เพียงคำเดียวไตร่ตรองจนเข้าใจ

 
เมตตา
วันที่  10 ส.ค. 2568
หมายเลข  50644
อ่าน  368

[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 5 ภาค 1 - หน้า 602

สมจริงดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

ชีวิต อัตภาพ สุขและทุกข์ทั้งมวล เป็นธรรม ประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว. ขณะย่อมเป็นไปพลัน. เทวดาเหล่าใดย่อมตั้งอยู่ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัป แม้เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่เป็นผู้ประกอบด้วยจิตสองดวงเป็นอยู่เลย.


อ.คำปั่น: ก็เป็นข้อความที่ อ.กุลวิไล ได้กล่าวได้เรียนสนทนากับท่านอาจารย์เมื่อสักครู่ครับ กระผมขออนุญาติอ่านให้เต็มประโยคนี้ครับ เพราะว่ามีข้อความที่มีข้อสรุปไว้ในช่วงท้ายของพระคาถานี้ด้วยครับว่า ชีวิต และอัตตภาพ สุข และทุกข์ทั้งสิ้นล้วนเป็นธรรมะ ประกอบอยู่ร่วมกับจิตดวงหนึ่งๆ ขณะผ่านไปรวดเร็ว เทวดาเหล่าใดตั้งอยู่ตลอด ๘๔,๐๐๐ กัปป์ แม้เทวดาเหล่านั้นหาดำรงอยู่ด้วยจิต ๒ ดวงไม่

นี่คือข้อความแสดงให้เห็นว่า ไม่พ้นจากความเป็นไปของจิต แต่ละขณะๆ ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียดว่า แน่นอนว่า มีจิตแต่ละขณะที่เกิด จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วก็ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นครับ จิตจะไม่สามารถเกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะได้ครับ แต่ในขณะนี้ก็ดูเหมือนว่า ติดกันเป็นพืชเลย ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียดตรงนี้ด้วยครับ

ท่านอาจารย์: ติดกันเป็นพืช หมายความว่าอะไร?

อ.คำปั่น: เหมือนกับว่า เห็นก็เหมือนกับเห็นอยู่ตลอดอย่างนี้ครับ

ท่านอาจารย์: ไม่มีได้ยินเลย?

อ.คำปั่น: มีครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม เราจะคิดอะไรตามตัวหนังสือ หรือเพียงคำเดียวเราไตร่ตรองจนเข้าใจ ไม่ว่าคำอะไร จะพูดอย่างไร ที่ไหน ความเข้าใจนี้ต้องเปลี่ยนไม่ได้

อ.คำปั่น: ครับ ความเข้าใจเปลี่ยนไม่ได้

ท่านอาจารย์: เมื่อเข้าใจถูก สิ่งนั้นถูกต้องจะเปลี่ยนให้เป็นผิดเป็นอย่างอื่นได้ไหม? ฟังธรรมะไม่ใช่ไปฟัง ทีละคำๆ ๆ แล้วเอาไปคิด แต่ฟังแล้วเข้าใจความจริง ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยยะใดทั้งสิ้น ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องไม่เปลี่ยนความเป็นจริงนั้นได้ นั่นคือ เริ่มรู้จักธรรมะ

เมื่อเป็นอนัตตา กล่าวโดยนัยยะใดๆ ก็อนัตตาทั้งนั้น จะเปลี่ยนจากอนัตตาเป็นอย่างอื่นตามคำอื่นที่กล่าวได้หรือ? ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็เป็นอนัตตา

อ.คำปั่น: ครับ ชัดเจนมากๆ เลยครับ ได้ฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรองในความเป็นจริงครับ แม้แต่ข้อความที่ท่านอาจารย์ให้อาจารย์กุลวิไลได้อ่านซ้ำในขณะที่เป็นปัจจุบัน ในขณะที่จิตกำลังดำรงอยู่ก็ไม่ใช่ขณะที่ล่วงไปแล้ว และก็ไม่ใช่ขณะที่ยังไม่เกิดขึ้น อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ คือแต่ละข้อความก็ประกอบกันประมวลเป็นความเข้าใจ ปลูกฝังความมั่นคงในความเป็นธรรมะจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ถึงแม้ว่าจะกล่าวโดยนัยยะอื่น ก็เปลี่ยนไม่ได้

เพราะฉะนั้น จึงสามารถเข้าใจข้อความไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็หมายถึงความเป็นจริงของธรรมะนั้นๆ

อ.คำปั่น: ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวถึงความเป็นไปของชีวิตความเป็นไปของความเป็นบุคคลนี้ หรือว่าความเป็นไปของสุข หรือว่าความเป็นไปของทุกข์นี่ ก็ไม่พ้นจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิต แต่ละขณะๆ จริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลยในสังสารวัฏฏ์

อ.คำปั่น: ข้อความนี้ครับ ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว จะไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ครับ ฟังไม่รู้กี่ครั้งแล้ว คือไตร่ตรองก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ แต่ว่า พอสักพักหนึ่งก็ลืมในความเป็นธรรมะครับ

ท่านอาจารย์: แล้วชาติแสนโกฏกัปป์ได้ฟังอะไรมาบ้าง? ทุกเรื่องเกิดจาก รูป เสียง กลิ่น รส เรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด แล้วจะไม่ให้คิดถึงอย่างนั้นหรือ ตั้งเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ และเพิ่งจะได้ฟังอย่างนี้ จะให้มั่นคงอย่างนั้นหรือ ไม่ให้ลืมเลยหรือ? ให้คิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้เลยหรือ ต้องตรงตามความเป็นจริง

อ.คำปั่น: ครับ เกื้อกูลอย่างยิ่งเลยครับ ก็เพราะว่าได้ฟังเรื่องอื่นมาเยอะ สะสมความไม่รู้มามากครับ เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงเรื่องอื่น แต่ว่าขณะนี้ก็ได้ยินได้ฟังคำจริงที่จะค่อยๆ กล่อมเกลา ค่อยๆ ปลูกฝังให้น้อมไปในความเป็นไปของธรรมะในความเป็นจริงของธรรมะครับ

ก็เห็นประโยชน์ของการได้ยินได้ฟังพระธรรม เห็นประโยชน์ของการได้สะสมความเข้าใจจากการได้ศึกษา คำจริง แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วครับท่านอาจารย์

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

ชีวิตเป็นของน้อย [ชราสุตตนิทเทสที่ 6]

ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..

คำที่ให้คิดไตร่ตรอง

ต้องเป็นปัญญาของตนเอง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ