ใจที่เสวยอารมณ์ที่เป็นโคจร ๕

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 5 ภาค 2 - หน้า 66 - 67
๒. อุณณาภพราหมณสูตร
อินทรีย์ ๕ มีอารมณ์ต่างกัน
[๙๖๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น อุณณาภพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
[๙๖๗] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน อินทรีย์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวของอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ซึ่งมีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน และอะไรย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้.
[๙๖๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน อินทรีย์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ ใจเป็นที่ยึดเหนี่ยวของอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ซึ่งมีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน และใจย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้.
[๙๖๙] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจเล่า.
พ. ดูก่อนพราหมณ์ สติเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจ.
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 5 ภาค 2 - หน้า 68
อรรถกถาอุณณาภพราหมณสูตร
อุณณาภพราหมณสูตรที่ ๒.
คำว่า โคจรวิสยํ ได้แก่ อารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไป (ของจิต) .
คำว่า ของกันและกัน คือ อินทรีย์อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เสวยอารมณ์อีกอย่างหนึ่ง เช่น ตาจะเสวยอารมณ์แทนหูไม่ได้ หรือหูจะเสวยอารมณ์แทนตา (ก็ไม่ได้) .
จริงอยู่ หากจะเอาอารมณ์ คือ รูปที่แตกต่างกันด้วยสีเขียวเป็นต้น มารวมกันแล้วก็ป้อนเข้าไปให้โสตินทรีย์ว่า เอาสิ แกลองชี้แจงมันมาให้แจ่มแจ้งทีว่า นี่มันชื่ออารมณ์อะไรกัน? จักษุวิญญาณ แม้จะยกเอาปากออกแล้ว ก็จะต้องพูดโดยธรรมดาของตนอย่างนี้ว่า เฮ้ย! ไอ้บอดโง่ ต่อให้แกวิ่งวุ่นตั้งร้อยปี พันปีก็ตาม นอกจากข้าแล้ว แกจะได้ผู้รู้อารมณ์นี้ที่ไหน แกลองนำเอามันมาป้อนเข้าไปที่จักษุประสาทสิ ข้าจะรู้จักอารมณ์ ไม่ว่ามันเป็นสีเขียวหรือสีแดง เพราะนี่มันมิใช่วิสัยของผู้อื่น แต่มันเป็นวิสัยของข้าเองเท่านั้น.
แม้ในทวารที่เหลือก็ทำนองนี้แหละ อินทรีย์เหล่านี้ ชื่อว่าไม่เสวยอารมณ์ของกันและกันดังที่ว่ามานี้.
คำว่า กิํ ปฏิสรณํ คือ ท่านถามว่า อะไรเป็นที่พึ่งอาศัยของอินทรีย์เหล่านี้ คืออินทรีย์เหล่านี้พึ่งอะไร.
คำว่า มโน ปฏิสรณํ คือ ใจที่เป็นชวนะ (แล่นไปเสพอารมณ์) เป็นที่พึ่งอาศัย.
คำว่า มโน จ เนสํ ความว่า ใจนั่นแล ที่แล่นไปตามมโนทวารนั่นแหละ ย่อมเสวยอารมณ์ของอินทรีย์เหล่านั้น ด้วยอำนาจความรักเป็นต้น.
จริงอยู่ จักษุวิญญาณ เห็นแต่รูปเท่านั้นเอง ความรักความโกรธหรือความหลงในความรู้แจ้งทางตานี้ หามีอยู่ไม่ แต่ชวนะในทวารหนึ่ง ย่อมรัก โกรธ หรือหลง.
แม้ในโสตวิญญาณเป็นต้น ก็นัยนี้แหละ.
ในเรื่องนั้นมีข้อเปรียบเทียบดังนี้.
อ.วิชัย: ขออนุญาตกล่าวเพิ่มเติมในอรรถกถาครับ ท่านแสดงไว้ว่า อะไรเป็นที่พึ่งอาศัยไปของอินทรีย์เหล่านั้น คือ
อินทรีย์เหล่านั้น เหล่านี้พึ่งอะไร? นี่คือคำว่า กิํ ปฏิสรณํ ครับ
ส่วนคำว่า มโน ปฏิสรณํ คือใจที่เป็นชวนะ เป็นที่พึ่งอาศัย
คำว่า มโน จ เนสํ ความว่า ใจนั่นแลที่แล่นไปตามมโนทวารนั้นแหละ ย่อมเสวยอารมณ์ของอินทรีย์เหล่านั้นด้วยอำนาจความรัก เป็นต้น
ท่านอาจารย์: ก็ชัดเจนใช่ไหม? เราเรียนทวาร ๕ แล้วก็ มโนทวาร
อ.วิชัย: จริงครับ และก็เพิ่มเติมข้อความครับท่านอาจารย์ว่า จริงอยู่ จักษุวิญญาณ เห็นแต่รูปเท่านั้นเอง ความรักความโกรธหรือความหลงในความรู้แจ้งทางตานี้ หามีอยู่ไม่ แต่ชวนะในทวารหนึ่ง ย่อมรัก โกรธ หรือหลง แม้ในโสตวิญญาณเป็นต้น ก็นัยนี้แหละ.
ท่านอาจารย์ครับ ก็แสดงถึงความต่างกันของใจ และก็มี จิตเห็น ก็รู้โคจรเฉพาะ จะรู้อย่างอื่นไม่ได้เลย คือรู้แค่สี สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าแม้จักขุวิญญาญเกิดก็ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ แต่ว่า ขณะที่ใจที่เสวยอารมณ์ที่เป็นโคจร ๕ เหล่านั้น ก็มีจิตที่เกิดขึ้น รัก โกรธ หรือหลงบ้าง นี่ก็คือการแสดงความต่างกันของขณะเห็น กับจิตหลังเห็นหรือเปล่าครับที่จะแสดงความที่อกุศลจะเกิดเมื่อไหร่ อย่างไร ครับ
ท่านอาจารย์: อย่างที่เราได้เรียนทั้งหมดใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ ก็เป็นไปตามขณะ หรือวาระของจิตแต่ละขณะ หรือวาระว่ามีจิตใดเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่บ้าง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



