พึงเห็นกำลังของสติในสติปัฏฐาน

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 426
คำว่า มีวนรอบ ๓ คือ วน ๓ รอบ ด้วยอำนาจวนรอบ ๓ กล่าว คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ก็ในวนรอบ ๓ นี้ ญาณตามความเป็นจริงในสัจจะ ๔ อย่างนี้ คือ นี้ทุกขอริยสัจจะ นี้ทุกขสมุทัย ชื่อว่า สัจจญาณ ญาณที่เป็นเครื่องรู้กิจที่ควรทำอย่างนี้ว่า ควรกำหนดรู้ ควรละในสัจจะเหล่านั้นเที่ยว ชื่อว่า กิจจญาณ ญาณเป็นเครื่องรู้ภาวะแห่งกิจนั้นที่ทำแล้วอย่างนี้ว่า กำหนดรู้แล้ว ละได้แล้ว ดังนี้ ชื่อว่า กตญาณ.
คำว่ามีอาการ ๑๒ ความว่ามีอาการ ๑๒ ด้วยอำนาจอาการสัจจะละ ๓ นั้น คำว่า ญาณทัสสนะ คือ การเห็น กล่าวคือญาณที่เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจวนรอบ ๓ อย่าง อาการ ๑๒ อย่างเหล่านี้. ตามหลักฐานนี้ควรจะเป็นปัญญาระดับสูง
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ ในรอบที่ ๒ ที่เป็นกิจจญาณ คือปัญญาทำกิจรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏตามปัจจัย แล้วก็ดับไป คือทุกขสัจจะ หรือตัวเหตุ คือโลภะ ก็ยังปรากฏให้รู้ในชีวิตประจำวัน
แต่พระนิพพาน ถ้าเป็นปัญญาในรอบที่ ๒ ก็คือกิจจญาณ ก็ยังห่างไกล ปัญญาก็ไม่สามารถรู้ลักษณะของนิพพานได้ถ้าเป็นปัญญาในขั้นกิจจญาณ ก็จะขอกราบเท้าถามท่านอาจารย์เพื่อประโยชน์ในกาลข้างหน้าต่อๆ ไปว่า กิจจญาณในนิโรธสัจจะเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ปัญญาที่ทำกิจรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมนั้น ยังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของนิพพานได้ เพราะเป็นขั้นปฏิปัตติ แล้วจะเป็นกิจจญาณในนิโรธสัจจะคืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะถึงการดับความไม่รู้ในสิ่งนั้น และยึดถือสิ่งนั้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด?
อ.อรรณพ: ยากครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า นิพพาน นิ = ไม่มี ไม่มีอะไร ไม่มีความติดข้องในความเห็นผิดใดๆ ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนเดิม ความแจ่มแจ้งชัดเจนของแต่ละหนึ่งที่ไม่ใช่เรา จะยังคงเหลือความเป็นเราในสิ่งนั้นไม่ได้
อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น ในขณะที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งไม่ใช่นิพพานแน่นอนในขั้นกิจจญาณ หรือปฏิปัตตินี่ ปัญญาในขั้นนี่กิจจญาณในรอบที่ ๒ ท่านอาจารย์หมายความว่า ก็มีความมั่นคงขึ้นในการที่จะรู้สิ่งที่ไม่ใช่นิพพาน
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่เพียงฟัง
อ.อรรณพ: ครับ ก็เป็นไปที่จะเป็นความรู้ในพระนิพพานที่เพิ่มขึ้นกว่าสัจจญาณอย่างไร?
ท่านอาจารย์: เริ่มหายความสงสัยลักษณะของสติ เพราะขณะนั้นสติเกิดให้รู้ว่า เป็นสติที่กำลังระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏ ถ้าสติไม่เกิด ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะนั้นได้เลย
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ก็ชัดเจนกระชับมากเลย เพราะว่าในขณะที่เป็นขั้นสัจจญาณ แม้จะมีปัญญา และโดยเฉพาะแม้จะมีสติ แต่ลักษณะของสติก็ไม่ได้ปรากฏ จนกระทั่งขั้นกิจจญาณ ซึ่งสตินั้นเป็นสติปัฏฐานะ จึงปรากฏลักษณะสติที่ระลึกตรงลักษณะสภาพธรรม ซึ่งสตินั้นก็ไม่ใช่เราก็ปรากฏลักษณะของสติ ก็เป็นไปที่จะรู้ความจริงนะครับ แล้วก็รู้ลักษณะของสติ ก็เป็นการที่น้อมระลึกถึงสภาพธรรมที่ยังไม่ปรากฏได้ชัดเจนเพิ่มขึ้นจากขั้นกิจจญาณใช่ไหมครับ กราบท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: ขั้นฟัง ไม่สงสัยเลยใช่ไหม สติ ไม่ใช่จิต?
อ.อรรณพ: ไม่สงสัยครับ เพราะว่าฟังเข้าใจ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เป็นกุศล เป็นลักษณะของสภาพอย่างหนึ่งที่ระลึกเป็นไปในกุศลนั้น ในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ในการช่วยเหลือบุคคลอื่น สงเคราะห์คนอื่น เป็นต้น แต่ลักษณะของ สติ ที่ไม่ใช่เรายังไม่ปรากฏ
อ.อรรณพ: สมกับข้อความว่า พึงเห็นกำลังของสติในสติปัฏฐาน นั่นอง นี่คือความต่างจริงๆ ของรอบที่ ๒ รอบที่ ๑ เป็นประโยชน์มหาศาลครับท่านอาจารย์ รอบที่ ๓ ยังไม่กราบเรียนถามนะครับ แค่นี้ก็พอที่จะเข้าใจครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..
สัจจญาณ ปัญญาที่รู้ความจริงอย่างมั่นคง
สติระลึกละเอียดขึ้น เร็วขึ้น ตามกำลังของปัญญา
การเจริญสติปัฏฐานขั้นต้นเพื่อละทิฏฐาสวะก่อน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ

