พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. วัตถูปมสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ส.ค. 2564
หมายเลข  36006
อ่าน  897

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 433

๗. วัตถูปมสูตร

อุปกิเลส ๑๖ หน้า 434

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาสุภาษิต หน้า 436

สุนทริกพราหมณ์บรรลุพระอรหัต หน้า 438

อรรถกถาวัตถูปมสูตร หน้า 439


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 17]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 433

๗. วัตถูปมสูตร

[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

[๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ ช่างย้อมพึงนําเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใดๆ คือสีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมไม่ดีมีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใดเมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

ผ้าที่บริสุทธิ์หมดจด ช่างย้อมพึงนําเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมดีมีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

[๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่าไหนเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ] อภิชฌาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ําเสมอด้วยอํานาจความเพ่งเล็ง] พยาบาท [ปองร้ายเขา] โกธะ [โกรธ] อุปนาหะ [ผูกโกรธไว้] มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน] ปลาสะ [ตีเสมอ] อิสสา [ริษยา] มัจฉริยะ [ตระหนี่] มายา [มารยา] สาเถยยะ [โอ้อวด] ถัมภะ [หัวดื้อ] สารัมภะ [แข็งดี] มานะ [ถือตัว] อติมานะ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 434

[ดูหมิ่นท่าน] มทะ [มัวเมา] ปมาทะ [เลินล่อ] [เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต].

อุปกิเลส ๑๖

[๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตด้วยประการฉะนี้แล้ว ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะมายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตเสีย.

[๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุรู้ชัดว่า อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสามัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะปมาทะ เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ละอภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะอิสสา มัจฉริยะ มายา สาเลยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะมทะ ปมาทะ อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตเสียได้แล้ว ในกาลนั้น เธอเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธเจ้าว่าแม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 435

ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จําแนกธรรม เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระธรรมว่า ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญูชนจะพึงรู้เฉพาะคน [แล] เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นั่นแหละ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรรับเครื่องสักการะ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรทักขิณา เป็นผู้ควรทําอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ก็เพราะเหตุที่กิเลสนั้นๆ อันภิกษุนั้นสละได้แล้ว คายแล้วปล่อยแล้ว ละเสียแล้ว สละคืนแล้ว เธอย่อมได้ความรู้แจ้งอรรถ ย่อมได้ความรู้แจ้งธรรม ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรมว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า เราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระธรรม เราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระสงฆ์ และเพราะกิเลสนั้นๆ อันเราสละได้แล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละเสียแล้ว สละคืนแล้ว ดังนี้ เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น

[๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นแลมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ ถึงแม้จะฉันบิณฑบาตข้าวสาลีปราศจากเมล็ดดํา มีแกงมีกับมิใช่น้อย การฉันบิณฑบาตของภิกษุนั้น ก็ไม่มีอันตรายเลย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าอันเศร้าหมอง มลทินจับ อาศัยน้ำอันใส

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 436

จึงเป็นผ้าหมดจดผ่องใส อีกอย่างหนึ่ง ทองคําอาศัยเบ้าหลอมที่ทําทองให้บริสุทธิ์ จึงเป็นทองบริสุทธิ์ผ่องใส ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล มีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ ถึงแม้จะฉันบิณฑบาตข้าวสาลีปราศจากเมล็ดดํา มีแกงมีกับมิใช่น้อย การฉันบิณฑบาตของภิกษุนั้นก็ไม่มีอันตรายเลย.

[๙๗] ภิกษุนั้นมีใจประกอบด้วยเมตตา ประกอบด้วยกรุณา ประกอบด้วยมุทิตา ประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปยังทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกันมีใจประกอบด้วยเมตตา ประกอบด้วยกรุณา ประกอบด้วยมุทิตา ประกอบด้วยอุเบกขา อันไพบูลย์เป็นมหัคคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปยังทิศเบื้องบน เบื้องต่ํา ด้านขวาง ทั่วโลกทั้งสิ้น โดยเป็นผู้หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่ทุกแห่ง ด้วยประการฉะนี้ เธอย่อมรู้ชัดว่า สิ่งนี้มีอยู่ สิ่งที่เลวทรามมีอยู่ สิ่งที่ประณีตมีอยู่ ธรรมเป็นเครื่องสลัดออกที่ยิ่งแห่งสัญญานี้มีอยู่ เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสาวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทํา ทําเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ เรากล่าวว่าเป็นผู้สรงสนานแล้วด้วยเครื่องสนานอันเป็นภายใน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาสุภาษิต

[๙๘] ก็โดยสมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมจะ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 437

เสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกาเพื่อจะสรงสนานหรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยแม่น้ำพาหุกาเล่า แม่น้ำพาหุกาจักทําประโยชน์อะไรได้.

สุ. ท่านพระโคดม แม่น้ำพาหุกา ชนเป็นอันมากยอนรับว่าให้ความบริสุทธิ์ได้ ท่านพระโคดม แม่น้ำพาหุกา ชนเป็นอันมากยอมรับว่าเป็นบุญ อนึ่ง ชนเป็นอันมาก พากันไปลอยบาปกรรมที่ตนทําแล้วในแม่น้ำพาหุกา.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า

คนพาล มีบาปกรรม มุ่งไปยังแม่น้ำพาหุกา ท่าน้ำอธิกักกะ แม่น้ำคยา แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสดี ท่าน้ำปยาคะ และแม่น้ำพาหุมดี แม้เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำสุนทริกา ท่าน้ำปยาคะ หรือแม่น้ำพาหุกา จักทําอะไรได้ จะชําระนรชนผู้มีเวรทํากรรมอันหยาบช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้น ให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย สําหรับบุคคลผู้หมดจดแล้วจะประสบผัคคุณฤกษ์ทุกเมื่อ สําหรับบุคคลผู้หมดจดแล้วรักษาอุโบสถทุกเมื่อ วัตรของบุคคลผู้หมดจดแล้ว มีการงานอันสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงสนานในคําสอนของเรานี้เถิด จงทําความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้าท่านไม่กล่าวคําเท็จไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือเอาวัตถุที่เขาไม่ให้

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 438

เป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ไซร้ ท่านจักต้องไปยังแม่น้ำคยาทําไม แม้การดื่มน้ำในแม่น้ำคยาก็จักช่วยอะไรท่านได้.

สุนทริกพราหมณ์บรรลุพระอรหัต

[๙๙] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ํา เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุดีจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสํานักของท่านพระโคดมผู้เจริญเถิด สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชาอุปสมบทในสํานักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ท่านพระภารทวาชะครั้นอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทําให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้มีความต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทํา ทําเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉะนั้นแล.

จบ วัตถูปมสูตรที่ ๗

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 439

อรรถกถาวัตถูปมสูตร (๑)

[๙๑] วัตถูปมสูตร เริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ (ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้).

บรรดาคําเหล่านั้น คํานี้ว่า ภิกฺขเว ยถา วตฺถํ ในคําว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว วตฺถํ เป็นคําอุปมา. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอุปมาในที่ลางแห่งทรงแสดงอุปมาก่อนทีเดียว แล้วจึงทรงแสดงอุปไมย (เนื้อความ) ในภายหลัง ในที่ลางแห่งทรงแสดงอุปไมยก่อนแล้วจึงทรงแสดงอุปมาภายหลัง ในที่ลางแห่งทรงนําข้ออุปมามาแสดงประกอบอุปไมย ในที่ลางแห่งทรงนําอุปไมยแสดงประกอบอุปมา. จริงอย่างนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เมื่อจะทรงแสดงเทวทูตสูตรแม้ทั้งสิ้นให้เป็นอุปมาก่อน แล้วแสดงอุปไมยในภายหลัง จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลัง มีประตูเดียวกัน คนผู้มีตาดียืนอยู่ตรงกลาง พึงมองเห็นในเรือน ๒ หลังนั้นได้ (ตลอด). อนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอุปไมย (เนื้อความ) ที่เป็นอิทธิวิธิแม้ทั้งสิ้นก่อนแล้วแสดงอุปมาในภายหลัง จึงตรัสโดยนัยเป็นต้นว่า ผู้มีฤทธิ์ย่อมเดินทะลุออกนอกฝา นอกกําแพง นอกภูเขา เปรียบเหมือนเดินไปในอากาศ (ที่ว่าง) ฉะนั้น.

เมื่อจะทรงเอาอุปมามาล้อม (แสดงประกอบ) อุปไมย จึงได้ตรัสจุลลสาโรปมสูตรแม้ทั้งสิ้นโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบ


(๑) อรรถกถาเรียก วัตถสูตร.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 440

เหมือนคนผู้มีความต้องการแก่นไม้ จึงแสวงหาแก่นไม้ฉะนั้น. อนึ่ง เมื่อจะทรงเอาอุปไมย (เนื้อความ) มาล้อม (แสดงประกอบ) อุปมา จึงตรัสสูตรทั้งหลายมี อลคัททสูตร และมหาสาโรปมสูตร เป็นต้น แม้ทั้งสิ้นโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรลางพวกในโลกนี้ ย่อมเรียนเอาธรรมคือสุตตะ ฯลฯ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษฉะนั้น นะภิกษุทั้งหลาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้นั้น ทรงแสดงคําอุปมาก่อนในที่นี้แล้วทรงแสดงอุปไมยในภายหลัง.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอย่างนี้.

ตอบว่า เพราะอัธยาศัยของบุคคล หรือเพราะทรงยักย้ายเทศนา.

จริงอยู่บุคคลเหล่าใดเข้าใจอุปไมยที่พระองค์ตรัสแสดงอุปมาไว้ก่อนได้โดยง่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงอุปมาก่อน แก่กุลบุตรเหล่านั้น. ในทุกบทก็นัยนี้. อนึ่ง เพราะทรงแทงตลอดธรรมธาตุใดด้วยดี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่า ทรงชํานาญการยักย้ายเทศนาธรรมธาตุนั้นอันพระองค์ทรงแทงตลอดด้วยดีแล้ว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จึงทรงเป็นธรรมิศรธรรมราชา ชํานาญการยักย้ายพระธรรมเทศนา พระองค์ย่อมทรงแสดงธรรมได้ตามที่ทรงปรารถนาด้วยประการดังกล่าวมานี้ พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง (ธรรม) อย่างนี้ คือทั้งเพราะ (ตาม) อัธยาศัยของบุคคล ทั้งเพราะทรงยักย้ายเทศนานี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตฺถํ ได้แก่ผ้าสะอาดตามปกติ.

บทว่า สงฺกิลิฏํ มลคฺคหิตํ ความว่า ชื่อว่าเศร้าหมองแล้วเพระเครื่องเศร้าหมอง มีฝุ่นธุลีเป็นต้น ที่ปลิวมาเกาะ และชื่อว่าอันมลทินจับแล้ว เพราะถูกมลทินมีคราบเหงื่อเป็นต้นเกาะแล้ว.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 441

รังคชาตในบทว่า รงฺคชาเต นี้ ได้แก่น้ำย้อมนั่นเอง.

บทว่า อุปสํหเรยฺย เปลว่า พึงน้อมเข้าไป.

บทว่า ยทิ นีลกาย ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า เพื่อต้องการให้มีสีเขียว. ในทุกบทก็อย่างนี้. จริงอยู่ ช่างย้อมเมื่อจะนําไปย้อม เพื่อต้องการให้เป็นสีเขียว ก็จะนําไปแช่ลงในน้ำย้อมสีเขียว มีสีดําสําริดและสีเขียวใบไม้เป็นต้น เมื่อจะนําผ้าไปย้อม เพื่อต้องการให้เป็นสีเหลือง ก็จะนําผ้าไปแช่ในน้ำย้อมสีเหลือง เช่นกับดอกกรรณิการ์เมื่อจะน้ำผ้าไปย้อมเพื่อต้องการให้เป็นสีแดง ก็จะนําผ้าไปแช่ในน้ำย้อมสีแดง เช่นกับดอกชบา เมื่อจะนําผ้าไปย้อมเพื่อต้องการให้เป็นสีบานเย็น ก็จะนําผ้าไปแช่ในน้ำย้อมสีแดงเรื่อ เช่นกับดอกกณวีระ. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยทิ นีลกาย ฯเปฯ ยทิ มฺเชฏิกาย ดังนี้.

บทว่า ทุรตฺตวณฺณเมวสฺส ได้แก่พึงเป็นผ้ามีสีที่ย้อมแล้วไม่ดีนั่นเอง.

บทว่า อปริสุทฺธวณฺณเมวสฺส ความว่า แม้สีเขียวของผ้านั้นก็จะไม่สดใส แม้สีที่เหลือ (ก็ไม่สดใสเหมือนกัน). เป็นความจริง ผ้าเช่นนั้นแม้ที่เขาแช่ลงไปในหม้อน้ำย้อมสีเขียว ก็ไม่เป็นสีเขียวแท้. แม้แช่ลงไปในหม้อน้ำย้อมที่เหลือ ก็จะไม่เป็นสีแท้ มีสีเหลืองแท้เป็นต้น ย่อมมีสีเขียวซีด สีหญ้าหางช้างแห้ง สีดอกกรรณิการ์แห้ง สีดอกชบาแห้ง และสีดอกกณวีระแห้งเท่านั้น.

บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ ความว่า ผ้านั้นเป็นเช่นนี้เพราะเหตุอะไรคือ เพราะมีอะไรเป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง น้ำย้อมที่ผ้านั้นเป็นเช่นนี้ คือมีสีไม่สวย สดใส เพระเหตุอะไร? ก็เพราะความที่ผ้าผืนนั้นไม่สะอาด

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 442

นั้นแหละเป็นเหตุในข้อนี้ ไม่ใช่เหตุอะไรอื่น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อปริสุทฺธตฺตา ภิกฺขเว วตฺถสฺส ดังนี้. คําว่า เอวเมว เป็นคําอุปไมย.

สองบทว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏเ ความว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว.

ถ้าหากมีคําถามสอดเข้ามาว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงกระทําคําอุปมาไว้ด้วยผ้าอันเศร้าหมองแล้ว.

ตอบว่า เพื่อทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมาก. เปรียบเหมือนผ้าที่เศร้าหมอง เพราะมลทินที่ปลิวมาเกาะ. เมื่อซักอีกครั้งย่อมขาวสะอาดเพราะตามปกติเป็นของขาวสะอาดอยู่แล้ว ความพยายามใน (การซัก) ผ้านั้น จะไร้ผล ดุจความพยายามใน (การฟอก) ขนแกะที่ดําธรรมชาติ (ให้ขาวสะอาด) หามิได้ฉันใด. แม้จิตที่เศร้าหมองเพราะกิเลสทั้งหลายที่จรมาก็ฉันนั้น (คือ) ก็ตามปกติ จิตนั้นย่อมเป็นธรรมชาติที่สะอาดทีเดียวในวาระปฏิสนธิจิตและภวังคจิต. สมดังพระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนั้นเป็นธรรมชาติประภัสสร ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสที่จรมา จิตนั้นเมื่อได้รับการชําระให้บริสุทธิ์ บุคคลก็สามารถทําให้ประภัสสรยิ่งขึ้นอีกได้ ความพยายามในการชําระจิตนั้นย่อมไม่ไร้ผลแล. พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตพึงทราบว่า ทรงกระทําคําอุปมาด้วยผ้าที่เศร้าหมอง เพื่อจะทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมากด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา ความว่า เมื่อจิตเป็นเช่นนี้ ทุคติเป็นอันบุคคลพึงหวังได้ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ทุคติเป็นคติที่เขาพึงหวังได้อย่างนี้ว่า ผู้นี้จักถึงทุคติแน่นอน ไม่ถึงคติอื่น ดังนี้ คือ ทุคติเป็น

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 443

คติที่เขามีส่วนร่วมอย่างนี้. ก็ชื่อว่า ทุคตินี้นั้นมี ๒ อย่างคือ ปฏิปัตติทุคคติ และคติทุคคติ. ถึงแม้ปฏิปัตติทุคติ ก็มี ๒ อย่างคือ อาคาริยปฏิปัตติทุคติ และอนาคาริยปฏิปัตติทุคคติ. อธิบายว่า คฤหัสถ์มีจิตใจเศร้าหมอง ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทั้งสิ้นบ้าง นี้ชื่อว่า อาคาริยปฏิปัตติทุคติ ของคฤหัสถ์นั้น.คฤหัสถ์นั้นดํารงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก (ตายไป) ย่อมไปสู่นรกบ้าง กําเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง นี้ชื่อว่า คติทุคคติ ของคฤหัสถ์นั้น. ฝ่ายบรรพชิต บวชในศาสนานี้แล้ว มีจิตใจเศร้าหมองอาสารับใช้คนอื่นทําตัวเป็นหมอ ตะเกียกตะกายทําลายสงฆ์ ทําลายเจดียสถาน เลี้ยงชีพด้วยการให้ไม้ไผ่เป็นต้น ประพฤติอนาจาร และเที่ยวไปยังสถานที่อโคจรแม้ทั้งสิ้น นี้ชื่อว่า อนาคาริยปฏิปัตติทุคคติ ของบรรพชิตนั้น. บรรพชิตนั้นดํารงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก (มรณภาพ) ย่อมไปสู่นรกบ้าง กําเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ชื่อว่าเป็นสมณยักษ์ สมณเปรต มีกายลุกโชติช่วงด้วยผ้าสังฆาฏิเป็นต้นที่ถูกไฟไหม้แล้ว ส่งเสียงร้องครวญครางเที่ยวไป นี้ชื่อว่า คติทุคคติ ของบรรพชิตนั้น.

บทว่า เสยฺยถาปิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มแสดงธรรมฝ่ายขาว (สุคติ). เนื้อความของธรรมฝ่ายขาวนั้น พึงทราบด้วยธรรมตรงกันข้ามที่ท่านกล่าวไว้แล้วในธรรมฝ่ายดํา (ทุคติ) นั่นแล.อนึ่ง ชื่อว่า สุคติ แม้ในที่นี้ก็มี ๒ อย่าง คือ ปฏิปัตติสุคติ และคติสุคติ. แม้ปฏิปัตติสุคติก็มี ๒ อย่าง คืออาคาริยปฏิปัตติสุคติ และอนาคาริยปฏิปัตติสุคติ. อธิบายว่า คฤหัสถ์มีจิตบริสุทธิ์ ย่อมงดเว้นจาก

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 444

การฆ่าสัตว์บ้าง จากการลักทรัพย์บ้าง บําเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ทั้งสิ้นบ้าง นี้ชื่อว่า อาคาริยปฏิปัตติสุคติ ของคฤหัสถ์นั้น. คฤหัสถ์นั้นดํารงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก (ตายไป) ย่อมเข้าถึงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่มนุษย์บ้าง ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่เทวดาบ้าง นี้ชื่อว่า คติสุคติ ของคฤหัสถ์นั้น. ฝ่ายบรรพชิตบวชในศาสนานี้มีจิตบริสุทธิ์ รักษาปาริสุทธิศีล ๔ หมดจด สมาทานธุดงค์ ๑๓ เรียนเอากรรมฐานอันเหมาะแก่ตนในอารมณ์ ๓๘ อยู่เสนาสนะอันสงัดทําบริกรรมกสิณ (จน) ให้เกิดฌานสมาบัติ ได้บรรลุโสดาปัตติมรรค ฯลฯ ได้บรรลุอนาคามิมรรค นี้ชื่อว่า อนาคาริยปฏิปัตติสุคติของบรรพชิตนั้น. บรรพชิตนั้นดํารงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก (มรณภาพ) ย่อมเกิดในตระกูลใหญ่ ๓ ตระกูล ในมนุษยโลกบ้าง ในเทพชั้นกามาวจร ๖ ชั้นบ้าง ในภพแห่งพรหม ๑๐ ภพบ้าง ในชั้นสุทธาวาส ๕ ชั้นบ้าง ในอรูปภพ ๔ บ้าง นี้ชื่อว่า คติสุคติ ของบรรพชิตนั้น.

[๙๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสว่า เมื่อจิตเศร้าหมองทุคติเป็นอันหวังได้ และเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ อย่างนี้แล้วบัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงอุปกิเลสทั้งหลายที่เป็นเหตุให้จิตเศร้าหมอง จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อุปกิเลสแห่งจิตเป็นไฉน? คืออภิสมโลภะ ดังนี้. บรรดาอุปกิเลสเหล่านั้น ความรักความพอใจในภัณฑะของตน ชื่อว่า อภิชฌา ความรักความพอใจในภัณฑะของคนอื่นชื่อว่า วิสมโลภะ. อีกอย่างหนึ่ง ความรักความพอใจในภัณฑะของตนหรือของคนอื่น จงยกไว้ ความรักความพอใจในฐานะที่ถูกที่ควร ชื่อว่า

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 445

อภิชฌา ความรักความพอใจในฐานะที่ไม่ถูกไม่ควร ชื่อว่า วิสมโลภะ.ส่วนพระเถระกล่าวไว้ว่า โลภะทุกอย่างจะไม่ชื่อว่า วิสมะก็หามิได้ เพราะพระบาลีว่า พวกเธอทําการแบ่งแยกไปทําไม จะเป็นในอารมณ์ที่เหมาะหรือไม่เหมาะก็ตาม ราคะก็เป็นวิสมะ โทสะก็เป็นวิสมะ โมหะก็เป็นวิสมะ. (เหมือนกัน) เพราะฉะนั้น โลภะนี้นั่นเอง ชื่อว่า อภิชฌา เพราะอรรถว่า เพ่งเล็ง ชื่อว่า วิสมะ เพราะอรรถว่า ไม่เหมาะ (ไม่ชอบธรรม) คําว่า อภิชฌา และ วิสมะ นี้ มีความหมายอันเดียวกันต่างกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น. ก็อภิชฌาวิสมโลภะนี้นั้น เกิดขึ้นแล้วย่อมทําร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้. เหมือนอย่างว่าอภิชฌาวิสมโภะนี้เป็นฉันใด พยาบาทอันเกิดมาจากอาฆาตวัตถุ (เหตุที่ตั้งแห่งความอาฆาต) ๙ อย่าง ความโกรธอันเกิดมาจากอาฆาตวัตถุ ๑๐ อย่าง ความผูกโกรธ อันครอบคลุมจิตบ่อยๆ ก็ฉันนั้น ความลบหลู่ อันการทําสิ่งที่เขาทําดีแล้วให้พินาศไป ไม่ว่าของคฤหัสถ์หรือของบรรพชิต (มีลักษณะเหมือนกัน) อธิบายว่า ฝ่ายคฤหัสถ์ (เดิมที) เป็นคนขัดสน (ครั้นแล้ว) ผู้มีกรุณาลางคนได้ยก (เขา) ไว้ในฐานะที่สูงส่ง ต่อมา (เขากลับกล่าวว่า) ท่านทําอะไรให้ข้าพเจ้า ชื่อว่าทําลายความดีที่คนผู้กรุณานั้นทําไว้แล้วให้พินาศไป ฝ่ายบรรพชิตแลจําเดิมแต่สมัยเป็นสามเณรน้อย อันอาจารย์หรืออุปัชฌาย์ท่านใดท่านหนึ่งอนุเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ และด้วยอุทเทศและปริปุจฉา ให้สําเหนียกความเป็นผู้ฉลาดในปกรณ์เป็นต้น ด้วยธรรมกถา สมัยต่อมา อันพระราชาและราชมหาอํามาตย์เป็นต้น สักการะเคารพแล้ว (เธอ) กลับขาดความ

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 446

ยําเกรงในอาจารย์และอุปัชฌาย์เที่ยวไป อันอาจารย์เป็นต้นกล่าวว่า ผู้นี้สมัยเขาเป็นเด็ก เราทั้งหลายช่วยอนุเคราะห์และส่งเสริมให้ก้าวหน้าอย่างนี้ ก็แต่ว่าบัดนี้ เขาไม่น่ารักเสียแล้ว ก็กล่าว (ตอบ) ว่า พวกท่านทําอะไรให้ผม ดังนี้ ชื่อว่า ทําลายความดีที่อุปัชฌาย์และอาจารย์เหล่านั้นทําแล้วให้พินาศไป ความลบหลู่ที่ทําความดีที่ท่านทําไว้แล้วให้พินาศไปของบรรพชิตนั้นย่อมเกิดขึ้นทําร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้.เหมือนอย่างว่า ความลบหลู่นี้เป็นฉันใด การตีเสมอ (ซึ่งได้แก่) การถือเป็นคู่แข่ง ก็ฉันนั้น เกิดขึ้นลามไปอ้างถึงบุคคลแม้เป็นพหูสูตโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านผู้เป็นพหูสูตเช่นนี้ ยังมีคติไม่แน่นอน (แล้ว) ท่านกับผมจะมีอะไรวิเศษเล่า. ความริษยา ได้แก่การนึกตําหนิสักการะเป็นต้นของคนอื่น. ความตระหนี่ ได้แก่ (การที่) ทนไม่ได้ที่สมบัติของตนมีคนอื่นร่วมใช้สอย. มายา ได้แก่กิริยาที่เป็นการประพฤติหลอกลวง. ความโอ้อวดเกิดขึ้นโดย (ทําให้) เป็นคนคุยโต. จริงอยู่คนคุยโตย่อมเป็นเหมือนปลาอานนท์.

เล่ากันว่า ปลาอานนท์ (ชอบ). เอาหางอวดปลา (พวกอื่นและ) เอาศีรษะอวดงู ให้ (ปลาและงูเหล่านั้น) รู้ว่าเราเป็นเช่นกับพวกท่าน.บุคคลผู้คุยโต ก็เช่นนั้นเหมือนกัน เข้าไปหานักพระสูตร หรือนักพระอภิธรรมใดๆ ย่อมกล่าวกะท่านนั้นๆ อย่างนี้ว่า ผมประพฤติประโยชน์เพื่อท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายต้องอนุเคราะห์ผม ผมจะไม่ทิ้งพวกท่านหรอกดังนี้. เมื่อเป็นอย่างนี้แลนักพระสูตรและนักอภิธรรมเหล่านั้นก็จักสําคัญ (เธอ) ว่า ผู้นี้มีความเคารพยําเกรงในเราทั้งหลาย ความโอ้อวดนี้แล

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 447

ของบุคคลนั้น เมื่อเกิดขึ้นโดย (ทําให้) เป็นคนคุยโตย่อมเกิดขึ้นทําร้ายจิตคือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้. เหมือนอย่างว่า ความโอ้อวดนี้เป็นฉันใด ความหัวดื้อก็ฉันนั้น เป็นตัวการทําให้ไม่ให้ประพฤติอ่อนน้อม เชิดศีรษะเพราะเป็นผู้กระด้าง เป็นเช่นกับสูบที่เต็มลม. ความแข็งดี มีการกระทํายิ่งกว่านั้น, ความแข่งดีนั้น แยกออกได้ ๒ ประเภท คือ ฝ่ายอกุศล และกุศล. ก็ในบรรดาความแข่งดี ๒ ประเภทนั้น สําหรับคฤหัสถ์ความแข็งดีเกิดขึ้นเพราะได้เห็นเครื่องประดับเป็นต้นที่คนอื่นทําแล้ว แล้วทําให้ทวีคูณๆ ขึ้นไปกว่านั้นๆ จัดเป็นอกุศล และสําหรับบรรพชิต (ขณะที่) บรรพชิตอื่น เล่าเรียนหรือกล่าวธรรมะมีประมาณเท่าใดๆ ความแข่งดีที่เกิดขึ้นด้วยการกระทําให้ทวีคูณๆ ไปกว่านั้นๆ ด้วยอํานาจแห่งมานะจัดเป็นอกุศล. ส่วนคฤหัสถ์ ความแข็งดีที่เกิดขึ้นเพราะได้เห็นคนอื่นถวายสลากภัตร ๑ ที่ แล้วตนเองประสงค์จะถวาย ๒ หรือ ๓ ที่ จัดเป็นกุศล.และสําหรับบรรพชิต เมื่อ (ได้ทราบว่า) ภิกษุอื่นเรียนได้ ๑ นิกายแล้ว ความแข็งดีเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยมานะ (แต่) เพราะได้เห็นภิกษุอื่นนั้น (เรียนได้แล้ว ๑ นิกาย) แล้วประสงค์จะครอบงําความเกียจคร้านของตนอย่างเดียว เรียนเอาให้ได้ ๒ นิกาย จัดเป็นกุศล. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอาความแข็งดีที่เป็นอกุศล. เพราะว่า ความแข็งดีที่เป็นอกุศลนี้ย่อมเกิดขึ้นทําร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต. อนึ่ง ความแข่งดีนี้เป็นฉันใด ความถือตัวก็ฉันนั้น เป็นไปด้วยอํานาจความพองตัวแห่งจิต เพราะอาศัยชาติ (กําเนิด) เป็นต้น มานะที่เป็นไปด้วยอํานาจ

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 448

ความพองตัวยิ่งแห่งจิต ชื่อว่า อตินานะ อาการที่รับเอาด้วยความมัวเมาชื่อว่ามทะ มทะที่เกิดขึ้นด้วยอํานาจการปล่อยจิตไปในกามคุณทั้งหลายชื่อว่า ปมาทะ ปมาทะย่อมเกิดขึ้นทําร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอุปกิเลส จึงทรงแสดงโลภะไว้เป็นอันดับแรก.

ตอบว่า เพราะโลภะนั้นเกิดขึ้นก่อนเพื่อน.

จริงอยู่ เมื่อสัตว์ทั้งปวงเกิดขึ้นในภพใดภพหนึ่ง โดยที่สุดแม้ในภูมิสุทธาวาส โลภะย่อมเกิดขึ้นก่อนเพื่อนด้วยอํานาจความยินดีในภพ ต่อจากนั้น อุปกิเลสนอกนี้มีพยาบาทเป็นต้น ย่อมเกิด ตามควรแก่ปัจจัยเพราะอาศัยปัจจัยที่ควรแก่ตน และไม่ใช่แก่อุปกิเลสของจิต ๑๖ อย่างนี้เท่านั้นเกิดขึ้น แต่พึงทราบว่าโดยนัยนี้ ย่อมเป็นอันรวมกิเลสแม้ทั้งหมดทีเดียว.

[๙๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงกิเลสเครื่องเศร้าหมองด้วยคําอธิบายเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความผ่องใส จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ส โข โส ภิกฺขเว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ วิทิตฺวา แปลว่า รู้อย่างนี้.

บทว่า ปชหติ ความว่า ละ (อุปกิเลสแห่งจิต) ด้วยอริยมรรคด้วยอํานาจแห่งสมุจเฉทปหาน.

ในบทว่า ปชหติ นั้น พึงทราบการละมีอยู่ ๒ อย่าง คือ (ละ) ตามลําดับกิเลส และตามลําดับมรรค. (จะอธิบายการละ) ตามลําดับกิเลสก่อน, กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือความเพ่งเล็ง) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข็งดี)

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 449

มานะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละได้ด้วยอรหัตตมรรค. กิเลส ๔ เหล่านี้คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท) โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เลินเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค. กิเลส ๖ เหล่านี้คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค. ส่วนการละตามลําดับมรรคจะอธิบายดังต่อไปนี้ :-

กิเลส ๖ เหล่านี้ คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค. กิเลส ๔ เหล่านี้ คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท) โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เล่นเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค.กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือ ความเพ่งเล็ง ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละด้วยอรหัตตมรรค. แต่ในที่นี้กิเลสเหล่านี้จะถูกฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรค หรือถูกฆ่าด้วยมรรคที่เหลือก็ตาม ถึงกระนั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคําเป็นต้นว่า บุคคลย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้ ทรงหมายเอาการละด้วยอนาคามิมรรคนั่งเอง. นี้เป็นการเกิด (แห่งผล) อันมาแล้วตามมรรคที่สืบต่อกันในที่นี้. ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมรรคที่ ๔ ไว้ในขั้นสูงสุดแล้ว การเกิดแห่งผลนั้นจึงจะถูก อุปกิเลสมีวิสมโลภะเป็นต้นที่เหลือจากอุปกิเลสที่ละได้แล้วด้วยตติยมรรค ย่อมเป็นอันละได้

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 450

ด้วยมรรคที่ ๔ นั้น. กิเลสที่เหลือย่อมเป็นอันละได้ด้วยมรรคที่ ๔ นี้เช่นกัน.เพราะว่า อุปกิเลสมีมักขะเป็นต้น แม้เหล่าใด ย่อมละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค อุปกิเลสแม้เหล่านั้น ย่อมเป็นอันละได้เด็ดขาดแล้วด้วยอนาคามิมรรคนั่นแล เพราะจิตอันเป็นสมุฏฐานแห่งอุปกิเลสมีมักขะเป็นต้นนั้นยังละไม่ได้โดยเด็ดขาด (ด้วยโสดาปัตติมรรค). แต่ในอธิการนี้อาจารย์ลางพวกพรรณนาการละได้ด้วยปฐมมรรคนั้นแล. คํานั้นไม่สมกับคําต้นและคําปลาย. อาจารย์ลางพวกพรรณนาวิกขัมภนปหานไว้ในอธิการนี้.คํานั้นเป็นเพียงความประสงค์ของอาจารย์พวกนั้นเท่านั้น.

[๙๕] บทว่า ยโต ในคําว่า ยโต โข ภิกฺขเว นี้ แปลว่าในกาลใด. ด้วยบทว่า ปหีโน โหติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการละในขณะแห่งอนาคามิมรรค.

บทว่า โส พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสาเทน นี้ พึงประกอบเข้ากับบทแต่ละบทอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุละวิสมโลภะได้ในกาลนั้นเธอย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.จริงอยู่ ภิกษุรูปนี้มีความเลื่อมใสอันเป็นโลกุตตระมาแล้วโดยอนาคามิมรรค สมัยต่อมาเมื่อภิกษุนี้ระลึกถึงอยู่ ซึ่งพระคุณของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม และพระสงฆ์ ความเลื่อมใสอันเป็นโลกิยะย่อมเกิดขึ้นได้.พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความเลื่อมใส ทั้งที่เป็นโลกิยะ และโลกุตตระทั้งหมดนั้นของภิกษุนั้น จึงตรัสคําเป็นต้นว่า พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสาเทน ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเวจฺจปฺปสาเทน ความว่า ด้วยความเลื่อมใส ชื่อว่าไม่หวั่นไหว คือไม่คลอนแคลน เพราะรู้พุทธคุณ ธรรมคุณ

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 451

และสังฆคุณ ตามเป็นจริง. เมื่อภิกษุนั้นระลึกถึงความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวนั้นเกิดขึ้นแล้วโดยวิธีใด บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงวิธีนั้น จึงทรงยังฐานะที่ตั้งแห่งอนุสสติ ๓ ให้พิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้. การพรรณนาเนื้อความแห่งที่ตั้งอนุสสติเหล่านั้น ท่านพระพุทธโฆษาจารย์กล่าวไว้แล้วอย่างละเอียดในอนุสสติกถาในวิสุทธิมรรค.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความเลื่อนใสทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระของพระอนาคามีนั้น อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงการละกิเลสและอานิสงส์มีโสมนัสเป็นต้น อันประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวที่เกิดขึ้นแก่พระอนาคามีผู้พิจารณาอยู่ จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ยโถธิ (๑) โข ปนสฺส ดังนี้. คํานั้นมีอธิบายว่า จริงอยู่ โสมนัสกล้าย่อมเกิดขึ้นแก่พระอนาคามีผู้พิจารณาอยู่ ถึงการละกิเลสของตนว่า กิเลสเหล่านี้ๆ เราละได้แล้ว เปรียบเหมือนโสมนัสกล้าเกิดขึ้นแก่พระราชาผู้ทรงปราบอันตรายคือโจร ที่ซ่องสุมอยู่บริเวณปลายแดนให้สงบแล้วเสด็จกลับมาประทับพิจารณาพระราชกิจนั้นอยู่ในพระมหานครนั้นฉะนั้น.พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงโสมนัสนั้น จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ยโถธิ (๑) โข ปนสฺส ดังนี้. คํานั้นมีอธิบายว่า พระอนาคามีนี้ใดพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า พระอริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ พระธรรม ฯลฯ (และ) ฯลฯ พระสงฆ์เป็นบุญเขตอันยอดเยี่ยมของชาวโลก กิเลสนั้นเป็นอันพระอนาคามีสละแล้วสลัดทิ้งแล้วตามส่วนแล ได้แก่สละแล้วตามอํานาจส่วนของตนๆ นั่นแล กิเลสนั้นๆ เป็นอันพระอนาคามีนั้น คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละได้แล้ว สลัดทิ้งแล้ว.


(๑) ปาฐะนั้น เป็น ยโตธิ ทั้ง ๒ แห่ง แต่ฉบับของพม่าเป็น ยโถธิ จึงแก้ตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 452

บทว่า สกสกโอธิวเสน ความว่า ส่วนมี ๒ คือส่วนแห่งกิเลสและส่วนแห่งมรรค. บรรดาส่วน ๒ ส่วนนั้น ว่าด้วยอํานาจส่วนแห่งกิเลส (ก่อน) กิเลสเหล่าใดอันบุคคลพึงฆ่าด้วยมรรคใด กิเลสเหล่านั้นไม่ปนกับกิเลสที่มรรคอื่นพึงฆ่า ย่อมเป็นอันพระอนาคามีละได้แล้วด้วยส่วนของตนนั้นแล. ว่าด้วยส่วนแห่งมรรคบ้าง กิเลสเหล่าใดอันบุคคลพึงละด้วยมรรคใด กิเลสเหล่านั้นนั่นแลย่อมเป็นอันละแล้วด้วยมรรคนั้น. กิเลสนั้นๆ ย่อมเป็นอันท่านสละแล้ว สลัดทิ้งแล้วทีเดียว ด้วยอํานาจส่วนของตน ด้วยประการฉะนี้. เชื่อมความว่า ท่านพิจารณาถึงกิเลสที่ละได้แล้วนั้นเป็นผู้ได้โสมนัส, เธอย่อมได้ความรู้อรรถ (ผล) ยิ่งไปกว่านั้นว่าเราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.ปาฐะว่า ยโถธิ โข ดังนี้ก็มี. ด้วยอํานาจปาฐะนั้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้. ก็แล เพราะเหตุที่กิเลสย่อมเป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้ว สละได้แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต เป็นตติยาวิภัตติ. มีอธิบายว่า ยสฺมา (เพราะเหตุใด). มรรค ๓ เบื้องต่ําท่านเรียกว่า "โอธิ" เพราะเหตุไร? เพราะมรรค ๓ เบื้องต่ําเหล่านั้น ทํา (กิเลส) ให้เป็นส่วนคือให้เป็นสัด (โกฏฐาสะ) แล้วย่อมละ (กิเลส) ได้ ยกเว้นกิเลสที่พึงละด้วยมรรคเบื้องสูงๆ ฉะนั้น มรรค ๓ เบื้องต่ําท่านจึงเรียกว่าโอธิ ดังนี้. ส่วนอรหัตตมรรคย่อมละกิเลสทุกอย่างไม่ให้เหลืออยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อโนธิ ดังนี้. อนึ่ง ภิกษุรูปนี้ สละกิเลสได้แล้วด้วยมรรค ๓ เบื้องต่ํา. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยโตธิ โข ปน จตฺตํ โหติ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โข ปน เป็นเพียงนิบาต. ส่วนเนื้อความ

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 453

นี้เป็นความรวม. ก็เพราะกิเลส ชื่อว่า โอธิ เป็นอันภิกษุรูปนั้นสละแล้วสลัดทิ้งแล้ว ฉะนั้น จึงควรขยายความตามพระบาลีว่า ภิกษุรูปนั้นพิจารณาถึงกิเลสที่ละได้แล้วนั้นย่อมได้โสมนัส เธอย่อมได้ความรู้แจ้งอรรถ (ผล) แม้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ว่าเราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอํานาจการสละภาวะของตน.

ส่วนบทว่า วนฺตํ นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยอํานาจการแสดงภาวะคือความไม่ยึดถือ.

บทว่า มุตฺตํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอํานาจเปลื้องจากสันตติ.

บทว่า ปหีนํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอํานาจการแสดงว่า กิเลสแม้ที่พ้นได้แล้วไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ.

บทว่า ปฏินิสฺสฏํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอํานาจการแสดง การสละกิเลสที่เคยยึดถือในกาลก่อน หรือด้วยอํานาจการแสดงภาวะแห่งกิเลสที่ตนสลัดทิ้งแล้วเฉพาะหน้า ท่านกล่าวอธิบายว่า ด้วยอํานาจการแสดงภาวะแห่งกิเลสที่ตนครอบงําด้วยกําลังแห่งภาวนา สลัดทิ้งแล้ว ดังนี้.ในข้อว่าย่อมได้การรู้อรรถ (ผล) การรู้ธรรม (เหตุ) นี้ มีอธิบายว่าความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั้นแลชื่อว่าอรรถ เพราะอันบุคคลพึงดําเนิน อธิบายว่า พึงเข้าไปให้ถึง.ชื่อว่าธรรม เพราะเป็นสภาพทรงไว้ มีอธิบายว่า ให้ตกต่ํา.

บทว่า เวท หมายเอาคัมภีร์บ้าง หมายเอาญาณบ้าง หมายเอาโสมนัสบ้าง. คัมภีร์ท่านเรียกว่า เวท (ดัง) แม้ในประโยคเป็นต้นว่า

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 454

ถึงฝังแห่งเวท ๓ ดังนี้. ญาณท่านเรียกว่า เวท (ดัง) ในประโยคเป็นต้นว่า

พราหมณ์ใดถึงเวทมีความรู้ยิ่ง ไม่มีกิเลส เครื่องกังวล ไม่ข้องอยู่ในกามภพ ดังนี้.

โสมนัสท่านเรียกว่า เวท (ดัง) ในประโยคเป็นต้นว่า ชนเหล่าใดเกิดความยินดี ย่อมท่องเที่ยวไปในโลก ดังนี้. แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาโสมนัส และญาณอันประกอบด้วยโสมนัส เพราะฉะนั้น ในข้อนี้พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า :-

บทว่า ลภติ อตฺถเวทํ ลภติ ธมฺมเวทํ ความว่า ย่อมได้โสมนัสอันมีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวเป็นอารมณ์ และญาณอันสําเร็จด้วยโสมนัส. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความในข้อนี้แม้อย่างนี้ว่า :-

บทว่า อตฺถเวทํ ความว่า (ย่อมได้) ความรู้ (เวท) มีประการดังกล่าวนั่นแล อันเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านผู้พิจารณาอยู่ ซึ่งความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว.

บทว่า ธมฺมเวทํ ความว่า (ย่อมได้) ซึ่งความรู้ (เวท) มีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล อันเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านผู้พิจารณาอยู่ ซึ่งการละกิเลสโดยเป็นส่วนเพราะเหตุแห่งความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว.สมจริงดังคําที่ท่านกล่าวไว้นี้ว่า ญาณ ในเหตุ ชื่อว่า ธัมมปฏิสัมภิทา ญาณในผลของเหตุ ชื่อว่า อัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้.

บทว่า ธมฺมูปสฺหิตํ ปาโมชฺชํ ความว่า (ย่อมได้) ปราโมทย์อันเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านผู้พิจารณาอยู่ ซึ่งอรรถและธรรมนั้นนั่นแล และความรู้ (เวท) อันเป็นอานิสงส์เกิดมาจากความรู้อรรถและธรรมนั้น.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 455

จริงอยู่ ปราโมทย์นั้นท่านกล่าวว่า ประกอบด้วยธรรมอันเป็นไปโดยอาการพิจารณาโดยลักษณะที่ไม่มีโทษ.

บทว่า ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ ความว่า ปีติ อันไม่เจือด้วยอามิสย่อมเกิดแก่ท่านผู้บันเทิงด้วยปราโมทย์นี้.

บทว่า ปีติมนสฺส ความว่า ผู้มีใจอิ่มเอิบด้วยปีตินั้น.

บทว่า กาโย ปสฺสมฺภติ ความว่า แม้กายก็เป็นอันสงบระงับคือมีความกระวนกระวายอันสงบระงับแล้ว.

บทว่า ปสฺสทฺธกาโย สุขํ ความว่า ท่านผู้มีความกระวนกระวายทางกายสงบแล้วอย่างนี้ ย่อมเสวยสุขทางใจ.

บทว่า จิตฺตํ สมาธิยติ ความว่า จิตย่อมตั้งมั่นโดยชอบ คือดํารงอยู่ ไม่หวั่นไหว ดุจถึงอัปปนา.

[๙๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงอานิสงส์มีโสมนัสเป็นต้น อันเกิดขึ้นอยู่แก่ภิกษุรูปนั้น ผู้พิจารณาอยู่ซึ่งการละกิเลสอันประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศอาการอันเป็นไปแล้วแห่งการพิจารณาของภิกษุนั้น โดยวาระว่า ยโตธิ โข ปน เม ดังนี้ แล้วแสดงพลานุภาพแห่งอนาคามิมรรคนั้นนั่นแล จึงตรัสคําว่า ส โข โส ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํสีโล ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงศีลขันธ์อันประกอบด้วยอนาคามิมรรคของภิกษุรูปนั้น.

บทว่า เอวํธมฺโม เอวํปฺโ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงสมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์อันประกอบด้วยอนาคามิมรรคนั้นนั่นแล.

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 456

บทว่า สาลีนํ ความว่า แห่งข้าวสาลีชนิดต่างๆ มีข้าวสาลีแดงและข้าวสาลีหอมเป็นต้น.

บทว่า ปิณฺฑปาตํ ได้แก่ข้าวสุก.

บทว่า วิจิตกาฬกํ ความว่า นําส่วนที่ดำ (เสีย) ออก.

บทว่า เนวสฺส ตํ โหติ อนฺตราย ความว่า การฉันบิณฑบาตมีประการดังกล่าวนั้น ของภิกษุเห็นปานนี้นั้น ย่อมไม่เป็นอันตรายแก่มรรคหรือผล. จริงอยู่ การฉันนั้น ของท่านผู้ได้ (บรรลุ) คุณธรรมแล้วจักทําอันตรายอะไรได้ แม้ว่าท่านยังไม่ได้บรรลุอรหัตตมรรคและอรหัตตผล (แต่) ยัง (อยู่ในระยะ) เจริญวิปัสสนาเพื่อบรรลุมรรคผลนั้น การฉันนั้นก็ไม่จัดเป็นอันตรายเลย คือไม่สามารถจะทําอันตรายได้เลย. เพราะเหตุไร? เพราะท่านมีจิตบริสุทธิ์ด้วยมรรคที่ประมวล ศีลธรรม และปัญญา มีประการดังกล่าวแล้วไว้. ก็เพราะในข้อที่มีเหตุนี้นั่นแล ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงข้ออุปมาอันเหมาะแก่เหตุนั้น จึงตรัสคําเป็นต้นว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺฉํ ความว่า ใสสะอาด เพราะปราศจากมลทิน ผ่องแผ้ว เพราะประภัสสร.

บทว่า อุกฺกามุขํ ความว่า เบ้าหลอมของช่างทอง เพราะในที่นี้เบ้าของช่างทองท่านเรียกว่า อุกกา. แต่ในที่อื่นแม้ประทีปเป็นต้นท่านก็เรียกว่า อุกกา. จริงอยู่ ประทีปท่านเรียกว่า อุกกา (คบเพลิง) ในอาคตสถานว่า อุกฺกา ธาริยมานาสุ ดังนี้. เบ้าท่านเรียกว่า อุกกา (เบ้าหลอม) ในอาคตสถานว่า ช่างทอง พึงก่อเบ้าหลอม ครั้นก่อเสร็จแล้ว พึงฉาบปากเบ้าหลอม ดังนี้ เตาช่างทองท่านก็เรียกว่า

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 457

อุกกา ในอาคตสถานว่า เหมือนอย่างเตาไฟของช่างทอง ลุกไหม้อยู่ (แค่) ข้างใน ไม่ลามออกมาข้างนอก. กําลังลมท่านก็เรียกว่า อุกกา ในอาคตสถานว่า กําลังลม (อุกกาบาต) จักมีผลอย่างนี้ ดังนี้. แต่ในที่นี้และในที่อื่นอันมีลักษณะเดียวกันนี้ เบ้าของช่างทองพึงทราบว่า อุกกา ในอาคตสถานว่า ช่างทองเอาคีมคีบทองสอดเข้าไปในปากเบ้า ดังนี้.ในข้อนั้น มีการเปรียบเทียบด้วยอุปมาดังต่อไปนี้. ก็จิตของภิกษุนี้ในเวลาที่ยังเป็นปุถุชนเกลือกกลั้วด้วยมลทินมีกามราคะเป็นต้น พึงเห็นเหมือนผ้าที่สกปรกและเหมือนทองคําที่หมองฉะนั้น. อนาคามิมรรคพึงเห็นเหมือนน้ำอันใสสะอาดและเหมือนปากเบ้าฉะนั้น. การที่ภิกษุรูปนั้นมีจิตบริสุทธิ์เพราะอาศัยอนาคามิมรรคอันประมวลไว้ซึ่ง ศีล ธรรม และปัญญา มีประการดังกล่าวแล้ว พึงเห็นเหมือนผ้าขาวสะอาดและทองคําบริสุทธิ์เพราะอาศัยน้ำและปากเบ้าฉะนั้น ดังนี้แล.

[๙๗] บทว่า โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา ความว่า พระธรรมเทศนามาแล้วตามอนุสนธิ. จริงอยู่ อนุสนธิมี ๓ คือ ปุจฉานุสนธิ อัชฌาสยานุสนธิ และ ยถานุสนธิ. ในอนุสนธิ ๓ นั้น พึงทราบปุจฉานุสนธิด้วยอํานาจพระสูตร ที่ทรงวิสัชนาแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ทูลถามอยู่อย่างนี้ (ดังในประโยคเป็นต้น) ว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความหวาดสะดุ้งเพราะไม่มีสติในภายนอกนั้นมีหรือหนอแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า มี ภิกษุ. พึงทราบอัชฌาสยานุสนธิ ด้วยอํานาจสูตร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของคนอื่นแล้วตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พึงมีอยู่หนอแล ท่าน

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 458

พึงมีความคิดอย่างนี้ว่า แม้ (จน) วันนี้พระสมณโคดมก็ยังไม่หมดราคะแน่นอน. ส่วนยถานุสนธิ พึงทราบ (ด้วยอํานาจ) สูตรทั้งหลายซึ่งเป็นที่มาแห่งเทศนาขั้นสูง (ขึ้นตามลําดับ) ด้วยอํานาจธรรมที่เหมาะสมและเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมที่เป็นเหตุให้เทศนาเกิดขึ้นในตอนแรก เช่นในอากังเขยยสูตร เทศนาด้วยเรื่องศีลธรรม (เป็นเทศนา) ขั้นต่ํา อภิญญา ๖ มา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง ในกกโจปมสูตร เทศนาว่าด้วยความไม่อดทนเกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ํา โอวาทอุปมาด้วยเลื่อยมา (เป็นเทศนา) ขึ้นสูง. ในอลคัททสูตร เทศนาว่าด้วยการแสดงทิฏฐิเกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ํา การประกาศสุญญตามา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง. ในจุลอัสสปุรุสูตร เทศนาว่าด้วยความไม่อดทนเกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ํา พรหมวิหารมา (เป็นเทศนา) ขึ้นสูง. ในโกสัมพิกสูตร เทศนาว่าด้วยการทะเลาะกันเกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ํา สาราณียธรรมมา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง.แม้ในวัตถสูตรนี้ การแสดงเรื่องกิเลสเกิด (เป็นเทศนา) ขั้นต่ํา พรหมวิหารมา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยถานุสนฺธิวเสน เทสนา อาคตา ดังนี้. ส่วนในพรหมวิหารธรรม ท่านกล่าวการพรรณนาตามลําดับบท และนัยแห่งการเจริญทั้งหมดไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อย่างครบถ้วน. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงการเจริญพรหมวิหารของพระอนาคามีนั้น อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออุปกิเลส มีอภิชฌาเป็นต้น ชื่อว่า ได้ปทัฏฐานแล้ว เพราะกําจัดธรรมอันเป็นข้าศึก โดยการละกามราคะ พยาบาท โดยประการทั้งปวงทีเดียวอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะแสดงวิปัสสนา เพื่อความเป็นพระอรหันต์แห่งพระอนาคามีนั้นแล้ว ทรงแสดงการบรรลุพระอรหัต (ของท่าน) จึงตรัสคําเป็นต้น ว่า โส

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 459

อตฺถิ อิทํ ดังนี้. คํานั้นมีเนื้อความว่า พระอนาคามีนั้นได้เจริญพรหมวิหารอย่างนี้แล้ว ออกจากพรหมวิหารข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาพรหมวิหารเหล่านั้นแล้ว กําหนดธรรมคือพรหมวิหารเหล่านั้นนั่นแล ว่าเป็นนาม (และ) กําหนดธรรมคือ ภูตรูป และอุปาทายรูป ว่าเป็นรูป โดยนัยเป็นต้นว่าหทัยวัตถุ เป็นที่อาศัยของพรหมวิหารธรรมเหล่านั้น ภูตรูปเป็นที่อาศัยของหทัยวัตถุ ดังนี้แล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ข้อนี้มีอยู่ ดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ย่อมเป็นอันพระอนาคามีนี้กระทําการกําหนดทุกขสัจแล้ว. ต่อจากนั้นท่านเมื่อแทงตลอดทุกขสมุทัย ย่อมรู้ชัดว่า สิ่งที่เลวยังมีอยู่ ดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันท่านกระทําการกําหนดสมุทัยแล้ว ต่อจากนั้นท่านเมื่อเลือกเฟ้นอุบายเป็นเครื่องละสมุทยสัจนั้น ย่อมรู้ชัดว่า สิ่งที่ประณีตยังมีอยู่. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันพระอนาคามีนี้ทําการกําหนดมัคคสัจแล้ว. ต่อจากนั้นท่านเมื่อพิจารณาฐานะที่พึงบรรลุด้วยมรรคนั้น ย่อมรู้ชัดว่า วิธีสลัดสัญญาให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่. อธิบายว่า ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า พระนิพพานเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งพรหมวิหารสัญญานี้ อันเราบรรลุแล้ว อันยิ่ง ยังมีอยู่ ดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันพระอนาคามีนี้ทําการกําหนดนิโรธสัจแล้ว.

บทว่า เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต ความว่า เมื่อพระอนาคามีนั้นรู้อยู่ซึ่งสัจจะ ๔ ด้วยอาการ ๔ อย่างนี้ด้วยวิปัสสนาปัญญา เห็นอยู่อย่างนี้ด้วยมรรคปัญญา จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากอาสวะ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในภยเภรวสูตร.

บทว่า อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังเทศนาให้จบลงจนกระทั่งถึงพระอรหัตอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพราะ

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 460

เหตุที่พราหมณ์ผู้มีความเห็นว่าความบริสุทธิ์มีได้เพราะการอาบน้ำ นั่งอยู่ในบริษัทนั้น (และ) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้วว่า พราหมณ์นั้นนั่นแล ได้ฟังการพรรณนาถึงความบริสุทธิ์ (มีอยู่) เพราะการอาบน้ำ (อันเราตถาคต) กล่าวอยู่ บวชแล้ว จักบรรลุพระอรหัต ดังนี้ ฉะนั้น เพื่อประสงค์จะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงตรัสอนุสนธิแยกเฉพาะนี้ว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สินาโต อนฺตเรน สินาเนน (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราตถาคตกล่าวว่า อาบแล้วด้วยการอาบภายใน) ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺตเรน สินาเนน ความว่า ด้วยการอาบ คือการออกจากกิเลสอันมีในภายใน.

[๙๘] บทว่า สุนฺทริกภารทฺวาโช ได้แก่พราหมณ์นั้น ชื่อว่าภารทวาชะ ด้วยอํานาจโคตรของตน. ก็พราหมณ์นั้นมีความเห็นดังนี้ว่าคนที่อาบน้ำในแม่น้ำสุนทริกา ย่อมละบาปได้ เพราะฉะนั้น จึงถูกเรียกว่า สุนทริกภารทวาชะ ดังนี้. พราหมณ์นั้น ได้ฟังพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้วคิดว่า แม้พวกเราย่อมสรรเสริญความบริสุทธิ์เพราะการอาบน้ำ ฝ่ายพระสมโคดมก็ย่อมสรรเสริญความบริสุทธิ์เพราะการอาบน้ำนั้นเหมือนกัน บัดนี้ พระสมณโคดมนี้มีด้วยความพอใจเหมือนกันกับพวกเรา ดังนี้. ลําดับนั้น พราหมณ์สําคัญพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เป็นเหมือนเสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกา ลอยบาปในน้ำนั้นแล้วเสด็จมา จึงกราบทูลว่า ก็พระโคดมผู้เจริญย่อมเสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกา เพื่อทรงสรงสนานหรือ? พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสเลยทีเดียวว่า ไป หรือไม่ได้ไป (แต่) ทรงมีพระประสงค์จะถอน ความเห็น (ผิด) ของพราหมณ์

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 461

นั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ประโยชน์อะไรด้วยแม่น้ำพาหุกาแม่น้ำพาหุกาจักทําอะไรได้ ดังนี้. คํานั้นมีเนื้อความว่า ประโยชน์อะไรด้วยแม่น้ำพาหุกา, แม่น้ำพาหุกานั้นจักทําอะไรได้ แม่น้ำพาหุกานั้นไม่สามารถอํานวยประโยชน์อะไรให้ได้หรอก เราจักไปที่แม่น้ำนั้นทําไม.ลําดับนั้น พราหมณ์เมื่อจะสรรเสริญข้อความนั้น จึงกล่าวคําเป็นต้นว่า โลกฺขสมฺมตา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกฺขสมฺมตา ความว่า แม่น้ำพาหุกาอันชาวโลกยอมรับกันว่าเป็นแดนพ้นบาป อธิบายว่า อันชาวโลกยอมรับกันอย่างนี้ว่า ย่อมให้ความพ้นบาป คือความหลุดพ้น ได้แก่ความบริสุทธิ์.ปาฐะว่า โลกฺยสมฺมตา ดังนี้บ้าง. ปาฐะนั้นมีเนื้อความว่า อันชาวโลกยอมรับกันอย่างนี้ว่า ย่อมให้ถึงโลกที่ประเสริฐที่สุด.

บทว่า ปุฺสมฺมตา ได้แก่อันชาวโลกยอมรับกันว่า เป็นบุญดังนี้.

บทว่า ปวาเหติ ความว่า ลอยไป คือ ทําให้สะอาด.

บทว่า คาถาหิ อชฺฌภาสิ ความว่า ได้ตรัสด้วยพระคาถาทั้งหลาย.จริงอยู่ พระคาถาทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัส ย่อมตรัสแก่บุคคลผู้ชอบคาถา เพื่อทรงแสดงเนื้อความนั้นเท่านั้น หรือเพื่อแสดงเนื้อความที่สําคัญ. แต่ในที่นี้ พระคาถาเหล่านั้น พึงทราบว่า ตรัสไว้เพื่อแสดงเนื้อความทั้งสอง.

จริงอยู่ บทว่า พาหุกํ นี้นั่นแลเป็นบทแสดงเนื้อความนั้นในที่นี้.บทที่เหลือเป็นบทแสดงเนื้อความที่สําคัญ. เหมือนอย่างว่า สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ย่อมไปยังแม่น้ำพาหุกาเพื่อลอยบาปด้วยการอาบน้ำ

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 462

ฉันใด ชาวโลกก็ย่อมไปยังสถานที่มีท่าน้ำอธิกักกาเป็นต้นเพื่อลอยบาปด้วยการอาบน้ำฉันนั้น. บรรดาชาวโลกเหล่านั้น ชนเหล่าใด อยู่ใกล้สถานที่เหล่านั้น ชนเหล่านั้น ย่อมอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง. ชนเหล่าใดอยู่ไกล ชนเหล่านั้น ย่อมอาบน้ำวันละ ๒ ครั้ง ครั้งเดียว วันเว้นวันตามลําดับ อย่างนี้จนกระทั่งถึงปีเว้นปี. ส่วนชนเหล่าใด ไม่สามารถจะไปได้เลย ชนเหล่านั้น ก็ใช้ให้คนอื่นเอาหม้อตักน้ำจากที่นั้นมาอาบ.ก็คําทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์. เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความสําคัญนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อธิกกฺกาทีนิปิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิกกฺกํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาท่าน้ำแห่งหนึ่ง อันได้โวหาร (อย่างนั้น) ด้วยอํานาจเป็นอุปกรณ์ในการอาบ.

บทว่า คยา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงท่าน้ำสัณฐานเหมือนสระกลมนั่นแล.

แม้บทว่า ปยาคา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายถึง ท่าน้ำท่าหนึ่งของแม่น้ำคงคาซึ่งเป็นสถานที่ตรงหน้าบันไดปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทะ ที่จมลงไปในแม่น้ำคงคาแล้ว. ส่วนลําน้ำเหล่านี้ คือพาหุกา สุนทริกา สรัสสตี พาหุมตี เป็นแม่น้ำ ๔ สาย

บทว่า พาโล ได้แก่ผู้มีปัญญาทราม.

บทว่า ปกฺขนฺโน แปลว่า เข้าไป.

บทว่า น สุชฺฌติ แปลว่า ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์จากกิเลส.เขาย่อมลอยได้แต่คราบฝุ่นอย่างเดียวเท่านั้น.

บทว่า กิํ สุนฺทริกา กริสฺสติ ความว่า แม่น้ำสุนทริกา จัก

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 463

กระทําอะไรได้ด้วยการชําระกิเลส. อธิบายว่า ไม่สามารถจะทําอะไรได้เลย.ในท่าน้ำปยาคา และแม่น้ำพาหุกา ก็มีนัยนี้. ก็ด้วยบททั้ง ๓ นี้ที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ก็ย่อมเป็นอันท่านกล่าว ๔ บทนอกนี้ไว้ด้วยเหมือนกันโดยลักขณหารนัย. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า แม้ท่า อธิกักกาเป็นต้นก็ทําอะไรไม่ได้ เหมือนกับแม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำปยาคา และแม่น้ำพาหุกา ทําอะไรไม่ได้ฉะนั้น.

บทว่า เวริํ แปลว่า ผู้ประกอบด้วยเวร ๕ มีปาณาติบาตเป็นต้น

บทว่า กตกิพฺพิสํ คือผู้ได้ทํากรรมอันหยาบช้าไว้แล้ว.

บทว่า น หิ นํ โสธเย ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า แม่น้ำสุนทริกา ท่าน้ำปยาคา หรือแม่น้ำพาหุกา ก็ทําให้เขาบริสุทธิ์ไม่ได้เลย.

บทว่า ปาปกมฺมินํ ความว่า ประกอบด้วยกรรมอันเป็นบาป คือกรรมที่ชั่วช้าอันเป็นเวร หรือประกอบด้วยกรรมอันลามก ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ประกอบด้วยบาปแม้เล็กน้อย อันยังไม่ถึงความเป็นโทษคือเวร.

บทว่า สุทฺธสฺส แปลว่า หมดกิเลส.

บทว่า สทา ผคฺคุ ได้แก่แม้งานนักษัตรประจําเดือน ๔ ที่มีเป็นประจํา. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ในเดือน ๔ ผู้ใดอาบน้ำในวันข้างขึ้นเดือน ๔ ผู้นั้นย่อมชําระบาปที่ตนกระทําตลอดปีได้. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงคัดค้านทิฏฐิของพราหมณ์นั้นจึงตรัสว่า สําหรับผู้บริสุทธิ์แล้วเดือน ๔ มีอยู่ทุกเมื่อ สําหรับผู้หมดกิเลสแล้วนักษัตรประจําเดือน ๔ มีประจํา ห้วงน้ำนอกนี้จักชําระล้างได้อย่างไรดังนี้.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 464

บทว่า อุโปสโถ สทา ความว่า ก็บุคคลผู้บริสุทธิ์แล้วแม้จะไม่ได้สมาทานองค์อุโบสถในวันเพ็ญ ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา ของอุโบสถ ก็ย่อมมีอยู่เป็นนิจทีเดียว.

บทว่า สุทฺธสฺส สุจิกมฺมสฺส แปลว่า ชื่อว่า ผู้สะอาดแล้ว เพราะเป็นผู้หมดกิเลส และเป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้นอันสะอาด.

บทว่า สทา สมฺปชฺชเต วตํ ความว่า ก็แม้การสมาทานวัตรอันประกอบด้วยกุศลของบุคคลเช่นนี้ ย่อมถึงพร้อมเป็นประจําทีเดียว.

บทว่า อิเธว สินาหิ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอจงอาบน้ำในศาสนาของเราตถาคตนี้แล.

ท่านกล่าวอธิบายไว้อีกว่า ถ้าเธอปรารถนาจะล้างมลทิน คือกิเลสภายในไซร้ จงอาบด้วยน้ำคือมรรคมีองค์ ๘ ในศาสนาของเราตถาคตนี้นั่นแล. เพราะว่าในที่อื่น น้ำคือมรรคมีองค์ ๘ เช่นนี้ไม่มี ดังนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความบริสุทธิ์ในทวารแม้ทั้ง ๓ ด้วยอํานาจเทศนาอันเหมาะแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสคําเป็นต้นว่า สพฺพภูเตสุ กโรหิ เขมตํ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขมตํ ได้แก่ความไม่มีภัย คือความเกื้อกูล อธิบายว่า ได้แก่เมตตา. ด้วยบทนั้น ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความบริสุทธิ์ทางมโนทวารแก่พราหมณ์นั้น.

ด้วยบทว่า สเจ มุสา น ภณสิ นี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความสะอาดทางวจีทวาร.

ด้วยบทเหล่านี้ว่า สเจ ปาณํ น หิํสสิ สเจ อทินฺนํ นาทิยสิ ย่อมอันเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความบริสุทธิ์ทางกายทวาร.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 465

ก็ด้วยบทเหล่านี้ว่า สทฺทหาโน อมจฺฉรี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบพราหมณ์นั้น ผู้มีทวารบริสุทธิ์แล้วอย่างนี้ไว้ในสัทธาสัมปทาและจาคสัมปทา. ส่วนบาลีนี้ว่า กิํ กาหสิ คยํ คนฺตฺวา อุทปาโนปิเต คยา เป็นกึ่งคาถา. พึงประกอบใจความอย่างนี้ว่า ถ้าว่า เธอจักกระทําความปลอดภัยในสัตว์ทั้งปวง ไม่พูดเท็จ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ เธอไปยังแม่น้ำคยาจักทําอะไรได้ แม่น้ำคยาก็เป็น (เพียง) บ่อน้ำสําหรับเธอ เพราะว่า เมื่อเธออาบน้ำอยู่ในแม่น้ำคยาก็ดี ในบ่อน้ำก็ดี ความบริสุทธิ์จากกิเลสจะมีได้ก็ด้วยการปฏิบัตินี้เท่านั้น ส่วนความบริสุทธิ์จากมลทินทางร่างกายมีได้เหมือนกันในที่ทั้ง ๒ แห่ง. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความว่า ก็เพราะว่าแม่น้ำคยาอันชาวโลกรู้จักกันมากกว่าในโลก ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ถูกพราหมณ์นั้นทูลถามว่า ก็พระโคดมผู้เจริญ เสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกาหรือ? ไม่ตรัสว่า เธอไปยังแม่น้ำพาหุกา จักทําอะไรได้ (แต่) ตรัสว่า เธอไปยังแม่น้ำคยาจักการทําอะไรได้ ดังนี้.

[๙๙] คําเป็นต้นอย่างนี้ว่า เอวํ วุตฺเต นับว่า ชัดแล้วแลเพราะท่านกล่าวไว้แล้วในภยเภรวสูตร.

ก็ในบทเป็นต้นว่า เอโก วูปกฏโ พึงทราบอธิบายดังนี้ พราหมณ์ชื่อว่าเป็นผู้เดียวด้วยกายวิเวก ชื่อว่าหลีกออกแล้ว (จากการคลุกคลีด้วยนิวรณ์) ด้วยจิตวิเวก ชื่อว่าไม่ประมาท ด้วยการไม่ละสติในกัมมัฏฐาน ชื่อว่ามีความเพียร ด้วยความเพียรเผากิเลส กล่าวคือความเพียรทางกาย และความเพียรทางจิต ชื่อว่าหมดอาลัยในตนแล้ว เพราะไม่มีความห่วงใยในกายและชีวิต ชื่อว่าอยู่ด้วยการอยู่ด้วยอิริยาบถอย่างใด

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 466

อย่างหนึ่ง (ในบรรดาอิริยาบถ ๔).

บทว่า น จิรสฺเสว ท่านกล่าวหมายถึงการบรรพชา.

บทว่า กุลปุตฺตา ได้แก่กุลบุตรมี ๒ จําพวกคือ กุลบุตรโดยชาติ (กําเนิด) และกุลบุตรโดยอาจาระ. ก็พราหมณ์นี้เป็นกุลบุตรแม้โดยประการทั้ง ๒.

บทว่า อคารสฺมา แปลว่า จากเรือน.

บทว่า อนคาริยํ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ การงานอันเป็นเหตุเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติ มีกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ (การ) ครองเรือน ท่านเรียกว่า อคาริยะ. การงานที่เกื้อกูลแก่การครองเรือนในการบรรพชานี้ ไม่มี เหตุนั้น การบรรพชานี้จึงชื่อว่า อนคาริยํ. คําว่า อนคาริยํ นั้น เป็นชื่อของการบวช.

บทว่า ปพฺพชนฺติ แปลว่า เข้าไปใกล้ คือเข้าไปหา.

บทว่า ตทนุตฺตรํ ตัดบทเป็น ตํ อนุตฺตรํ (แปลว่า ผลอันยอดเยี่ยมนั้น).

บทว่า พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ได้แก่ที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า (ได้แก่) อรหัตตผล ดังนี้. จริงอยู่. พวกกุลบุตรบวชก็เพื่อประโยชน์แก่อรหัตตผลนั้น.

บทว่า ทิฏเว ธมฺเม แปลว่า ในอัตภาพนั้นนั่นเอง.

บทว่า สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา ความว่า กระทําให้ประจักษ์ด้วยปัญญา ด้วยตนเองทีเดียว. อธิบายว่า รู้โดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย ดังนี้.

บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหาสิ ความว่า บรรลุ คือให้สําเร็จอยู่.ก็พระสุนทริกภารทวาชะเมื่ออยู่ด้วยอาการอย่างนั้น ก็ได้ทราบชัดว่าชาติ

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลzzปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 467

สิ้นแล้ว ฯลฯ ดังนี้ พระอานนทเถระแสดงถึงภูมิแห่งปัจจเวกขณญาณของท่านด้วยคํานั้น.

ถามว่า ก็ชาติไหนของท่านสิ้นไปแล้ว และท่านรู้ชาติที่ในรูปนั้นอย่างไร?

ข้าพเจ้าจะเฉลยต่อไป :-

ก็ข้อความนั้นได้กล่าวไว้แล้วในภยเภรวสูตรก็จริง. แต่ถึงอย่างนั้นในที่นี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวข้อความนั้นซ้ำอีก โดยสังเขป (ย่อ) เพื่อจะแสดงนัยแห่งการอธิบายประกอบความด้วยอํานาจปฐมบุรุษ. ชาติอันเป็นอดีตของพระสุนทริกภารทวาชะนั้น ไม่ชื่อว่าสิ้นไปแล้วก่อน (ในที่นี้) เพราะชาตินั้นสิ้นไปแล้วในกาลก่อนนั่นแล. ชาติที่เป็นอนาคตก็ไม่ชื่อว่าสิ้นไป เพราะท่านไม่มีความพยายามในชาติอันเป็นอนาคตนั้น. ชาติที่เป็นปัจจุบันก็ไม่ชื่อว่าสิ้นไป เพราะชาติปัจจุบันยังมีอยู่. ก็ชาติใดแยกประเภทเป็นขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕ ในเอกโวการภพ จตุโวการภพและปัญจโวการภพ พึงเกิดขึ้น เพราะยังไม่ได้เจริญมรรคให้เกิดมี ชาตินั้นชื่อว่าสิ้นไปแล้ว เพราะถึงความเป็นชาติที่มีการไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เหตุที่ท่านได้เจริญมรรคให้เกิดมีแล้ว. พระสุนทริกภารทวาชะนั้น พิจารณาถึงกิเลสที่มรรคภาวนาละได้แล้ว รู้อยู่ว่า เมื่อไม่มีกิเลส กรรมแม้มีอยู่ ก็ย่อมไม่ให้ปฏิสนธิต่อไป ชื่อว่า ย่อมรู้ชาติที่สิ้นไปนั้น.

บทว่า วุสิตํ ความว่า อยู่แล้ว คืออยู่จบแล้ว อธิบายว่า กระทําแล้ว ประพฤติแล้ว ให้จบแล้ว.

บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 6 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 468

บทว่า กตํ กรณียํ ความว่า กิจทั้ง ๑๖ คือ ปริญญากิจ ปหานกิจ สัจฉิกิริยากิจ และภาวนากิจ อันท่านให้สําเร็จแล้ว ด้วยมรรค ๔ ในสัจจะทั้ง ๔.

บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่าการเจริญมรรคเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก คือเพื่อกิจ ๑๖ อย่าง หรือเพื่อความสิ้นกิเลสอย่างนี้ ไม่มีในบัดนี้.

อีกประการหนึ่ง บทว่า อิตฺถตฺตาย ความว่า ความสืบต่อแห่งขันธ์อื่นจากความเป็นอย่างนี้ คือจากขันธสันดานที่เป็นไปอยู่ในบัดนี้อย่างนี้ ไม่มี. ก็พระสุนทริกภารทวาชะนั้น ได้รู้แล้วว่า ขันธ์ ๕ เหล่านี้อันตนกําหนดรู้แล้วยังดํารงอยู่ (แต่ก็) เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ถูกตัดรากเหง้าแล้วฉะนั้น.

บทว่า อฺตโร มีความหมายเท่ากับ เอโก (แปลว่า หนึ่ง)

บทว่า อรหตํ คือ อรหนฺตานํ อธิบายว่า ท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง บรรดาพระอรหันต์ผู้สาวกพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้

จบ อรรถกถาวัตถสูตร (วัตถูปมสูตร) ที่ ๗