มีเราไหม?

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 308 - 309
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิคคหะอริฏฐภิกษุผู้เดียว ด้วยโอวาทแม้นี้ ด้วยประการฉะนี้ บัดนี้เมื่อทรงแสดงว่า ผู้ใดยึดว่าเรา ของเรา ด้วยอํานาจการยึดถือสามอย่างในขันธ์ ๕ ผู้นั้นชื่อว่าใส่โคลนหรือหยากเยื่อ ลงในศาสนาของเราเหมือนอริฏฐภิกษุนี้ จึงตรัสว่า ฉยิมานิ ภิกฺขเว เป็นต้น. บรรดาบทหล่านั้น บทว่า ทิฏฺิฏฺานานิ ความว่า แม้ทิฏฐิ ก็ชื่อว่า ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ ทั้งอารมณ์ของทิฏฐิ ทั้งปัจจัยของทิฏฐิ ก็ชื่อว่า ที่ตั้งของทิฏฐิ ในบทว่า รูปํ เอตํ มม เป็นต้น การถือว่านั่นของเรา เป็นตัณหาคาหะ การถือว่าเราเป็นนั่น เป็นมานคาหะ การถือว่านั่นเป็นตัวของเรา เป็นทิฏฐิคาหะ เป็นอันตรัส ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์ด้วยประการฉะนี้
อ.อรรณพ: ได้ฟังการสนทนาที่มีประโยชน์อย่างยิ่งครับ เพราะว่า วันหนึ่งๆ คิดไปในอะไร ตรึกไปในอะไร ก็เป็นการตรึกคิดไปด้วยอกุศลในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ วัน คืน คือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็เป็นไป ก็ท่องเที่ยวไปด้วยอกุศลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นับเป็นวินาที นาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
แต่การที่จะได้คิดไตร่ตรองพิจารณาไปในความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่ อ.ณภัทร ได้กล่าวข้อความครับ คิดไปในทุกขสัจจ์ ก็คือคิดไปในทั้งหมดถ้าคิดไปในอริยสัจจ์ ทีนี้ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า ไม่ได้หมายความว่า เป็นการคิดไปด้วยความอยากรู้เรื่องว่า อริยสัจจ์ ๑ ๒ ๓ ๔ เป็นอย่างไรนะครับ แต่การที่คิดไปในอริยสัจจ์ที่จะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างนิพพานนี่ครับ รอบแรก คือสัจจญาณ พระนิพพานไม่ได้ปรากฏแน่นอนถ้ายังไม่ถึงโลกุตตรมรรค เป็นต้นไปครับ
แต่ การที่จะเข้าใจในรอบแรก หรือ สัจจญาณในนิโรธสัจจะ ครับในเบื้องต้นคืออย่างไรที่จะเป็นสัจจญาณในนิโรธสัจจะ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: มีเราไหม?
อ.อรรณพ: ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์: พูดได้ แต่เป็นเราพูดแน่ๆ
อ.อรรณพ: เป็นเราที่กำลังกราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: สามารถจะหมดความเป็นเราได้ไหม?
อ.อรรณพ: สามารถจะหมดความเป็นเราได้ครับ
ท่านอาจารย์: ไม่เกิดอีกเลย
อ.อรรณพ: โอ.. ห่างไกลที่สุดนะครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกคนได้ยินคำว่า นิพพาน ก็ใฝ่ฝันแล้ว จะถึงแล้ว จะไปแล้ว แต่ไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริงว่า นิพพานคืออะไร? ความไม่รู้ และความเห็นผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังไม่นิพพาน ยังไม่ปัจจัยเกิดอยู่
ทั้งๆ ที่ผิด เป็นต้นตอของความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไปอีก เพราะยังคิดว่า เป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้แน่นอน แต่ถ้าได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว สามารถจะรู้ว่า เมื่อความไม่รู้ค่อยๆ น้อยลง ก็สามารถจะมัปัญญาถึงระดับประจักษ์แจ้งความจริงที่เกิดดับ ประจักษ์ชัดเจน ปรากฏแจ่มแจ้งเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น
เพราะฉะนั้น จะต้องมีความเข้าใจในความเป็นวิปัสสนา ไม่ใช่ว่า พอเป็นแล้วต้องการ ความต้องการยังมียังไม่หมด แต่ว่า ค่อยๆ ละความไม่รู้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่อย่างที่เคยเป็น เป็นเรา โน่น นี่ นั่น เป็นเขา โน่น นี่ นั่น จนกว่าความเห็นผิดว่าเป็นเราจะหมดไป และประจักษ์แจ้งโดยความเป็นอนัตตา แค่นี้!! หนักหนาสาหัสไหม? ประจักษ์แจ้งโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครไปทำ แต่ปัญญาค่อยๆ สะสม ค่อยๆ ปรุงแต่ง ค่อยๆ เข้าใจความละเอียดทีละเล็กทีละน้อยเป็นปกติ แล้วก็รู้ความจริงว่า ยังมีอีกมากมายระดับไหน เพราะฉะนั้น เมื่อสามารถที่จะถึงการดับกิเลส ขณะนั้นกิเลสเกิดอีกไม่ได้ การที่กิเลสนั้นดับไม่เกิดอีกเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะขณะนั้น ปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่เกิดอีกเลยของกิเลสนั้นๆ
อ.อรรณพ: กราบแทบเท้า นี่คือสัจจญาณ คือความเข้าใจในความจริงในอริยสัจจ์ที่ ๓ ก็คือนิโรธสัจจะ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..
กว่าจะดับความเป็นเราต้องรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์โดยทั่ว
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


