สภาพรู้แจ้งในอารมณ์ในแต่ละอินทรีย์ ก็คือจิต

ข้อความจากบ้านธัมมะ กระทู้หมายเลข 44597
ในรูป ๒๘ รูปที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รวม ๗ รูป ชื่อว่า โคจรรูป หรือ วิสยรูป หมายความว่า รูปที่เป็นอารมณ์ที่รู้ได้ แม้ใจก็รู้สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ต่อจากทางตา หู จมูก ลิ้น กายนั่นเอง เพราะฉะนั้น โคจรรูป หรือวิสยรูป ๗ นี้ จึงเป็นรูปซึ่งเป็นอารมณ์ของอินทรีย์ทั้งหลาย
คำว่า อินทรีย์ ในที่นี้หมายความถึง จักขุนทรีย์ คือ ตา โสตินทรีย์ คือ หู ฆานินทรีย์ คือ จมูก ชิวหินทรีย์ คือ ลิ้น กายินทรีย์ คือ กาย มนินทรีย์ คือ ใจ ทั้ง ๗ รูป สามารถเป็นอารมณ์ของอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้
ทางตาที่เห็นสี จิตเกิดขึ้นรู้สีทางตาดับแล้ว จิตเกิดขึ้นทางใจรับรู้สีต่อจากทางตา แล้วก็รู้ความหมายว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร การรู้ความหมายของสิ่งที่เห็นนั้น เป็นทางใจ
เวลาที่เสียงกระทบหู มีการได้ยินเกิดขึ้น จิตรู้เสียงทางหูดับไปหมดแล้ว จิตเกิดขึ้นต่อทางใจ รู้เสียงนั้นต่อจากทางหู แล้วรู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมีความหมายว่าอะไร การที่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินมีความหมายว่าอะไรนั้น เป็นการรู้ทางใจ
เพราะฉะนั้น ทางใจก็รู้สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ต่อจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 5 ภาค 2 - หน้า 66 - 67
๒. อุณณาภพราหมณสูตร
อินทรีย์ ๕ มีอารมณ์ต่างกัน
[๙๖๖] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น อุณณาภพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
[๙๖๗] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน อินทรีย์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวของอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ซึ่งมีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน และอะไรย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้.
[๙๖๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน อินทรีย์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ ใจเป็นที่ยึดเหนี่ยวของอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ซึ่งมีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน และใจย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้.
อ.คำปั่น: ละเอียดมากครับ วันนี้ก็เพิ่มพูนมั่นคงในความเข้าใจในเรื่องของ อารัมมณะ แล้วก็โคจระ ครับ แล้วก็ข้อความใน อุณณาภพราหมณสูตร ก็ยิ่งเห็นเลยครับว่า ยิ่งจะเกื้อกูลให้เข้าใจความเป็นอารัมมณะ และอารมณ์ที่เจาะจงเฉพาะ ในแต่ละทางๆ ซึ่งข้อความก็ชัดเจนครับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง แต่ละอินทรีย์ๆ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และพระองค์ก็ยังทรงแสดงถึงสภาพที่สำคัญ ก็คือสภาพรู้ ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่ที่จะสามารถรู้อารมณ์ ในแต่ละทางๆ ของ ๕ ทางนั้น ก็คือสภาพที่เป็นจิต หรือว่าใจ
ซึ่งข้อความที่เมื่อกล่าวถึงว่า และใจย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ตรงนี้ครับผมก็ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ก็สอดคล้องกับที่เรียนมาว่า โคจรรูป คือรูปที่เป็นที่ท่องเที่ยวไปแห่งจิตเป็นประจำ ก็คือสี เสียง กลิ่น รส และก็สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ๓ ครับ ก็คือธาตุดิน ธาตุไฟ และธาตุลมครับ รูปทั้งหมดที่เป็นที่ท่องเที่ยวไปแห่งจิตเป็นประจำเลย ก็คือรูปที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็คือ ๗ รูปครับ ซึ่งก็ตรงกับข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงใน อุณณาภพราหมณสูตร นี้ครับว่า แ ต่ละอินทรีย์ ก็คือมีอารมณ์เฉพาะ ของตนๆ โดยสภาพที่เป็นสภาพรู้แจ้งในอารมณ์ในแต่ละอินทรีย์ ก็คือจิต ครับท่านอาจารย์
ซึ่งก็เกื้อกูลมากครับ ถ้าไม่ได้สนทนาก็ไม่เข้าใจครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
อินทรีย์ 5 ต้องรู้เฉพาะอารมณ์ของตนโคจระของตน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


