นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็เป็นอาวรณ์

[เล่มที่ 65] - พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 98
ชื่อว่า อเปกขา ความเพ่งเล็ง เพราะอรรถว่า เพ่งเล็งด้วยสามารถ กระทำความอาลัย. สมจริงดังที่กล่าวไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระนครแปดหมื่นสี่พันของพระองค์เหล่านี้. มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข ขอพระองค์จงยังความพอพระราชหฤทัยให้เกิดในพระนครนี้เถิด พระเจ้า ข้า. ขอพระองค์โปรดการทำความเพ่งเล็งในชีวิตเถิด. ก็ในข้อนี้มีเนื้อ ความดังนี้ว่า จงกระทำความอาลัย .
อ.วิชัย: อีกประเด็นครับ กล่าวถึงความอาลัย ก็คือก็ต้องมีในภาษาของไทยด้วยครับ ซึ่งก็คงไม่ตรงกับในความหมายของภาษาบาลี เพราะว่าตามความเข้าใจหมายถึงความพอใจติดข้อง หรือเป็นสิ่งที่น่ายินดีพอใจครับท่านอาจารย์ ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ในเรื่องของ ความอาลัย ครับ
ท่านอาจารย์: ยังยินดีวิ่งต่อไป
อ.วิชัย: พ้นไม่ได้เลยครับ ก็ยังอาลัยในสิ่งที่ปรากฏอยู่เสมอครับ ก็ละเอียดขึ้นครับ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ตอบสั้นๆ ว่า ก็ยังวิ่งต่อไป อาลัยในการวิ่ง อาลัย ก็คือความติดข้อง ผูกพัน ในการที่จะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก อาลัย ก็เป็นชื่อของโลภะ และโลภะก็อาลัยในทุกสิ่งครับ แม้กระทั่งอาลัยในโลภะว่า อยากให้เกิดโลภะอีก วิ่งอยู่อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ วิ่งอยู่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิ่งวนอยู่อย่างนี้ ยิ่งวิ่ง วิ่งวน ถ้ายิ่งวิ่งวนด้วยความเห็นผิด ก็ยิ่งเหมือนสุนัขที่ถูกล่ามไว้ที่หลัก วิ่งๆ ๆ ๆ ๆ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งรัด โอ้! เราก็หยุดวิ่งไม่ได้ สุนัขที่น่าสงสาร ออกไม่ได้ เราครับท่านอาจารย์ครับ
ผู้เห็นผิดก็หนักเลยครับ เป็นอย่างนั้นถูกล่ามไว้ แล้วก็วิ่ง หรือว่าถ้าจะพูดถึงจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น จะไปฝั่งโน้นได้อย่างไร ในเมื่อยังพอใจ อาลัยในฝั่งนี้ อาลัยในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มันหนักหนาสาหัสที่สุดครับ
ทีนี้เรียน อ.คำปั่น อีกคำหนึ่งครับ คนไทยก็ใช้ผิดกันทั้ง ๒ คำ แต่ ๒ คำนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าอะไรครับ อาลัย และอาวรณ์ ครับ
อ.คำปั่น: อาลัย ก็แสดงถึงความติดข้องยินดีพอใจ แล้วก็แสดงถึงตัวที่เป็นกามด้วย ก็คือสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม ยังอาลัยในสิ่งที่ปรากฏ ติดข้องยินดีพอใจ เพราะว่า ถ้ากล่าวถึง อาลยะ หรือ อาลัย ก็คือ เป็นความติดข้องเป็นความเยื่อใยในสิ่งนั้นครับ ซึ่งก็มีคำอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน เป็นข้อความใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อายาจนสูตร แสดงความเป็นจริงของอาลัยครับ ซึ่งมี ๒ ความหมาย ความหมายหนึ่ง ก็คือความติดข้องยินดีพอใจ และอีกความหมายหนึ่ง ก็คือเป็นที่ตั้งแห่งความติดข้องยินดีพอใจ ครับ ซึ่งก็มีข้อความดังนี้ว่า
พระราชาเสด็จประภาสพระราชอุธยานที่สมบูรณ์ด้วยต้นไม้มีดอกผลเต็มไปหมด เป็นต้น ซึ่งเขาจัดไว้อย่างดี ย่อมทรงยินดี คือย่อมทรงยินดี คือย่อมทรงเบิกบานรื่นเริงบันเทิงพระทัยด้วยสมบัตินั้นมิได้ทรงเบื่อ แม้เวลาเย็นก็ไม่ประสงค์จะเสด็จออก ฉันใด สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดี คือเบิกบาน ไม่เบื่อ อยู่ในสังสารวัฏฏ์ด้วยอาลัย คือกาม และอาลัย คือตัณหาทั้งหลายเหล่านั้น ฉันนั้นครับ อ.อรรณพครับ นี่คืออาลัยครับ ชัดเจนมากๆ ทั้งแสดงถึงตัวตัณหาด้วย แล้วก็ที่ตั้งของตัณหา คือกามด้วย
สำหรับ อาวรณ์ โ ดยนัยของอาวรณ์ หรืออาวรณะ หมายถึงสิ่งที่เป็นที่กางกั้นโดยทั่ว ครับ อันนี้แสดงถึงความเป็นไปของอกุศลธรรมทั้งหลาย หรืออีกนัยยะหนึ่ง ท่านแสดงถึง อาวรณะ โดยอรรถะ ก็คือตัวที่เป็นนิวรณ์นั่นเอง ครับ อ.อรรณพครับ
สภาพที่เป็นเครื่องกางกั้น จิต ไม่ให้เป็นไปในกุศลทั้งหลายครับ ไม่ได้มุ่งหมายถึงเฉพาะ ตัวสภาพธรรมที่เป็น โลภะ อย่างเดียว ยังหมายถึงธรรมอื่นๆ ด้วยที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตไม่ให้เป็นกุศล ครับ
อ.อรรณพ: กราบครับท่านอาจารย์ครับ ยังมากไปด้วย อาลัย และอาวรณ์ แล้วจะข้ามฝั่งนี้ไปฝั่งโน้นได้อย่างไร ก็วิ่งไปตามตลิ่งนะครับด้วยอาลัย และอาวรณ์ กราบเท้าท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง โทษของ อาลัยและอาวรณ์ แล้วก็หนทางที่จะเห็นตามความเป็นจริงที่จะค่อยๆ พ้นไปจากความอาลัย อาวรณ์ ในฝั่งนี้ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะไม่รู้ว่า ไม่ใช่เราใช่ไหม?
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ตอบก้นบี้งเลยครับ เพราะไม่รู้ว่า ไม่ใช่เราใช่ไหมครับ พยายามที่จะไตร่ตรองก่อนที่จะตอบว่า ใช่แน่นอน แต่ว่า ที่ใช่นี่ ปัญญาแค่ไหนที่ตอบว่าใช่ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ปัญญาน้อยนิด ก็เพราะรู้ว่า เป็นธรรม ยังไม่มีความเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมอย่างละเอียด เพราะทั้งหมดไม่ว่าจะแสดงโดยนัยยะประการใดๆ ก็คือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น
อ.อรรณพ: เ ป็นคำตอบก้นบึ้งเลยครับ เพราะว่าในเมื่อยังไม่เข้าใจในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ก็เต็มไปด้วยโลภะ ซึ่งเป็นอาลัย คือตัวตัณหา แล้วก็สิ่งที่ตัณหาติด ก็คือวัตถุกามก็เป็นอาลัย รวมทั้งสภาพอกุศลธรรมที่กางกั้น กลุ้มรุม คือนิวรณ์ทั้ง ๕ ก็เป็นอาวรณ์
เพราะฉะนั้น ก็มีโลภะ มีเพราะไม่รู้อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว ก็เลยมีทั้งโลภะที่ยังติดอยู่ในฝั่งนี้ ก็คือกามนะครับ แล้วก็อยู่อย่างนี้ แล้วก็มีอกุศล เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการก็เกิดโทสะ เกิดอะไรต่ออะไรกลุ้มรุม ความที่ไม่เข้าใจธรรมก็มีแต่ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ก็กลุ้มรุมสงสัยเรื่องโน้น สงสัยเรื่องนี้ ฟุ้งซ่านเดือดร้อนรำคาญใจ อะไรต่อมิอะไรซึ่งเป็นนิวรณ์ทั้งสิ้นเลย
เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คืออบรมปัญญา เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพื่อคลายความไม่รู้แล้วก็คลายความติดข้อง และก็กิเลสอกุศลทั้งปวง ก็คือคลายจากอาลัย และอาวรณ์ ด้วยการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงครับ
ผมซาบซึ้งผมก็เลยกล่าวไปตามที่ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจมานานแล้วครับ ก็สะสมมาเรื่อยๆ แต่ว่า มันก็น้อยนิดครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
อาลยะ หรืออาลัย ก็คือความติดข้อง [ขุททกนิกาย มหานิทเทส]
ขอเชิญฟังได้ที่..
อาวรณ์ - ตัณหา - เหตุแห่งทุกข์ - แดนเกิดแห่งทุกข์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ และ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ