ.ชุมพร: มีแต่เพิ่ม

ท่านอาจารย์: มีแต่เพิ่ม นั่นแหละ!! รู้ไว้รู้ไว้ว่า หนทางนี้ลึกซึ้งระดับไหน? แค่ไหน? เกินกว่าที่จะหวังใดๆ ทั้งสิ้น จึงละความหวัง

อ.ชุมพร: แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจความหวัง ขณะที่ความหวังเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ทุกขณะก็ต้องเป็นเรื่องของความไม่มั่นคงยังไม่ได้มีความเข้าใจที่ความมั่นคง ก็คงจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยให้มั่นคงขึ้นค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เข้าใจคำว่า บารมี หรือยัง?

อ.ชุมพร: ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะมีบารมีแต่ที่ไหน?

อ.ชุมพร: ไม่มีความเข้าใจไม่มีบารมี เป็นเช่นนั้นค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่มีบารมีที่สะสมจนกระทั่งเต็มเปี่ยมที่จะสามารถประจักษ์แจ้งความจริง จะไปทำอะไรให้รู้ความจริงได้หรือ?

อ.ชุมพร: ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ต้องมั่นคงในหนทาง

ท่านอาจารย์: นี่ อธิษฐานบารมี แล้วจะมีวิริยะไหมที่จะฟังต่อไปให้เข้าใจขึ้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้เข้าใจขึ้น

อ.ชุมพร: กราบท่านอาจารย์ที่ค่อยๆ ชี้ให้เห็นถึงความพร่อง และก็สะสมเพิ่มเติมโดยที่ไม่รู้ตัว ฉะนั้น ก็เป็นหนทางเดียวไม่มีหนทางอื่นที่จะค่อยๆ มั่นคงในคุณความดีโดยมีความรู้ความเข้าใจมั่นคงขึ้นค่ะ

ท่านอาจารย์: สบายใจขึ้นไหม?

อ.ชุมพร: เป็นเรื่องที่แต่ละขณะที่ได้สนทนากับท่านอาจารย์ ก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ สยบความต้องการความรีบค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าฟังธรรมะแล้วเดือดร้อนใจ เข้าใจธรรมะหรือเปล่า?

อ.ชุมพร: ไม่เข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: ก็ต้องมั่นคง

อ.ชุมพร: กราบขอบพระคุณที่ให้ความมั่นคงทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ชุมพร ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 12 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตา ยินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เฉลิมพร
วันที่ 13 ส.ค. 2568

ข้อความเมตตา บทความข้างต้น ถ้าต้องการฟังค้นได้จากไหนครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ