ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๐

 
khampan.a
วันที่  30 มิ.ย. 2562
หมายเลข  30985
อ่าน  1,686

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๐



~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะทรงแสดงกับใครในยุคนั้นสมัยนั้น ก็เป็นเสมือนว่าทรงแสดงกับแต่ละคนที่กำลังได้ฟังในยุคนี้สมัยนี้

~ มีทางที่จะช่วยคน จากที่เป็นอกุศลให้เป็นกุศลได้ ก็ควรจะทำอย่างยิ่ง

~ กุศลต้องเป็นกุศล และอกุศลต้องเป็นอกุศล ผู้ที่ตรงต่อธรรม ก็เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาและเจริญกุศลยิ่งขึ้นได้

~ ผู้เห็นโทษในความเป็นผู้ทุศีล (ล่วงศีล,ประพฤติชั่ว) จึงรักษาศีล เห็นว่า การไม่สำรวมกาย วาจา และ การที่กาย วาจาประพฤติในทางทุจริต ย่อมนำโทษมาให้ แม้แต่เพียงคำพูด ซึ่งถ้าไม่สำรวมก็อาจจะไม่รู้เลยว่า นำโทษมาให้แล้วแก่ผู้พูดและกับบุคคลอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ในเรื่องของกายและวาจา ถ้าเห็นโทษของความเป็นผู้ทุศีล จึงรักษาศีลหรือสำรวมกายและวาจาขึ้น

~ อกุศลธรรมของคนอื่นสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิต คือ เมตตาของท่านเกิดได้ เพราะกุศลธรรม ตั้งใจไว้ชอบ ไม่มีประโยชน์เลยในการที่จะเกิดโทสะ แต่ว่าถ้าเกิดเมตตา เวลาที่เห็นคนอื่นกระทำอกุศลกรรม หรือว่าสภาพจิตใจของคนนั้นเป็นอกุศล ควรที่จะมีเมตตาว่า บุคคลนั้นจะต้องสะสมอกุศลจิตและอกุศลกรรมไปมากมาย ควรที่จะมีเมตตาอย่างยิ่ง

~ ขณะโกรธใคร กำลังสะสมอกุศลให้กับใคร?

~ บางท่านมีความหวังร้ายต่อผู้ที่ประพฤติไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ก็ลองพิจารณาสภาพจิตของท่านเอง ว่า เคยมุ่งหวังที่จะให้คนที่ประพฤติไม่ชอบ ได้รับโทษ ได้รับภัยอันตรายต่างๆ อย่างร้ายแรงหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จิตของท่านเองทำร้ายตัวของท่านเอง เพราะบุคคลอื่นไม่ได้เป็นไปตามความคิดของท่าน แต่ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา เพราะฉะนั้น เขาย่อมได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นเอง โดยที่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องไปหวังร้ายหรือว่าคิดร้ายต่อบุคคลนั้นเลย

~ คนที่มีเมตตา จะไม่มีโทษใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นผู้ประเสริฐด้วยในขณะที่มีเมตตาต่อคนอื่น

~ สำหรับเรื่องเมตตา จะต้องเข้าใจให้ถูก คือ เป็นสภาพของจิตที่มีความเป็นมิตร เพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับการท่องหรือไม่เกี่ยวกับการแผ่เมตตา แต่เป็นขณะที่มีสัตว์ มีบุคคล ไม่ว่าจะเป็น ณ สถานที่ใดก็ตาม และบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ก็จะเป็นผู้ที่พร้อมจะเกื้อกูลบุคคลนั้น

~ ความดี ไม่ต้องรั้งรอ เดี๋ยวนี้เลย เติมความดีทุกวัน เดี๋ยวนี้ทำดีโดยการฟังพระธรรม แล้วเวลาที่ไม่ได้ฟังพระธรรมก็ทำดีได้เหมือนกัน เช่น เป็นมิตรกับใคร ก็ดีทันที ช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลอื่น ก็ดีทันที

~ สภาพจิต ที่ให้ ด้วยความสละ เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ขณะนั้น ก็เห็นได้เลยว่าถ้าจิตไม่ผ่องใส ทำอย่างนั้นไม่ได้

~ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็เป็นผู้ไม่รู้โดยตลอดจนกระทั่งตายไปเกิดอีกก็ไม่รู้อีก ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกี่พระองค์ คนนั้นก็ยังคงไม่รู้อยู่นั่นเอง

~ ถ้าเป็นผู้ไม่ตรง จะไม่ได้สาระจากพระธรรม เพราะพระธรรม ตรง ถ้าผิดจากพระธรรม คือ ไม่ตรง

~ เป็นโอกาสที่ยากแสนยากอย่างยิ่งกว่าจะได้ฟังพระธรรม ไหนๆ ก็ได้ฟังแล้ว ก็ขอให้เห็นประโยชน์จริงๆ ฟังจริงๆ เพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง

~ เกิดมาแล้ว ต้องไปแน่ๆ ต้องจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน อย่าคิดว่าอีกนาน เพราะอาจจะไม่นานเลย อาจจะเป็นวันนี้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้

~ ชีวิตที่มีค่าในระหว่างที่ยังไปไหนมาไหนได้ ก็คือ ได้มาฟังพระธรรม

~ มีเงินมากมายมหาศาล เป็นทุกข์ไหม? เอาเงินนั้นมาซื้อทุกข์ให้หมดไปได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้เลย ว่า เมื่อไหร่มีปัญญา เมื่อนั้น ไม่มีทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เพราะปัญญาไม่ทำให้เกิดความทุกข์ใดๆ เลย

~ ผู้ที่มีพระมหากรุณากว่าคนอื่นทั้งหมด ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสัตว์โลกมีความไม่รู้ มีความเห็นผิด เข้าใจผิดในธรรม เพราะฉะนั้น จึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม เห็นได้เลยว่า พระธรรม มีประโยชน์ เมื่อมีความเข้าใจแล้ว นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้นทั้งกาย วาจา ใจ

~ ปัญญา
(ความเข้าใจถูกเห็นถูก) จะทำให้เป็นผู้ไม่เดือดร้อน ด้วยการกระทำของคนอื่น แต่ว่ารู้หนทางที่จะละคลายกิเลสของตนเอง เพราะรู้แล้วว่า กิเลสของตนเอง ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น และไม่ใช่คนอื่นนำมาให้

~ ไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น รู้ได้เลยว่า ไม่เข้าใจเมื่อไหร่ ไม่ใช่ชาวพุทธ เรียกเอาเอง แต่ไม่ใช่ เพราะว่า ถ้าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องฟังพระธรรมแล้วก็ต้องเข้าใจด้วย

~ ความเห็นผิดเป็นอกุศลธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งพัดไปทำให้ไม่กลับมาสู่ความเห็นถูก เพราะฉะนั้น เป็นอันตรายมากถ้ามีความเห็นผิดเพียงเล็กน้อยแล้วจะทำให้เห็นผิดนั้นพาไปสู่ความเห็นผิดที่มากขึ้นและลึกขึ้น แล้วก็ยากแก่การที่จะละ


~ การเข้าใจธรรมผิดคาดเคลื่อน จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ผิด เป็นผู้มีความเห็นที่ผิดคล้องไว้ มัดไว้ ไม่ให้ไปสู่ความเห็นที่ถูกต้อง

~ พื้นฐานที่จะต้องเข้าใจก่อน คือ ทุกอย่างเป็นธรรม
(สิ่งที่มีจริง) ไม่ว่าจะพูดถึงสภาพธรรมใดๆ ก็ตาม เมตตาเป็นธรรม กรุณาเป็นธรรม อกุศลเป็นธรรม โลภะ โทสะ โมหะ เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็สามารถเข้าใจแต่ละคำที่มีในพระไตรปิฎกถูกต้องชัดเจนขึ้น

~ ธรรมดาของคนที่มีกิเลส เมื่อสะสมพอกพูนกิเลสไว้มากๆ ย่อมหมิ่นเหม่ต่อการกระทำอกุศลกรรม เบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน

~ ควรที่จะได้เห็นตามความเป็นจริงว่า มีศรัทธา มีปัญญาเพียงเล็กน้อยแล้วไม่สะสมเพิ่มเติมจนกระทั่งมีกำลัง อย่างอื่น คือ อกุศล ก็จะมีกำลังมากกว่า

~ การที่ได้ฟังฟังพระธรรมและค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็เป็นการละความไม่รู้ เพราะได้เข้าใจ ซึ่งอีกไกลมากกว่าจะละความไม่รู้ได้หมดสิ้น แต่ขณะนี้ก็ได้เริ่มแล้ว คือ เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก

~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ทุกขณะที่ผ่านไป ก็เป็นการโปรยธุลีสิ่งสกปรก คือ อกุศล ลงในจิต

~ ต้องเป็นผู้ที่ตรง แม้แต่ในการศึกษาพระธรรม ก็เพื่อขัดเกลาอกุศล แล้วการที่จะขัดเกลาได้ ก็ต่อเมื่อรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะเอาอกุศลที่สะสมมาในจิตของตัวเองออกทิ้งไปหมดได้เลยนอกจากปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ ถ้าคิดถึงความดีของเขา เราก็ไม่เดือดร้อน แต่พอคิดถึงความไม่ดีของเขา ทั้งๆ ที่เป็นความไม่ดีของเขา ก็ไปเดือดร้อน ขณะนั้น เราเองต่างหากที่เดือดร้อน

~ อกุศลแม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียว เกิดเมื่อไหร่ก็เบียดเบียนจิตให้เดือดร้อนโดยไม่รู้ แต่พอเป็นอกุศลมากๆ ก็กระทำการทุจริต ขณะนั้นก็เบียดเบียน แรง เพราะฉะนั้น ผลของทุจริตกรรมก็ทำให้ไปสู่อบายภูมิ

~ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็เดือดร้อน ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ก็เดือดร้อน ได้กลิ่นที่ไม่น่าพอใจก็เดือดร้อน ลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจก็เดือดร้อน เดือดร้อนไปหมด.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๙


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มกร
วันที่ 30 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 30 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Fongchan
วันที่ 30 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 30 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 30 มิ.ย. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Nattaya40
วันที่ 30 มิ.ย. 2562

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 1 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 1 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 1 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kukeart
วันที่ 1 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ