ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นคิดนึก บัญญัติก็มีไม่ได้เลย

ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม มีใครรู้บ้างว่า มีแต่ปรมัตถธรรมที่เป็นสภาวธรรมจริงๆ ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม มีสัตว์ มีบุคคล มีหญิง มีชาย มีวัตถุ มีสิ่งต่างๆ นั่นคือมีบัญญัติ มีความคิดนึกเรื่องของสิ่งที่ปรากฏต่างๆ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว จึงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว บัญญัติคือในขณะที่จิตคิดเรื่องราว หรือรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ และยึดถือว่าเป็นตัวตน หรือเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เช่นเห็นคน เป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นบัญญัติ
พระ เป็นบัญญัติ เพราะว่าแต่งตั้งให้ว่านี่คือคน
ท่านอาจารย์ จำได้ว่าเป็นรูปร่างสัณฐานสีอย่างนี้เป็นคน
พระ อาจจะเรียกว่า นายแดง นายดำ ก็ได้ ใช่ไหม ในอภิธัมมัตถสังคหะ ท่านกล่าวว่า บัญญัติก็อุปมาเหมือนเงาของปรมัตถธรรม โยมอาจารย์ช่วยขยายหน่อย
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าไม่มีบัญญัติจริงๆ ต่างหาก นอกจากว่าปรมัตถธรรมเกิดแล้วก็ดับไป แต่ว่าเมื่อปัญญาไม่สามารถจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ ก็ยึดถือรูปร่างสัณฐานที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ยึดมั่นว่าสิ่งนั้นมีจริง แต่จริงๆ แล้ว ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นคิดนึก บัญญัติก็มีไม่ได้เลย
พระ นั่นคือความคิดนึกของจิตเป็นเงา
ท่านอาจารย์ ใช้เป็นคำอุปมาให้เข้าใจเท่านั้นเองว่า ไม่ใช่หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เมื่อไม่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ก็หลงยึดถือปรมัตถธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน
เพราะฉะนั้นกว่าที่จะสามารถแยกปรมัตถธรรมออก เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่รวมกัน ก็ยากที่จะต้องค่อยๆ ฟังและค่อยๆ อบรมเจริญไปเรื่อยๆ
การฟังพระธรรมหรือการศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด และไม่เพียงเข้าใจแต่พยัญชนะเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจถึงอรรถด้วย


