ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านธัมมะภาคใต้ จ.สงขลา ในโอกาสประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเปิดอาคารสำนักงาน

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  31 มี.ค. 2566
หมายเลข  45731
อ่าน  20,910

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๔ - ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เดินทางพร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา คณะอาจารย์ของมูลนิธิฯ และสมาชิกชมรมบ้านธัมมะจากทั่วประเทศ ไปยังบ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้ เลขที่ ๘๒/๑ หมู่ ๓ ตำบลป่าขาด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา รหัสไปรษณีย์ ๙๐๓๓๐ โทรศัพท์ ๐๘๖ ๓๓๖๕๓๔๓ เพื่อร่วมในโอกาสประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และ เปิดอาคารสำนักงานบ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้

ก่อนที่จะถึงวันงาน ทราบว่าทางคณะทำงานของบ้านธัมมะภาคใต้ ที่แม้ว่าจะยังมีจำนวนสมาชิกที่คอยช่วยสนับสนุนการทำงานไม่มากนัก แต่ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันเตรียมการเนื่องในโอกาสพิเศษนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งในด้านการประสานงานกับทางชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ที่กรุงเทพมหานคร เรื่องโรงแรมที่พัก และการจัดการรถรับส่งสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ที่จะเดินทางมาจากทั่วประเทศทั้งทางรถไฟ และเครื่องบินโดยสาร ซึ่งมีจำนวนร่วมสองร้อยท่าน

ทั้งมีการช่วยกันตกแต่งสถานที่โดยรอบอาคาร โดยใช้ใบตาล และทางมะพร้าว ซึ่งเป็นวัสดุพื้นถิ่นมาใช้ในการตกแต่งอย่างสวยงาม เห็นถึงความตั้งใจของท่านเจ้าบ้านที่เตรียมการต้อนรับผู้มาเยือนทุกๆ ท่านด้วยไมตรีจิตและมิตรภาพที่น่ายินดียิ่ง

ในวันงาน มีการตั้งโรงครัวใหญ่ทำอาหารใต้พื้นบ้านหลากหลายเมนู เช่น ยำสาย หรือ ยำสาหร่ายผมนาง ที่คุณเพลินพันธ์ ภริยาของคุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ หัวหน้าคณะทำงานบ้านธัมมะ ภาคใต้บอกว่า เป็นสาหร่ายที่ขึ้นอยู่ในทะเลสาบสงขลา ใครๆ ที่ได้รับประทานถึงกับติดอกติดใจมาก มีต้มยำกุ้งรสละมุน หอมมันกุ้งตามธรรมชาติ โดยใช้กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ๆ จากทะเลสาบสงขลาเช่นกัน มีแกงเหลืองที่มีรสชาติสดชื่น ถึงขนาดที่พี่แดง พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง ออกปากชมว่าอร่อยมาก และอีกหลากหลายเมนูอาหารพื้นบ้าน รวมถึงผลไม้และขนมต่างๆ มากมาย เช่น ขนมตาล ที่นึ่งใหม่ๆ ร้อนๆ มี เครื่องดื่ม เช่น น้ำมะม่วงเบา ที่มีรสชาติอร่อย ดื่มแล้วสดชื่น หายง่วง เป็นที่ประทับใจมากด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น สมาชิกชมรมบ้านธัมมะผู้ใจดีจากกรุงเทพฯ ยังเหมาไอศครีมถังใหญ่ที่มีพ่อค้าแม่ค้านำมาจำหน่ายอยู่ด้านล่างของอาคาร แจกให้ทุกท่านได้รับประทานอีกด้วย กราบอนุโมทนาในกุศลของทุกท่านครับ

ในวันแรก ท่านอาจารย์สุจินต์ และคณะ เดินทางมาถึงยังอาคารสำนักงานบ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้ เวลาราวบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งก่อนหน้านั้น ท่านพลตรี ดร. วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานภายในพระรัตนบุษยภาชน์ (จำลอง) เดินทางล่วงหน้ามาประดิษฐานบนอาคารสำนักงานบ้านธัมมะภาคใต้ เพื่อให้ผู้มาร่วมงานในโอกาสนี้ ได้เข้ากราบสักการะ โดยมีคุณปริญญ์วุฒิ กุลพิเนต อาสาบันทึกภาพประทับใจขณะที่ทุกท่านเข้ากราบสักการะ ไว้ให้เป็นที่ระลึกสำหรับทุกคน กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะและกุศลเจตนาเป็นอย่างยิ่งครับ

ขออนุญาตนำข้อความจากกระทู้ : ข่าวคุณชาญวิทย์ รัตนชาติ บริจาคที่ดินเพื่อก่อสร้าง บ้านธัมมะภาคใต้

"..คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ เป็นเจ้าของและผู้จัดการสวนเทพหยา ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง "ศูนย์เรียนรู้ส่งเสริมคนดี สู่วิถีพอเพียง" บ้านเทพหยา และเป็นผู้จัดการโครงการเพื่อพัฒนาอาชีพจังหวัดสงขลา ตามดำริของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วย เคยได้รับทุนจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในการเรียนที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ และ จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ หลังจากจบการศึกษา ได้ดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือชุมชน ด้วยความดำริของท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยได้พลิกฟื้นที่ดิน ๑๐ ไร่ ซึ่งในอดีตเคยเป็นทุ่งนา และ ต้นตาลโตนด ให้กลายเป็น โคก หนอง นา โดยแบ่งพื้นที่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ในชื่อของ "สวนเทพหยา" จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน "สวนเทพหยา" เป็นพื้นที่ต้นแบบ ที่มีผู้มาเยี่ยมชม และรับการอบรม อย่างสม่ำเสมอ

ความตอนหนึ่งที่คุณชาญวิทย์ ได้กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในรายการสนทนาธรรมออนไลน์ดังกล่าว ที่น่าประทับใจยิ่ง ก็คือ การที่คุณชาญวิทย์กล่าวถึงดำริของท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่กล่าวกับคุณชาญวิทย์ ในเรื่องของการพัฒนาชุมชนให้เป็น "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" ซึ่งปัจจุบัน การดำเนินการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ในด้านเศรษฐกิจ สังคมต่างๆ ประสบผลดีเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งการที่จะได้มีสถานที่ที่ให้ความเข้าใจความจริงของชีวิต ด้วยพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้องเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่จะเติมเต็มความเป็น "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" ที่ยั่งยืน เป็นประโยชน์ที่แท้จริง ... "

ขออนุญาตนำข้อความบางตอนที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ในการสนทนากับคุณชาญวิทย์ รัตนชาติ มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ด้วย ดังนี้

" ... ก็เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า ทุกคนได้ทราบว่า ทุกคนต้องร่วมใจกัน เป็นที่ที่จะทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติและเพื่อทุกคนด้วย ในเมื่อทางโลกพร้อม ยังขาดอยู่ก็คือทางธรรม ซึ่งทางมูลนิธิฯ และทุกคนที่ได้ทราบข่าวนี้ ก็จะได้ทราบว่า จะได้มีการเติมเต็มทั้งกายและใจ ทั้งสุขกายและสุขใจด้วย

เพราะเหตุว่า ถึงแม้ว่าจะมีความอุดมสมบูรณ์สักเท่าไหร่ แต่ถ้าจิตใจของคนไม่สามารถที่จะละสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็ประพฤติสิ่งที่ดี ประเทศชาติก็เจริญไม่ได้ ถ้ามีแต่เพียงความเจริญทางด้านวัตถุ

เพราะฉะนั้น ที่นี่ จะเป็นแหล่งที่จะทำให้ทุกคน ได้มีความสุข ทั้งกายและใจ และได้มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องด้วย ... "

สุจินต์ บริหารวนเขตต์
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๔

เมื่อได้เวลาที่สมควร เภสัชกรหญิงวิรงรอง (เอ็กซ์) เลิศพงษ์พิรุฬห์ ได้กราบเรียนท่านพลตรี ดร. วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้กรุณาเล่าประวัติความเป็นมาของการก่อสร้างบ้านธัมมะภาคใต้แห่งนี้ โดยมีใจความสรุปว่า

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับมอบที่ดิน จำนวน ๔ ไร่ ๑ งาน จากคุณชาญวิทย์ รัตนชาติ ผู้แสดงเจตนาในการบริจาคให้แก่มูลนิธิฯ ในช่วงต้นปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ ต่อมา ทางมูลนิธิฯ เห็นชอบให้มีการก่อสร้างอาคารสำนักงานบ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้ ขึ้น ในบริเวณที่ดินแห่งนี้ ซึ่งได้ทำการเปิดประมูลการก่อสร้าง โดยมีห้างหุ้นส่วนจำกัด แก้วทรัพย์มา โดยคุณมณเฑียร วุฒิธรรม เป็นผู้ชนะการประมูล และ ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้นรวม ๑๐ เดือน จนแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ต่อจากนั้น ผศ.ดร. ธนู พลวัฒน์ อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ออกแบบอาคารสำนักงานแห่งนี้ ได้กล่าวถึงแนวคิดการออกแบบอาคาร และที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ รวมถึงการใช้วัสดุในการก่อสร้างและตกแต่งอาคาร เช่น การใช้ไม้ตาล จากต้นตาล ในการประดับ และปูพื้นอาคารบางส่วน รวมถึงระเบียงที่นั่งโดยรอบอาคาร เพื่อให้อาคารแห่งนี้ กลมกลืนไปกับทัศนียภาพโดยรอบพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยต้นตาล เป็นต้น

ต่อมา คุณอัครา ลาภาพัฒนวณิชย์ หัวหน้าคณะทำงานบ้านธัมมะภาคใต้ ได้กล่าวแก่ที่ประชุมว่า คณะทำงานบ้านธัมมะภาคใต้ ประกอบไปด้วยคุณอัครา คุณเพลินพันธ์ ลาภาพัฒนวณิชย์ คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ เภสัชกรหญิงวิรงรอง (เอ็กซ์) เลิศพงษ์พิรุฬห์ พญ.ศิริลักษณ์ (หมอตุ๊ก) เลิศพงษ์พิรุฬห์ คุณจิรัฏฐ์ ศรีวัชรเมธี คุณ ชฎาภรณ์ สะหะกะโร คุณอรทัย พิสาร คุณอานนท์ ฝาดซิ้น คุณนภัส รัตนชาติ คุณเมลี่ย์ (แหม่ม) เอี้ยววงษ์เจริญ และ คุณจิราภรณ์ (เล็ก) ศรีสมุทร ขอให้ทุกท่านที่มา ได้ชื่นชมยินดีในสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกท่าน และทราบว่าพระธรรมได้มาปรากฏแล้วแก่ทุกท่านในที่นี้ รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่พิเศษสุด

จากนั้น ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวแก่ที่ประชุม ดังมีใจความบางตอน ดังนี้

"..และในที่สุด เราก็ได้มีวันนี้ เป็นวันที่เรารอคอยมานานพอสมควร นานพอสมควรหมายความว่า การที่จะได้เข้าใจพระธรรม โดยทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ แล้วแต่ว่าใครสะสมมาที่สามารถที่จะได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส นานมาแล้วก็จริง แต่ก็ยังคงดำรงรักษา ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง

ที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เราจะฟังคำของพระองค์ด้วยความเข้าใจไหม? เพราะคำของพระองค์ลึกซึ้ง ตามพระคุณธรรมที่ได้ทรงบำเพ็ญมาที่จะรู้ความจริง ถึงความเป็นพระอหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีใครจะเปรียบเทียบได้ แม้ส่วนที่เล็กน้อยที่สุด ต่างกันมาก

เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่เราได้ฟัง เป็นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คิดดู กำลังมีเดี๋ยวนี้!! แต่ใครจะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าอย่างไร ทุกคำ กว่าจะได้ตรัสคำนั้นๆ ให้เราได้ไตร่ตรอง แล้วก็รู้ความจริงว่า แต่ละคำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่ลึกซึ้ง สุดที่จะประมาณได้ ต้องอาศัยการบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ เมื่อได้รับคำพยากรณ์แล้ว สี่อสงไขแสนกัป ไม่ใช่วันหรือเดือน หรือปี

เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟัง ถ้าศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ เห็นความลึกซึ้ง ในพระคุณ ที่ทำให้เรา จากการที่อยู่มาในสังสารวัฏ ไม่เคยเข้าใจความจริงอะไรเลย อยู่ไปวันๆ เกิดมาก็ไม่รู้อะไร แล้วก็ไม่รู้ไปทุกวัน จนตาย แล้วก็เกิดอีก ไม่หยุดยั้งเลย แล้วก็อยู่ต่อไปด้วยความไม่รู้!!

เพราะฉะนั้น ถึงเวลาของแต่ละคน ที่ได้สะสมมา ที่จะได้เป็นผู้ที่ตรง ต่อความเป็นจริง ที่จะเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรม จะศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และ ณ สถานที่นี้ ก็ได้มีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกว่า แต่ละคำที่ได้ฟัง จากไหน จากพระองค์ที่ได้ตรัสรู้ความจริง และส่วนหนึ่งของพระกาย ก็ได้มาประทับ ที่จะให้คนอื่น ได้ไม่ลืมความลึกซึ้ง และพระมหากรุณาของพระองค์ ที่จะต้องเคารพทุกคำ

ถ้าสมมติว่า เราเผิน ไม่เห็นมีอะไรเลย เปิดพระไตรปิฎก ก็มีแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว เดี๋ยวนี้ มีอะไร ที่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไปไหน ไม่พ้นเลย ท่องเที่ยวอยู่ที่ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ด้วยความไม่รู้ มานานเท่าไหร่

ถ้าไม่มีการฟังคำของพระองค์ จะไม่รู้เลยว่า เราไม่รู้อะไรเลย ในพระไตรปิฎก "บรมโง่" แล้วก็มีคนปลาบปลื้มยินดีมาก ที่เขาได้รู้ตัวว่า เขาบรมโง่จริงๆ "บรม" มากมายสักแค่ไหน "โง่" เพราะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ โง่แค่ไหน กำลังปรากฏจริงๆ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

เพราะฉะนั้น ประมาทคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เลย "เจ้า" ยิ่งใหญ่ที่สุด "พุทธ" ผู้รู้ความจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง "สัมมา" ด้วยพระองค์เอง บำเพ็ญพระบารมี จนสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ความจริงที่ลึกซึ้ง ของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ฟัง รู้ว่า คำนี้ ไม่ได้มาจากใครเลยทั้งสิ้น นอกจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ไม่ใช่ว่า คำนี้ได้ยินแล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้อะไร ในเมื่อเราฟังไม่กี่คำแล้วเราบอกว่าเรารู้แล้ว แค่นี้ก็ไม่คิด เพราะฉะนั้น เรื่องของการไตร่ตรอง เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ที่สุด

ทุกคน มีการ "ได้ยิน" แต่ เข้าใจคำที่ได้ยิน ระดับไหน? ได้ยินกันทุกคน ตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก ตกใจ บรมโง่ไหม? พูดคำที่ไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิดจนตาย จริงหรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น ก็เห็นคุณอย่างยิ่ง ที่มีคำที่พระองค์ตรัส ให้ระลึกถึงความจริง เพื่อที่จะได้รู้ว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแต่ละคำของพระองค์ แสนไกล ต่อการที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ที่พระองค์ได้ประจักษ์แล้ว

เมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระบรมสารีริกธาตุเป็นเครื่องเตือนไม่ให้ลืมในคุณ ที่ตรัสทุกคำให้ไตร่ตรอง ให้เข้าใจในความละเอียด ซึ่งการเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม เป็นการละความไม่รู้ เพราะเริ่มรู้ ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ความไม่รู้ที่สะสมมา ก็ค่อยๆ ละคลายไป เท่าไหร่ในสังสารวัฏที่สะสมมาแล้ว เกินแสนโกฏิกัปป์ เพราะพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเมื่อได้รับคำพยากรณ์แล้ว สี่อสงไขยแสนกัป แล้วเราตอนนั้น ทำอะไร? อยู่ที่ไหน? บารมี มีหรือเปล่า?

แต่ก็ได้ถึงวันนี้ ซึ่งเราก็ได้มีอาคารที่จะเป็นที่ที่ดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการที่ศึกษาด้วยความเคารพ เพื่อดำรงพระธรรมที่ลึกซึ้ง ประมาทไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าพูดคำไหน สองสามคำ เผยแพร่ ดำรงพระศาสนา จริงหรือ? แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร?

ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่เข้าใจคำหนึ่ง แม้คำเดียว จะเข้าใจคำต่อไปไหม? กี่คำกี่คำก็ไม่เข้าใจหมด แต่ถ้าเข้าใจทีละคำ ลึกซึ้งขึ้น สามารถที่จะเข้าใจ อะไรก็ตามที่พระองค์ตรัส เพราะมาจากคำแรกที่ได้เข้าใจแล้ว

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสูงสุดหรือยัง? ถ้าเป็นที่เคารพสูงสุด คือ ฟังคำของพระองค์ แล้วเห็นพระคุณ ไม่เคยรู้อย่างนี้มาเลย ในสังสารวัฏ แม้แต่คำว่า "ธรรม" คำเดียว "สิ่งที่มีจริง" ภาษาธรรมดา ทุกคนฟังรู้เรื่อง "สิ่งที่มีจริง" แต่ถ้าถามให้ลึกซึ้ง อะไร เป็นสิ่งที่มีจริง ดูเหมือนคำธรรมดาจริงๆ แต่ทุกคำลึกซึ้ง!!

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังแล้วก็คือว่า ธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร และเดี๋ยวนี้มีไหม? ถ้าไม่มีก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีจริงๆ แต่ไม่รู้ แต่ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ เห็นความไม่รู้ของตัวเอง มากมายมหาศาลเพียงใด

เพราะฉะนั้น ใครจะรีบร้อนไปหมดกิเลส หมดได้หรือ? วันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่ลืมตา ใครรู้ว่า แค่ "เห็น" ดับไปสามขณะจิต อกุศลเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้เห็นกี่ครั้ง? ได้ยินกี่ครั้ง? ทั้งหมด ไม่รู้เลย ถ้าได้ฟังความจริงอย่างนี้ จะศึกษาด้วยความเคารพ เพื่อเข้าใจความจริง ว่า ธรรมมีจริง และเป็นธรรม เห็นไหม แต่ละคำ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่อะไรเลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม

เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตมา ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็จะไม่รู้เลยว่าอะไรเกิด เกิดแล้ว ต่อไป อะไรต่อไป ตราบจนกระทั่งถึงตายไป ก็ตายไปด้วยความไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด โดยประการทั้งปวง ให้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจคำเพิ่มขึ้น

ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา เว้นไหม? แล้วใครอยู่ตรงนี้ ใครนั่งอยู่ที่นี่ นั่งอยู่ที่ไหน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปหมด เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นทุกอย่าง แต่ความจริง เป็นธรรม ทั้งหมด แต่ละหนึ่ง ซึ่งสามารถจะแยกย่อยออก จนถึงธรรมหนึ่ง ไม่เป็นอื่น เป็นอื่นไม่ได้ หนึ่งต้องเป็นหนึ่ง "โกรธ" เป็นอื่นได้ไหม? เป็นได้อย่างเดียวคือโกรธ โกรธต้องเป็นโกรธ ไม่โกรธ จะให้เป็นโกรธได้ไหม? ไม่ได้ ไม่โกรธก็ต้องเป็นไม่โกรธ

แล้ว "โกรธ" มีจริงไหม? จริง เพราะเกิดขึ้น ลักษณะนั้นเป็นโกรธ แต่ว่า แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏ ทุกสิ่งทุกอย่าง มีชั่วขณะที่เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏ จริงหรือเปล่า แต่ละคำ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อกี้นี้ "เสียง" ที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เสียงเมื่อกี้นี้ "ได้ยิน" เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ได้ยินเมื่อกี้นี้ ทุกอย่าง เป็นความจริงซึ่ง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยความมากมายด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม และความติดข้องทั้งหลาย ก็สามารถที่จะพ้นจากทุกข์ ทุกประการ

เพราะทุกข์ มีหลายอย่างมาก กำลังนั่งอย่างนี้ ใครเป็นทุกข์บ้าง? หาเจอไหม? แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าอย่างไร? สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แล้วก็ไม่มีใครที่จะไปทำให้ยั่งยืนหรือเป็นของใครได้ เพียงแค่เกิดแล้วดับ ตลอดไปไม่หยุดยั้ง ทุกข์ไหม? มีประโยชน์อะไร? ไม่เกิดสบายกว่า เพราะ เกิดแล้วดับ ก็เหมือนกับไม่เกิด แล้วจะเกิดทำไม?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่ใช่ให้เราจะเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลส เป็นพระโสดาบัน เป็นอะไรทันที!! แต่เริ่มจากการ "เป็นผู้ตรง" ต่อ "ความจริง" คือ สัจจบารมี ความจริงเป็นอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ไม่ใช่รู้อย่างเราที่กำลังพูดแค่นี้ แต่ทรง "ประจักษ์แจ้ง" สภาพธรรม "แต่ละหนึ่ง" ซึ่งเกิดแล้วดับ

กว่าจะละความเห็นผิด ซึ่งโลกเต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ค่อยๆ คิด แต่ละหนึ่งเกิด "หนึ่ง" เท่านั้น ใช่ไหม? ขณะที่ "หนึ่ง" เกิด อย่างอื่นจะมีรวมกันได้ไหมในหนึ่งนั้น ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็รวมหมดทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น ห่างไกลกันมาก กับการตรัสรู้ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่ตรัสรู้แล้ว ทรงพระมหากรุณาแสดงความจริง ให้มีผู้ที่สามารถฟังแล้วเข้าใจได้ ได้เริ่มฟัง ได้เริ่มเข้าใจ ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ต้องทำอะไร เพราะไม่มีใครทำ!! ให้เข้าใจว่า ธรรมทั้งหมด!! เกิด ก็เป็นธรรมที่เกิด ตายก็คือธรรม เราตายหรือเปล่า? เราเกิดหรือเปล่า? ถ้าเราเกิดเราตาย "เรา" อยู่ไหนขณะเกิด เดี๋ยวนี้มีเราไหม?

ถ้าทุกคนค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ก็จะรู้ว่า เกิดมามีโอกาสได้รู้ความจริง แค่นี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าความจริง ลึกซึ้งกว่านี้ แล้วก็ สามารถจะ ค่อยๆ อบรม เพื่อรู้ความจริง

ต้อง "เป็นผู้ตรง" ตั้งแต่ต้น รู้กับไม่รู้ อะไรเป็นประโยชน์? ถ้าคิดว่า ไม่เห็นต้องรู้เลย อยู่ไปก็มีความสุขดีทุกวัน ทุกวัน จะต้องรู้อะไร ก็จะไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริง แล้วเป็นทุกข์หรือเปล่า เกิดมามีใครบ้างไม่ตาย แต่ที่ไม่รู้คือ ตายทุกขณะ ที่เกิดแล้วตายทันที ดับทันที ทรงแสดงไว้ จริงหรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรเลย สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละ เป็นอย่างนั้น แต่ว่า ยังไม่สามารถที่จะ "เข้าถึง" ความจริงนั้น ได้เลย เพราะเหตุว่า ธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ คำของใคร? คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไหร่? เมื่อตรัสรู้แล้ว ตรัสรู้แล้ว เห็นความลึกซึ้งแล้ว จึงตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ จริงไหม? เดี๋ยวนี้ไง? เริ่มรู้จักธรรมแล้ว!!

เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง สามารถเข้าใจได้ แต่ต้องไตร่ตรอง ด้วยความเคารพสูงสุด เห็นประโยชน์สูงสุด จึงรู้ว่า คนที่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม แล้วก็เข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว แต่..ในสังสารวัฏต่อไป จนกว่าที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรม ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...

คุณชาญวิทย์ รัตนชาติ : กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ภารกิจของกระผมที่สวนเทพหยากับบ้านธัมมะ (ภาคใต้) มีความเชื่อมโยงกัน วันนี้ กระผมก็อยากจะกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ เป็นอย่างยิ่ง พร้อมคณะอาจารย์จาก มศพ. แล้วก็ผู้มีเกียรติ

ผมอยากจะเรียนท่านอาจารย์ว่า ผมรู้สึกมีความปีติหลังจากที่ได้มอบที่ดินไปตั้งแต่ช่วงวันมาฆบูชา ปี ๒๕๖๕ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้ลงมาเมื่อ ๑๗ กรกฎาคม ปี ๒๕๖๕ เพื่อมา (สนทนาธรรมที่สวนแทพหยา และ) ดูที่ดินเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไม่นาน พอถึงเดือนมีนาคม ของปีนี้ ปี ๒๕๖๖ ผ่านมาแค่ปีเดียว จากที่เป็นแนวคิดอยู่ ก็กลายเป็นรูปธรรมขึ้นมา คือ บ้านธัมมะ

และที่สำคัญที่สุด มีพระบรมสารีริกธาตุ ที่นี่สามารถเป็นที่ประทับขององค์พระพุทธเจ้า ผมก็คิดว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง อยากจะเรียนว่า เมื่อได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากันในวันสำคัญเช่นนี้ ผมคิดว่า ปัจจุบัน จะเป็นตัวที่สร้างอนาคต ผมมีปัญญาเล็กน้อย ผมก็คิดว่า พวกเราที่มีปัญญาสูงเป็นลำดับ เราน่าจะมาช่วยกัน

เรื่องแผ่นดินทอง ผมไม่ห่วงเลย ผมคิดว่า ประเทศไทยที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร ที่มีทรัพยากรค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ เป็นที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ผมห่วงว่า เมื่อเรามีภูมิที่อุดมสมบูรณ์แล้ว คนที่อยู่ในภูมิที่อุดมสมบูรณ์นี้ ยังขาดความดี ยังขาดปัญญา

ผมก็เลยอยากจะขอความช่วยเหลือจากทุกท่านด้วยความเคารพว่า อยากจะมาช่วยตรงนี้ ให้คนที่นี่มีความดี แล้วก็มีปัญญา ตามลำดับ โดยเฉพาะเยาวชน ที่เขาเพิ่งเกิดมาเป็นคนใหม่ๆ ผมเองก็อยู่ระหว่างกลางคน แต่ทุกคนก็มีเวลาในความเป็นคนจำกัด ในเวลาที่ทุกคนมีจำกัดนี้ ผมก็อยากให้เป็นประเทศที่มีทั้ง "แผ่นดินธรรม" และ "แผ่นดินทอง" ไปพร้อมๆ กัน

วันนี้ ผมก็เลยดีใจมาก ที่ท่านอาจารย์และผู้มีเกียรติทุกท่านได้มาที่นี่ในวันที่สำคัญยิ่ง และในแผนงานต่อไปก็คงจะได้มาช่วยกันสร้างพื้นที่ตรงนี้ ให้เป็นพื้นที่ที่คนมีความดี รู้จักความจริง แล้วก็มีปัญญาขึ้นเป็นลำดับครับ ผมขอกราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพครับ

ท่านอาจารย์ : ทั้งหมด จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม จริงไหม? เพราะฉะนั้น มีทุจริตทุกวงการ เพราะไม่เข้าใจธรรม ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้ว จะไม่เป็นอย่างนั้นเลย

ด้วยเหตุนี้ ความหวังใดๆ ไม่ว่าสำหรับเยาวชน หรือใครทั้งสิ้น ก็คือว่า ให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง และ พระธรรมนั่นแหละ จะนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้อง ทำให้ประเทศชาติ และผู้คนทั้งหลาย ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

ถอยไป ๒๐ ปี บ้าง ๓๐ ปี บ้าง ๔๐ ปี บ้าง ๕๐ ปีบ้าง เราจะรู้หรือ ว่าจะมีวันนี้ ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลย แม้แต่คุณอัครา และผู้ร่วมงานทั้งหลาย ใช่ไหม ว่าเราจะมีศรัทธาและเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะให้มีจุดนี้ คือที่ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพราะ ทุกปัญหาที่ทุกคนพยายามจะแก้ แก้ไปเถอะ ไม่มีวันสำเร็จได้ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม คือ ไม่เป็นคนดี เมื่อไม่เป็นคนดี แล้วจะทำสิ่งที่ดีได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นคนดีเพราะเข้าใจความดี รู้คุณของความดี จะทำไม่ดีได้หรือ?

เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะแก้ความเสื่อมใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจธรรม แม้แต่ขณะนี้เอง เห็นไหม? ต้องเป็นคนที่ตรง เราอาจจะมองเห็นความไม่ดีของคนอื่น ไม่ยากเลย แค่หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ดูโทรทัศน์ มาแล้ว ความไม่ดีของคนอื่น ใช่ไหม? แล้วเราล่ะ ลืมสนิท ที่กำลังพูดนั้นน่ะ ดีหรือเปล่า? เป็นกุศลหรือเปล่า? หรือเป็นกิเลส!! กิเลส ความลึกอย่างยิ่งที่มีความสำคัญตนที่ไม่ปรากฏ ทั้งๆ ที่มีอยู่มากมาย ทุกขณะ

ไม่ว่าใคร เด็ก ผู้ใหญ่ ทั้งนั้นแหละ เล่นฟุตบอลเก่ง สำคัญตนไหม? เป็นกิเลสหรือเปล่า? แค่นั้น ละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าคิดจะไปละกิเลสบางส่วนใหญ่ๆ กิเลสใหญ่ๆ มาจากไหน ก็ต้องมาจากเล็กๆ ถ้าไม่มีเล็ก จะมีใหญ่ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ขณะที่เราหวังดีต่อคนอื่น ขณะนั้น เราดี เป็นการละกิเลสของเรา เราจะไม่เห็นแก่ตัว เหนื่อยหรือ? ลำบากหรือ? แต่เขาได้ประโยชน์ เขาได้เข้าใจพระธรรม ดีไหม? ทำได้ไหม? เห็นไหม? ไม่ใช่ใครเลย ใครจะไปชวนใคร ใครจะไปบังคับใคร ใครจะไปบอกใคร ถ้าเขาไม่ได้มีการไตร่ตรองของเขาเอง ก็ไร้ประโยชน์ เขาทำไม่ได้หรอก

เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจแล้วจะทำ ใครก็ห้ามไม่ได้!! เพราะฉะนั้น ก็เห็นความจริงของธรรม ซึ่งไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น คนดีก็ต้องสะสมความดีมามาก คนไม่ดีก็สะสมความไม่ดีมามาก เพราะเขามองไม่เห็นประโยชน์

เพราะฉะนั้น การได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นผู้ตรง ไตร่ตรอง เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและคนอื่น ไม่ต้องวิธีอื่นใด เพราะว่า บางคนมีความรู้มาก จบมหาวิทยาลัยหรือว่าการค้นคว้า มีเกียรติยศ นานาประการ กิเลสเต็มตัว!! จริงหรือเปล่า? หรือไม่มีกิเลส? ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม จะบอกได้ไหม ว่าไม่มีกิเลส ถึงเข้าใจธรรมแล้ว ยิ่งรู้ใช่ไหม ว่ากิเลสมากมายแค่ไหน ประโยชน์ไหม?

เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง สำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่ตรง ไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรม พูดได้แค่นี้ เพราะว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่จะเข้าใจพระธรรม ต้องตรง ต่อความจริง และคำจริง เปลี่ยนไม่ได้ อย่าง "ธรรม" เป็นสิ่งที่มีจริง ใครจะเปลี่ยน? มิฉะนั้นจะไปรู้ธรรมที่ไหน? จะไปหาธรรมอะไรมารู้? ต้องสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้แหละ รู้แค่ไหน? ว่า "ธรรม" หมายความว่าอะไร สิ่งนั้นมีจริงแน่นอน เมื่อไหร่? เมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด มีไหม?

แล้วใครไปทำให้เกิด ใครก็ทำไม่ได้ แต่มีปัจจัยที่จะเห็น "เห็น" เกิด มีปัจจัยที่จะได้ยิน "ได้ยิน" เกิด กำลังคิดเดี๋ยวนี้ แต่ละคนหลากหลาย ตามปัจจัยที่สะสมมา ที่จะคิดอย่างนั้น แล้วความเข้าใจธรรม ค่อยๆ ปรุงแต่ง ให้ความคิด ที่เคยคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง ค่อยมั่นคงต่อความถูกต้องและความจริง

เพราะฉะนั้น "บารมี" เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่จะทำให้สามารถรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้เอง ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ลึกซึ้ง แต่ยังไม่เห็นความลึกซึ้ง แต่ละคำ เข้าใจอย่างมั่นคง ปลอดโปร่ง สบาย ทีละเล็ก ทีละน้อย ทำอะไรหรือ? ไม่มีเรา แต่มีปัจจัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า ปัจจัยของคุณความดี ก็คือ ความเข้าใจความจริง ตรงต่อความเป็นจริง

ข้อความบางตอน
จาก สุมังคลวิลาสินี อรรถกถา ฑีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

“…พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า ... เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายออกไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเรา แม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุ แม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ทำเจดีย์ในที่อยู่ของตน ของตน ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์ เป็นที่ไป ในเบื้องหน้า ... ”

" ... ถอยไป ๒๐ ปี บ้าง ๓๐ ปี บ้าง ๔๐ ปี บ้าง ๕๐ ปีบ้าง เราจะรู้หรือ ว่าจะมีวันนี้ ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลย แม้แต่คุณอัครา และผู้ร่วมงานทั้งหลาย ใช่ไหม ว่าเราจะมีศรัทธาและเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะให้มีจุดนี้ คือ ที่ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพราะ ทุกปัญหาที่ทุกคนพยายามจะแก้ แก้ไปเถอะ ไม่มีวันสำเร็จได้ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม คือ ไม่เป็นคนดี เมื่อไม่เป็นคนดี แล้วจะทำสิ่งที่ดีได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นคนดีเพราะเข้าใจความดี รู้คุณของความดี จะทำไม่ดีได้หรือ?

... เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ขณะที่เราหวังดีต่อคนอื่น ขณะนั้น เราดี เป็นการละกิเลสของเรา เราจะไม่เห็นแก่ตัว เหนื่อยหรือ? ลำบากหรือ? แต่เขาได้ประโยชน์ เขาได้เข้าใจพระธรรม ดีไหม? ทำได้ไหม? เห็นไหม? ไม่ใช่ใครเลย ใครจะไปชวนใคร ใครจะไปบังคับใคร ใครจะไปบอกใคร ถ้าเขาไม่ได้มีการไตร่ตรองของเขาเอง ก็ไร้ประโยชน์ เขาทำไม่ได้หรอก ... "

สุจินต์ บริหารวนเขตต์
บ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้ ต.ป่าขาด อ.สิงหนคร จ.สงขลา
๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่าน ครับ


ขอเชิญติดตามกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ร่วมในโอกาสเปิดอาคารสำนักงานบ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้ จังหวัดสงขลา

- ประมวลภาพการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และสนทนาธรรม ในวันมาฆบูชา ณ บ้านธัมมะภาคใต้ ๖ มีนาคม ๒๕๖๖

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา อาสาฬหบูชา ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘

- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะ เดินทางไปถวายพระรัตนบุษยภาชน์ อโศกมหาราชปริวรรต ณ พระมูลคันธกุฎี เมืองสารนาท กรุงพาราณสี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ : คลิกอ่านรายละเอียดที่ลิงก์นี้ : ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ๒๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [ตอนที่ ๓] )

และ ขอเชิญฟังบันทึกการสนทนาธรรมทั้งหมด ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Komsan
วันที่ 3 เม.ย. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Wisaka
วันที่ 3 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chaweewanksyt
วันที่ 4 เม.ย. 2566

อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะกราบสาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ