ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ๒๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [ตอนที่ ๓]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  12 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22159
อ่าน  2,958

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในสองตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้นำเสนอภาพและความการสนทนาธรรม ณ พุทธคยา จำนวนสองตอนด้วยกัน คือ ตอนที่ ๑ แทบพระบาท พระศาสดา และ ตอนที่ ๒ หลากศรัทธา ในตถาคต สำหรับท่านที่สนใจ สามารถคลิกอ่านและชมทั้ง ๒ ตอนนั้น ได้จากลิงค์นี้ครับ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ๒๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [ตอนที่ ๑] , ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ๒๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [ตอนที่ ๒] ในตอนที่ ๓ นี้ มีชื่อตอนว่า งามหมดจด พระรัตนบุษยภาชน์ฯ เป็นการนำเสนอภาพ การถวาย พระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ได้รับโอกาสอันประเสริฐยิ่งจากสมาคมมหาโพธิ์ แห่งประเทศอินเดีย เพื่อจัดสร้าง ที่ครอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะนำไปครอบที่ประดิษฐานเดิม ที่สร้างมาแต่ครั้งสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อราวสองพันกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่ พระวิหารมูลคันธกุฎี เมืองสารนาถ พาราณสี ประเทศอินเดีย ดังท่านอาจารย์ได้กล่าวปรารภไว้ตอนหนึ่ง ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อค่ำของวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมาว่า "...ทุกคนก็คงได้ทราบ ที่มูลนิธิฯได้ตระเตรียม ที่จะได้สร้างที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ที่สารนาถ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ เป็นโอกาสพิเศษจริงๆ เพราะว่า ใครจะคิด ว่าเรามีโอกาสที่จะได้สร้างที่ประดิษฐาน ในเมืองที่ไม่ใช่เมืองของเรา แล้วก็ เป็นเมืองของชาวพุทธทั่วโลก ก็ให้ความสำคัญ แต่เราก็ได้มีโอกาสสร้าง......พวกเราร่วมใจกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร ทั้งเงิน ทั้งเครื่องประดับ ทั้งหมด ทุกคนก็จะได้เห็น สิ่งซึ่ง คงจะหาใครทำ ในความรู้สึกของดิฉันเอง ก็รู้สึกว่า ยาก...ที่จะทำได้อย่างนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงบอกว่า "บุญตา" ที่ได้เห็น แต่ ที่ได้เห็น ลึกกว่านั้น ก็คือว่า ความเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียว และ การมีศรัทธา ในการที่จะทำทุกอย่าง เพื่อพระศาสนา...."

.........

เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ที่ทุกท่านได้ร่วมใจกัน สละทั้งทรัพย์สินเงินทอง เครื่องประดับ เพชรนิลจินดาต่างๆ หลายท่าน ถอดแหวนเพชรพลอยต่างๆ จากมือ บางท่านถอดกำไลเพชร พลอย และ ทอง ที่สวมใส่อยู่ บางท่านถอดทั้งแหวน และ ตุ้มหูเพชร ที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษที่ใส่อยู่เป็นประจำ บางท่านก็ถอดนาฬิการาคาแพง ทุกสิ่ง เคยเป็นของรัก ของหวง ของทุกบุคคล ทั้งสิ้น แต่ได้สละออก ด้วยกุศลจิต ถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระมหากรุณาคุณ อันประเสริฐยิ่ง พระองค์นั้น ซึ่งข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาทุกท่าน มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ใครเลยจะเข้าใจได้ว่า สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ทรัพย์แลรัตนะใดในโลก หรือ จะเทียบเท่า พระพุทธรัตนะ อันประเสริฐยิ่ง มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์หรือสิ่งใดๆ ในสากลจักรวาล ซึ่ง บัดนี้ การทั้งหลายได้สำเร็จลุล่วงแล้วด้วยดี และ ได้มีการนำมาถวายไว้เป็นพุทธบูชา ณ พระวิหาร มูลคันธกุฎี เมืองสารนาถ พาราณสี ประเทศอินเดีย เมื่อตอนเช้าของวันจันทร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะฯ

เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่จะตราตรึงอยู่ในใจของทุกท่าน ตราบเท่าที่ลมหายใจยังมีในชาตินี้ ที่ได้มีโอกาสครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ถวายสิ่งที่งดงาม วิจิตร ตระการตา และ ที่สำคัญที่สุด เป็นการร่วมใจของคณะบุคคล ผู้มีความเข้าใจ ในพระธรรมคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วย พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาธิคุณ ในยุคสมัยอันใกล้ แห่งกาลอันตรธาน ของ พระศาสนา ซึ่งจะเป็นความวิจิตร สวยงาม สมพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล และ จะเป็นที่ปรากฏสืบไป ตราบจนถึงกาลสมัยแห่งความสิ้นไปของพระศาสนา

ข้าพเจ้าจะขอนำเสนอภาพ แห่งความปีติ ยินดี อันเป็นภาพ ณ กาลครั้งหนึ่ง ครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ที่ได้ผ่านไปแล้วนั้น ประกอบกับ ความธรรมะ ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้สนทนาไว้ ณ โรงแรมอิมพีเรียล พุทธคยา เมื่อบ่ายของ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นตอนที่ มีท่านผู้ใหม่ ได้สนทนากับท่านอาจารย์ ซึ่งมีความไพเราะเหลือประมาณ ดังข้าพเจ้าจะขอคัดเพียงบางส่วน มาฝากทุกๆ ท่านเพื่อพิจารณา ไปพร้อมๆ กัน ดังนี้

.........

คุณมาสสุภา ขออนุญาติถามท่านอาจารย์ค่ะ เพิ่งเคยฟังของท่านอาจารย์ แล้วก็มีความสงสัยใกล้เคียงกันกับพี่สาว ว่า สำหรับผู้ใหม่อย่างเรา ที่ไม่ค่อยมีความรู้ จะเริ่มอย่างไรดีคะ? จะเริ่มศึกษาอย่างไรดีคะ?

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟัง คงคิดเองไม่ได้ ใช่ไหม? แล้วก็ จะฟังใครดี? ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น!!! นอกจาก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าบอกว่า ขอถึงพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ) คำนี้ ต้องจริงใจ ต้องตรง ขอถึง...เป็นที่พึ่ง...ต้องเป็นบุคคลที่ประเสริฐ ที่สามารถที่จะให้ความรู้ ความเข้าใจของเราได้ ถ้าพึ่งคนอื่น ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะทำให้ ปัญญา ของเราเกิดขึ้น เพียงแต่ว่า เชื่อตาม......เชื่อตามที่ "เขาบอก"...

แต่ว่า "ทุกคำ" ที่เป็นวาจาจริง เป็นวาจาสัจจะ เวลาที่ได้ฟังแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง มีจริงๆ หรือเปล่า? ไม่ใช่ว่า เพียงฟังแล้วก็เชื่อ แต่ กำลังพูด ถึงสิ่งที่มีจริง "เดี๋ยวนี้" ด้วยแล้วก็ จากการที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ก็เป็นการที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าเป็นความจริงหรือไม่?

เมื่อเข้าใจว่าเป็นความจริง ถูกต้อง นั่นคือ "ปัญญา" ในภาษาบาลี แต่ก็เป็นสภาพธรรมะ ที่จะเกิดขึ้นเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยการฟัง เพราะว่า ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่คนอื่น รู้ไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม จึงสามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น จะรู้ว่า คำใด เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสไว้แล้ว ก็จะต้องอาศัย "การฟัง" เท่านั้น "เข้าใจ" เมื่อไหร่ นั่นคือ "ปัญญา" เริ่มที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะว่า ความจริง มีอยู่ทุกขณะ

เพราะฉะนั้น ถ้ากำลังพูดให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ถูกต้อง นั่นก็คือ ได้เข้าใจพระธรรม แล้วก็ ได้เข้าถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง แล้วก็ ต้องพึ่งไปตลอดด้วย ไม่ใช่ว่าพึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ พึ่งนิดเดียว แล้วก็หันไปพึ่งอย่างอื่น อย่างนั้นก็ ไม่ใช่ผู้ที่ถึง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ มี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง

เคยพึ่ง ไหม?

คุณมาสสุภา หมายถึงว่า เคยพึ่งพระพุทธเจ้า?

ท่านอาจารย์ ที่ขอถึงพระผู้มีพระภาคฯเป็นที่พึ่ง เคยไหม?

คุณมาสสุภา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ท่านอาจารย์ เคย แบบไหน? ขอพึ่งอย่างไร?

คุณมาสสุภา ก็ สำหรับหนูเอง ก็เคยฟังพระธรรมมาบ้าง ก็พอเรารู้สึกว่า เราเอามาใช้ อย่างเวลาเราฟังพุทธประวัติ.....

ท่านอาจารย์ ค่ะ อย่างนี้ ไม่เข้าใจ เพราะเหตุว่า ฟังแล้วเอามาใช้ ไม่เข้าใจเลยว่า ธรรมะ คือ อะไร? มีหรือเปล่า? ใช้ได้หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่ใช่ความเข้าใจในคำสอน

คุณมาสสุภา แล้วอย่างนี้ ถ้าหากว่าหนูจะเริ่มฟัง จะเริ่มฟังจากเรื่องไหนดี? เพื่อที่จะให้ เจริญปัญญามากขึ้น

ท่านอาจารย์ "ปัญญา" คือ อะไร?

คุณมาสสุภา ไม่ทราบค่ะ (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ คือ คำว่า ไม่ทราบ ไม่รู้ คือ ไม่ได้ฟังให้เข้าใจ แต่ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ให้เข้าใจ "ทุกคำ" เข้าใจอย่างละเอียด และ อย่างถูกต้องด้วย อย่าง "พึ่ง" นี่ ไม่ใช่พึ่ง ให้เรา หายเจ็บไข้ได้ป่วย พึ่งให้เราได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ

แต่ "พึ่ง" จากการที่ไม่เคยมีความรู้ ความเข้าใจ ในสิ่งที่มีจริงๆ เลย เป็นความรู้ ความเข้าใจ ในสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอะไร ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว เลย "ทุกคำ" เป็น "คำจริง" ที่ตรัสไว้ดีแล้ว ทุกกาลสมัย สามารถที่จะเข้าใจได้

เพราะฉะนั้น "พึ่ง" ที่นี่ "พึ่ง" พระปัญญาคุณ พึ่งพระบริสุทธิคุณ พึ่งพระมหากรุณาคุณ "พึ่ง" พระปัญญาคุณ แน่นอนที่สุด ที่ทุกคนรู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ เท่าเทียมพระองค์ได้เลย แม้ท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวก "พึ่ง" พระบริสุทธิคุณ เพราะเหตุว่า ไม่ได้ทรงหวังสิ่งใด จากใครทั้งสิ้น แม้ว่า จะทรงบำเพ็ญเพียร เป็นพระมหาโพธิสัตว์ นานกว่าพระปัจเจกโพธิสัตว์ นานกว่าสาวกโพธิสัตว์ เพื่อที่จะได้ช่วยคนอื่น ให้สามารถเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ โดยไม่ได้หวังอะไรเลย นี่คือ พระบริสุทธิคุณ คนนั้น จะอยู่แสนไกลสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ว่า ถ้าเขาสามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ พระมหากรุณาคุณ ก็เสด็จไป เพื่อที่จะให้เขา ได้ยิน ได้ฟัง

เพราะมิฉะนั้นแล้ว ตลอดชาตินี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะมี ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเลย ลองคิดถึง จากความไม่รู้มาก่อน นานมาก...แล้วก็...เพิ่งได้ยิน...ได้ฟัง...เพิ่งรู้บ้าง...ห่างกันไหม?....ไกลกันไหม?...กับการที่...ไม่เคยรู้เลย....

เพราะฉะนั้น พระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน? ยิ่งกว่าใครทั้งหมด โดยความบริสุทธิ์ ที่ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเกื้อกูล คนที่ทรงรู้ว่า คนนี้ เมื่อได้ฟังธรรมะแล้ว เขาจะเจริญขึ้น ในทางธรรม ถึงระดับไหน ถึงระดับ ดับกิเลสได้ ถึงความเป็นพระอริยบุคคลเป็นต้นไป ตั้งแต่พระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นพระบริสุทธิคุณ จาก "ทุกคำ" ในพระไตรปิฎก ที่ทรงแสดง ตรัสไว้ดีแล้ว พึ่งพระมหากรุณาคุณด้วย เพราะเหตุว่า ๔๕ พรรษา เพื่อ "คนอื่น" ทั้งหมด

ไม่มีใคร ที่จะมีพระมหากรุณา ที่ตั้งแต่เช้า บางที เมื่อตื่นบรรทมแล้ว ก็พิจารณาว่า ใครอยู่ในข่ายพระญาณ ที่เขาสามารถที่จะฟังพระธรรมได้ แล้วก็ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายค่ำ ไม่คำนึงถึงเลย มีการแสดงธรรมะ หลังจากที่บิณฑบาตรแล้ว หรือ แม้ก่อนนั้น เป็นเวลาที่ยังเช้ามาก ก็เสด็จไปโปรด นี่ค่ะ แถวนี้ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะที่คยา สาวัตถี โกสัมพี ที่ไหนก็ตาม ก่อนที่จะถึงเวลาบิณฑบาตร ก็เสด็จไปสนทนาธรรมด้วย กับ คนที่สะสมมา ที่จะเข้าใจได้

หรือว่า เมื่อหลังจากภัตกิจ เสวยพระกระยาหารแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการแสดงธรรม แล้วแต่ใครจะไปเฝ้า แล้วก็ตอนเย็น ชาวเมืองก็ถือ เครื่องสักการะ ดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อที่จะไปเฝ้า ฟังพระธรรม ตอนค่ำ ก็ยังมี แล้วแต่ว่าจะเป็นเวลาใด แม้แต่เทพ พรหม ก็ได้มาเฝ้า เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง วันหนึ่ง ใครจะมีความกรุณาต่อสัตว์โลก เท่าเทียมกับพระองค์ เป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น การถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง เพราะ รู้พระคุณ แล้วก็มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง เมื่อได้ศึกษา ได้เข้าใจแล้ว จึงจะ "รู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่า พระธรรม ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้ และ พระธรรมก็ลึกซึ้ง ก็ไม่ประมาทในการที่จะศึกษา ด้วยความเคารพ คือ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง จนกระทั่ง สามารถที่จะมีธรรมะ ที่จะนำไปสู่การ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง เพื่อที่จะถึงการรู้ธรรมะ จริงๆ ตรงตามที่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็ สามารถที่จะ ดับกิเลส ถึงความเป็นพระสงฆ์ มีอริยสาวก เป็นที่พึ่ง

มิฉะนั้นแล้ว เราเกิดมาทำไม? รู้พระคุณทำไม? ฟังพระธรรมทำไม? ถ้าไม่ใช่เพื่อ การที่จะถึง การดับกิเลส ถึงความเป็นพระอริยสาวก ซึ่งบุคคลที่ถึงแล้วในอดีต มีมาก แต่คนที่ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อน อยู่ที่ไหน? ได้ฟัง มากน้อยแค่ไหน? เราไม่สามารถที่จะพบบุคคลนั้นได้ เพราะเราไม่รู้จัก ใช่ไหม? ทุกคนก็ไปสู่สุคติภูมิ ไปสวรรค์ชั้นต่างๆ ท่านอนาถบิณฑิกะ ก็อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต มากมาย

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

"...ซึ่งการบูชานี้ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงไว้ว่า จิต เป็นเครื่องบูชา จิต ซึ่งรวมถึงเจตสิกด้วย แต่ถ้าเป็นกุศลจิต ไม่ใช่การบูชา ต้องเป็นจิตที่ผ่องใส เป็นกุศลจิต ที่ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดี ที่จะปรุงแต่ง ในขณะนี้ มีขณะจิตที่บูชาบ้างไหม? ที่เป็นการบูชา ที่แสดงว่าจิตเป็นที่บูชา หรือ เครื่องบูชา เพราะว่าขณะนั้น จิตผ่องใสเป็นกุศล ด้วยมีโสภณเจตสิกต่างๆ มีสติ สัทธา หิริ โอตตัปปะ มีปัญญาด้วยก็ได้ ปรุงแต่งให้จิตขณะนั้น มีความอ่อนน้อม ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ด้วยความที่เป็นผู้เข้าใจพระธรรม..." (อ.อรรณพ หอมจันทร์)

...ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้าฯ...

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 192

๒. ฐานสูตร

ว่าด้วยลักษณะผู้มีศรัทธา ๓ ประการ

[๔๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส พึงรู้ได้ด้วยสถาน๓ สถาน ๓ คืออะไร คือ เป็นผู้ใคร่ในการเห็นผู้มีศีลทั้งหลาย ๑ เป็นผู้ใคร่เพื่อจะฟังธรรม ๑ มีใจปราศจากมลทิน คือความตระหนี่อยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีมืออันล้างไว้ (คอยจะหยิบของให้ทาน) ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ พอใจในการให้และการแบ่งปัน ๑ ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส พึงรู้ได้ด้วยสถาน ๓ นี้แล
ผู้ใดใคร่ในการเห็นผู้มีศีล ปรารถนาจะฟังพระสัทธรรม กำจัดมลทิน คือความตระหนี่เสียได้ ผู้นั้นชื่อว่า ผู้มีศรัทธา. จบฐานสูตรที่ ๒

เพราะฉะนั้น สำหรับในยุคนี้ สมัยนี้ ถ้าไม่มีการสะสม ความเข้าใจ หรือ ศรัทธา มาบ้าง เราก็คงจะไม่ฟังต่อไป เพราะว่า (พระธรรม) เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก

เพราะฉะนั้น จะเริ่มเมื่อไหร่? ที่ไหน? ก็คือว่า ได้ฟังคำไหน พูดถึงความจริง ที่กำลังมีในขณะนั้น ก็เป็นผู้ที่รู้ว่า เราไม่เคยรู้ความจริงนั้นเลย แล้วก็เมื่อได้ยิน ได้ฟัง จึงเริ่มเข้าใจบ้าง จนกว่าจะรู้จริงๆ ไม่ต้องไปคอยพรุ่งนี้ ไม่ต้องไปคอยเย็นนี้ เดี๋ยวนี้เอง!!!

ภายหลังพิธีถวายพระรัตนบุษยภาชน์ฯ เสร็จแล้วท่านอาจารย์ และ คณะฯ ได้ร่วมกันถวายเพล และ ย่ามบรรจุสิ่งของอันควร แด่พระภิกษุ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๗๔

๒. ทุติยทานสูตร

(ว่าด้วยการให้ทานด้วยศรัทธา เป็นต้น)

[๑๒๒] ธรรม ๓ ประการนี้ คือ การให้ทานด้วย ศรัทธา ๑ การให้ทานด้วยหิริ ๑ การให้ทานอันหาโทษมิได้ ๑ เป็นธรรมที่สัปบุรุษดำเนินมาแล้ว บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรม ๓ ประการนี้ ว่า เป็นทางไปสู่สวรรค์ ชนทั้งหลายย่อมไปสู่สรรค์ได้ ด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล จบ ทานสูตรที่ ๒

[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑[เล่มที่ 6] หน้าที่ ๔๔

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ปฐมเทศนา

[๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลวเป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑. การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิดย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลาง ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วย ปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?

ปฏิปทาสายกลางนั้นได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้นที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.

ท่านอาจารย์ เดินแจกทาน ไปตลอดทาง ที่ทุกท่านจะนำโคมประทีปที่นำมา หลังการเวียนประทักษิณเสร็จแล้วนี้ ไปถวายไว้ ณ พระวิหารมูลคันธกุฎี เมืองสารนาถ เพื่อประโยชน์แก่ชนเหล่าอื่นต่อไป

การได้ติดตามท่านอาจารย์ไปในหลายที่ ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็น และ มีความปีติซาบซึ้ง ในความอ่อนน้อมอย่างยิ่ง ต่อพระรัตนตรัยของท่าน หลังการเดินเวียนประทักษิณโดยสามรอบ ณ ธัมเมกขสถูป แล้ว เมื่อเดินทางต่อมาถึง พระวิหารมูลคันธกุฎี อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ซึ่ง ปัจจุบัน สถิตย์อยู่ภายในพระรัตนบุษยภาชน์ อโศกมหาราชปริวรรต ที่นำมาถวายไว้ เมื่อท่านอาจารย์เดินทางมาถึง ก็เดินเวียนประทักษิณรอบพระวิหาร โดยทันที ประหนึ่งว่า ท่านได้มาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ผู้ทรงเสมือนยังประทับอยู่ภายในพระมูลคันธกุฎีแห่งนี้ อันยังความปลาบปลื้มแก่ข้าพเจ้า ขณะเดินตามท่าน ด้วยความรู้สึกปีติ ล้นพ้นประมาณ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมา และ ผ่านไป ในทุกๆ ขณะนี้ ให้ได้เห็นว่า เป็นบุญอันทุกบุคคลได้กระทำไว้แต่ปางก่อนโดยแท้ ที่นอกจากจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ในประเทศขอบขัณฑสีมาอันควรนี้ และ ในกาลที่พระศาสนาคือคำสอน ยังดำรงอยู่ ประการสำคัญที่สุด คือ การได้พบกับ กัลยาณมิตร ผู้เมตตายิ่ง ในกาละอันแสนยาก ท่านผู้มีนามบัญญัติในชาตินี้ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้ซึ่งถ่ายทอดพระธรรม อันพระผู้มีพระภาคฯเจ้า ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ด้วยความซื่อตรงยิ่ง ด้วยความเพียรยาวนาน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งยังเป็นผู้นำ ในการประกอบการเจริญกุศลทุกประการ เช่นในครั้งสำคัญครั้งนี้ และ ย้ำเตือนให้ทุกคนเป็นคนดี และ ศึกษาพระธรรม อันจะเป็นบารมีที่ถึงพร้อมแก่ทุกบุคคล ในวันหนึ่ง แม้แสนไกล

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

.........

ตอนต่อไป [ตอนที่ ๔] สนทนาธรรม ตามโอกาส วาระสมัย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nucharat
วันที่ 12 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Noparat
วันที่ 12 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

"จะเริ่มเมื่อไหร่? ที่ไหน?

ก็คือว่า ได้ฟังคำไหน พูดถึงความจริง ที่กำลังมีในขณะนั้น

ก็เป็นผู้ที่รู้ว่า เราไม่เคยรู้ความจริงนั้นเลย

แล้วก็เมื่อได้ยิน ได้ฟัง จึงเริ่มเข้าใจบ้าง จนกว่าจะรู้จริงๆ

ไม่ต้องไปคอยพรุ่งนี้ ไม่ต้องไปคอยเย็นนี้

เดี๋ยวนี้เอง ค่ะ"

------------------------------

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมา และ ผ่านไป ในทุกๆ ขณะนี้

ให้ได้เห็นว่า เป็นบุญอันทุกบุคคลได้กระทำไว้แต่ปางก่อนโดยแท้

ที่นอกจากจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ในประเทศขอบขัณฑสีมาอันควรนี้

และ ในกาลที่พระศาสนาคือคำสอน ยังดำรงอยู่

ประการสำคัญที่สุด คือ การได้พบกับ กัลญาณมิตร ผู้เมตตายิ่ง ในกาละอันแสนยาก

ท่านผู้มีนามบัญญัติในชาตินี้ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ผู้ซึ่งถ่ายทอดพระธรรม อันพระผู้มีพระภาคฯเจ้า ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ด้วยความซื่อตรงยิ่ง

ด้วยความเพียรยาวนาน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ

ทั้งยังเป็นผู้นำ ในการประกอบการเจริญกุศลทุกประการ เช่นในครั้งสำคัญครั้งนี้

และ ย้ำเตือนให้ทุกคนเป็นคนดี และ ศึกษาพระธรรม

อันจะเป็นบารมีที่ถึงพร้อมแก่ทุกบุคคล ในวันหนึ่ง แม้แสนไกล.

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"การถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง

เพราะ รู้พระคุณ

แล้วก็มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง

เมื่อได้ศึกษา ได้เข้าใจแล้ว

จึงจะ "รู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ว่า พระธรรม ลึกซึ้งมาก

เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้ และ พระธรรมก็ลึกซึ้ง

ก็ไม่ประมาท

ในการที่จะศึกษา ด้วยความเคารพ

คือ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง

จนกระทั่ง สามารถที่จะมีธรรมะ ที่จะนำไปสู่การ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ก็มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง เพื่อที่จะถึงการรู้ธรรมะ จริงๆ ตรงตามที่ได้ยิน ได้ฟัง

แล้วก็ สามารถที่จะ ดับกิเลส ถึงความเป็นพระสงฆ์

มีอริยสาวก เป็นที่พึ่ง"

......................................

ให้ทุกคนเป็นคนดี และ ศึกษาพระธรรม

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เข้าใจ
วันที่ 12 ธ.ค. 2555

สาธุ กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
panasda
วันที่ 12 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 13 ธ.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้

และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 13 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kanchana.c
วันที่ 13 ธ.ค. 2555

ไม่รู้คำชมใดที่เหมาะสมสำหรับศรัทธา ความเพียร และฝีมือค่ะ ขออนุโมทนาและให้เจริญด้วยกุศลทุกประการยิ่งๆ ขึ้นไปก็แล้วกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 13 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 13 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 14 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะว่า ใครจะคิดล่ะคะ?

ว่าเรามีโอกาสที่จะได้สร้างที่ประดิษฐาน ในเมืองที่ไม่ใช่เมืองของเรา

แล้วก็ เป็นเมืองของชาวพุทธทั่วโลก ก็ให้ความสำคัญ แต่เราก็ได้มีโอกาสสร้าง...

...พวกเราร่วมใจกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร

ทั้งเงิน ทั้งเครื่องประดับ ทั้งหมด

ทุกคนก็จะได้เห็น สิ่งซึ่ง คงจะหาใครทำ ในความรู้สึกของดิฉันเอง

ก็รู้สึกว่า ยาก...ที่จะทำได้อย่างนี้

ถ้าเป็นสมัยก่อนคงบอกว่า "บุญตา" นะคะ ที่ได้เห็น

แต่ ที่ได้เห็น ลึกกว่านั้น ก็คือว่า

ความเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียว

และ การมีศรัทธา ในการที่จะทำทุกอย่าง เพื่อพระศาสนา...."

เพราะว่า ใครจะคิดล่ะคะ?

ว่าเรามีโอกาสที่จะได้สร้างที่ประดิษฐาน ในเมืองที่ไม่ใช่เมืองของเรา

แล้วก็ เป็นเมืองของชาวพุทธทั่วโลก ก็ให้ความสำคัญ แต่เราก็ได้มีโอกาสสร้าง...

...พวกเราร่วมใจกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร

ทั้งเงิน ทั้งเครื่องประดับ ทั้งหมด

ทุกคนก็จะได้เห็น สิ่งซึ่ง คงจะหาใครทำ ในความรู้สึกของดิฉันเอง

ก็รู้สึกว่า ยาก...ที่จะทำได้อย่างนี้

ถ้าเป็นสมัยก่อนคงบอกว่า "บุญตา" นะคะ ที่ได้เห็น

แต่ ที่ได้เห็น ลึกกว่านั้น ก็คือว่า

ความเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียว

และ การมีศรัทธา ในการที่จะทำทุกอย่าง เพื่อพระศาสนา...."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาใน

ความเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียว ของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
aditap
วันที่ 14 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Boonyavee
วันที่ 15 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

และขอกราบเท้าบูชาท่านอาจารย์ สุจินต์ค่ะ

"ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"

ทำให้นึกถึงอุปมา ดั่งมาจากข้าวเปลือกกองใหญ่ เพื่อถวายพระพร

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแม้แต่พระองค์ก็ทรงเคารพในพระธรรมอย่างสูงสุดเช่นกัน

ขอกราบขอบพระคุณ คุณวันชัย และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ผิน
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
captpok
วันที่ 18 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
napachant
วันที่ 19 ธ.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลทุกๆ ประการของคุณวันชัย ภู่งาม ในความวิริยะจัดทำภาพที่สวยงามให้ได้ชมด้วยความปิติเหมื่อนได้ไปอยู่ในเหตุการณ์.....

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ....

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
jaturong
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
kinder
วันที่ 22 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
pamali
วันที่ 28 ธ.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
pattarakornnontajid
วันที่ 14 ต.ค. 2563

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ...ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ