ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๖

 
khampan.a
วันที่  4 พ.ย. 2561
หมายเลข  30222
อ่าน  2,042

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๖



~ ความคิดของท่านเอง ในวันหนึ่งๆ เปลี่ยนจากอกุศล เป็นกุศลเพิ่มขึ้นหรือไม่ คือ คิดที่จะละคลายอกุศลหรือยัง เช่น คิดที่จะไม่ผูกโกรธ เตือนบ่อยๆ เพราะว่าความโกรธนี้ ทุกคนมี แล้วมีแล้วบางคนก็ไม่ลืม โกรธนาน

~ มีทางที่จะพิจารณาเพื่อที่จะให้เกิดความอดทน และเป็นกุศลเพิ่มขึ้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำความเสียหาย ความเดือดร้อนให้ การกระทำของเขาอย่างนั้น ก็ดับไปในที่นั้นๆ ทำไมเราถึงจะยังโกรธต่อ ในเมื่อการกระทำนั้นหมดแล้ว จบแล้ว ดับแล้ว ขณะนี้เขาไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว แต่ยังอุตส่าห์ไปคิดถึงเรื่องเก่าที่เขาทำ เพื่อที่จะให้ตนเองโกรธต่อไปอีก

~ เวลาโกรธ ไม่สบายใจ เวลาโกรธมาก ก็จะไปทำร้ายคนอื่นได้, เวลา โลภะ (ความติดข้องต้องการ) เกิด ก็มีความติดข้อง ต้องการ เวลาไม่ได้ ก็เกิด โทสะ (ความไม่พอใจ) เมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องรักษาไว้อย่างดี กลัวสูญหายอีก เหนื่อยไหม? ถ้าไม่มีเลย สบายไหม?

~ ชีวิตประจำวันทั้งหมด จะสังเกตได้ว่า ทุกคนจะต้องมีอกุศลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติหนึ่งชาติใด วันหนึ่งวันใด เหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดก็ตาม ขณะที่ไม่จริงใจ และก็เสแสร้งแม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นอกุศล

~ พุทธบริษัทก็ทำหน้าที่รับใช้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง ได้ให้ความรู้ความเข้าใจที่ ถูกต้อง สมควรที่เราจะ ได้นำคำของพระองค์ให้คน อื่นได้เข้าใจให้ถูกต้องไม่ใช่ว่าจะไม่ศึกษาและก็จะคิดเอง

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิด ปัญญา มีความรู้ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรือไม่ ควร ซึ่งเป็นประโยชน์ อย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าหลงเข้าใจ ว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย

~ เรื่องของกิเลสมีมาก และกิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลส กิเลสจะทำกิจการงานของกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าในสมัยไหนทั้งสิ้น กิเลสเกิดขึ้นขณะใดก็ทำกิจของกิเลสขณะนั้น และก็สมมติเรียกชื่อของอกุศลธรรมและกุศลธรรมเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ แต่ว่าบางท่านก็มีวิริยะในการอบรมเจริญปัญญา เห็นโทษของกิเลสและละคลายกิเลสได้ แต่ก็ต้องอาศัยวิริยะอย่างมากจริงๆ ในการเป็นผู้อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~ โลภะ โทสะ โมหะ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ของเรา แม้แต่ความโกรธในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา ถ้าสามารถจะรู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ทุกข์ก็จะลดน้อยลง เพราะว่าไม่ยึดถือโลภะ โทสะ โมหะ และธรรมทั้งหลายว่าเป็นของเรา เมื่อไม่มีเรา ก็ไม่มีบุคคลอื่น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรมจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมาย การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) นี่ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นในเรื่องของการฟังพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเพื่อประโยชน์อันแท้จริง

~ สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และเข้าใจพระธรรมแล้ว ก็ยังต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยที่ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ก็จะพิจารณาเห็นสภาพความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมได้มากขึ้นว่า แม้ว่าเห็นว่ากิเลส อกุศลธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้

~ วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ถึงความต่างกันของขณะที่อวิชชาเกิดกับขณะที่ปัญญาเกิด ถ้าเป็นอวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และก็ไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ เพราะฉะนั้น ก็ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ว่าถ้าในขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล แล้วก็ยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็เป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก

~ ถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเลยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขณะนั้นจะสบายใจไหม ถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเลย ที่จริงแล้วสบายมาก แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความสำคัญตนที่สะสมมามาก ก็จะเป็นผู้ที่เดือดร้อน กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า วิถีชีวิตของแต่ละคนที่ได้ฟังพระธรรม มีการสะสมอบรมเหตุที่จะให้ปัญญาเกิดแล้วก็อบรมจนกระทั่งถึงขั้นที่จะละคลายกิเลสบ้างไหม เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่เริ่มเห็นความละเอียดของกิเลสขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ

~ ถ้าบุคคลนั้นกระทำกายทุจริตหรือวจีทุจริตก็ตาม ทำไมเราจะต้องโกรธ ในเมื่อที่จริงแล้วบุคคลนั้นน่าสงสารที่สุด ที่ว่าเขาจะต้องได้รับผลของกรรม ถ้านึกถึงภาพของบุคคลนั้นที่จะต้องอยู่ในนรก ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จะเกิดความกรุณาในผู้กระทำกายทุจริตและวจีทุจริต ในขณะนั้นท่านก็จะไม่โกรธเหมือนกัน เพราะรู้สึกเห็นใจ สงสารจริงๆ

~ ที่ปั่นป่วน ที่เดือดร้อน ที่วุ่นวายต้องเพราะอกุศล แม้แต่ความคิดของแต่ละคนในชีวิตประจำวัน ผิดพลาดพลั้งไปเพราะอกุศล ไม่ใช่เพราะกุศล

~ ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจต่อพระธรรม คือ ผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง นี่คือความจริงใจในการศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้หรือเก่ง หรือเพื่อความสำคัญตน

~ กุศลจิตไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ขณะไหน วัยไหน ก็ตามเป็นที่ๆ ควรแก่การอนุโมทนา เพราะฉะนั้นเราก็จะได้อนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ที่มีศรัทธา โดยที่ว่าถ้าขณะใดเกิดความคิดที่ไม่อนุโมทนา ขณะนั้นก็เป็นอกุศล

~ ถึงจะมีความสามารถประการใดก็ตาม แต่ถ้าไม่เป็นคนดี ก็ทุจริตโกงประเทศชาติได้ ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติมั่นคงเลย

~ เป็นคนดี ยิ่งมีคนดีมากเท่าไหร่ ประเทศชาติก็มั่นคงเท่านั้น

~ ถ้าเข้าใจพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่มีทางที่คนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาแล้วจะเป็นคนไม่ดี

~ พระพุทธศาสนา สอนให้คนรู้จักความจริงถึงที่สุด สิ่งใดที่ถูก ก็ถูก สิ่งใด ที่ดี ก็ดี สิ่งใด ที่เลว ก็เลว ไม่ปะปนกัน เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจในโทษของความไม่ดี มีหรือที่คนที่รู้ความจริงแล้วจะทำชั่ว

~ การอบรมเจริญกุศลไปทุกประการทีละเล็กทีละน้อย วันหนึ่งก็จะมีกำลังที่จะทำให้อกุศลอ่อนกำลังลง

~ โทสะ หยาบกระด้าง ส่วน อโทสะ (ความไม่โกรธ) ไม่ดุร้าย ไม่หยาบกระด้าง ใจของเราเอง พิจารณาได้ ขณะที่อยากจะช่วยใคร ต้องการที่จะให้เขาเป็นสุข มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่เขา ทำในขณะนั้นจิตในขณะนั้นอ่อนโยน ตรงกันข้ามกับขณะที่กำลังโกรธ กำลังขุ่นเคือง ขณะนั้นใจลักษณะนั้นจะหยาบจริงๆ กระด้างจริงๆ มีลักษณะเหมือนกับความแข็ง ความดุร้าย


~ ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

~ มีทรัพย์สมบัติมาก ก็ตาย มีความรู้ความสามารถมาก ก็ตาย มีญาติสนิทมิตรสหายคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มาก ก็ตาย หรือ ผู้มีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตาย ตายทุกคนจริงๆ ไม่มีใครรอด แต่ใครจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการมีโอกาสสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ

~ เวลาที่ได้ข่าวคนสิ้นชีวิต ทุกคนก็คงจะบางครั้งตกใจ ไม่คาดฝัน บางครั้งก็รำพัน หรือเป็นทุกข์เศร้าหมอง หม่นหมอง ขณะนั้นใส่ใจโดยไม่แยบคาย เป็นอกุศล ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะฉะนั้น ถ้าสติเกิดระลึกได้ในขณะนั้น ก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความเสียใจ ไม่มีประโยชน์อย่างใดทั้งสิ้น แต่ที่ควรจะเป็น คือ ควรที่จะเบิกบานใจที่มีโอกาสเข้าใจพระธรรม และได้เห็นว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเป็นสัจจธรรม (ความจริง)

~ เกิดมาก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน ประโยชน์ที่ประเสริฐที่สุด คือ เข้าใจธรรม และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๕



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 4 พ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 4 พ.ย. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
mammam929
วันที่ 5 พ.ย. 2561

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ผู้กล่าวแสดงพระธรรมคำจริงให้ได้เข้าใจถูกตรงตามเป็นจริงด้วยความเคารพยิ่งและกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 5 พ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
panasda
วันที่ 5 พ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 7 พ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kukeart
วันที่ 8 พ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ