อปายสูตร ... วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙

 
มศพ.
วันที่  26 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27921
อ่าน  1,274

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••

... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙

อปายสูตร
(ว่าด้วยชน ๒ พวก เกิดในอบาย)

...จาก...

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๓๒๗


[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๓๒๗

๑๑. อปายสูตร
(ว่าด้วยชน ๒ พวก เกิดในอบาย)

[๒๒๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ชน ๒ พวกนี้จักเกิดในอบาย จักเกิดในนรก เพราะไม่ละความประพฤติชั่วช้า ๒ พวกเป็นไฉน คือ ผู้ไม่ใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี ๑ ผู้ตามกำจัดชนผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ด้วยอพรหมจรรย์อันไม่มีมูล ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ชน ๒ พวกนี้แลจักเกิดในอบาย จักเกิดในนรก เพราะไม่ละความประพฤติชั่วช้านี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

ชนผู้กล่าวคำไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก ก็หรือ ชนใดทำบาปกรรมแล้วกล่าวว่า ไม่ได้ทำ แม้คนทั้ง ๒ นั้น ย่อมเข้าถึงนรกเหมือนกัน ชนทั้ง ๒ พวกนั้น เป็นมนุษย์ ผู้มีกรรมอันเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า คนเป็นอันมากอันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามก ไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย ก้อนเหล็กร้อนเปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้ว ยังประเสริฐกว่า ผู้ทุศีลไม่สำรวมพึงบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.

จบอปายสูตรที่ ๑๑

อรรถกถาอปายสูตร

ในอปายสูตรที่ ๑๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อปายิกา ชื่อว่า อปายิกา เพราะจักเกิดในอบาย. ชื่อว่า เนรยิกา เพราะจักเกิดในนรก. บทว่า อิทมฺปหาย ได้แก่ เพราะไม่ละความประพฤติชั่วช้า ๒ อย่างอันจะกล่าวถึงในบัดนี้. อธิบายว่า เพราะไม่สละวาจา จิต และทิฏฐิ อันเป็นไปแล้วด้วยการปฏิบัติมาอย่างนั้น ยกย่องมาอย่างนั้น. บทว่า อพฺรหฺมจารี ความว่า ผู้ใด ประพฤติพรหมจรรย์ที่ประเสริฐ ผู้นั้น ชื่อว่า ผู้ประเสริฐ ก็หรือว่า ความประพฤติที่ประเสริฐ มีอยู่ แก่ผู้นั้น เพราะฉะนั้น ผู้นั้น จึงชื่อว่า พรหมจารี, ผู้ใด ไม่ใช่พรหมจารี ผู้นั้น เป็นอพรหมจารี. อธิบายว่า คนทุศีล เป็นพรหมจารีปลอม. บทว่า พฺรหฺมจารีปฏิญฺโญ ได้แก่ มีปฏิญญาอย่างนี้ ว่า เราเป็นพรหมจารี. บทว่า ปริสุทฺธํ ได้แก่ บริสุทธิ์ เพราะไม่มีอุปกิเลส. บทว่า อมูลเกน ได้แก่ ด้วยอพรหมจรรย์ คือ ด้วยความประพฤติไม่ประเสริฐ เว้นจากข้อมูลมีเหตุเป็นต้น คือ เว้น จากการท้วงอันไม่มีมูลเหล่านั้น คือ ได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ได้รังเกียจแล้ว. บทว่า อนุทฺธํเสติ ได้แก่ ทั้งที่รู้อยู่ว่า ผู้นี้บริสุทธิ์ ยังกำจัด รุกราน ท้วง หรือ ด่า.

บทว่า อภูตวาที ได้แก่ ยังไม่เห็นโทษของผู้อื่นเลย กล่าวมุสาวาท โดยไม่เป็นจริง ไร้ประโยชน์ แล้วตู่ผู้อื่น. บทว่า กตฺวา ได้แก่ ก็หรือ ผู้ใดกระทำกรรมลามกแล้ว ยังกล่าวว่า เรามิได้ทำกรรมนี้. บทว่า อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ได้แก่ ชนแม้ ๒ พวกเหล่านั้น ครั้นไปสู่โลกอื่นจากโลกนี้แล้ว เป็นผู้เสมอกันโดยคติ เพราะเข้าถึงนรก. ในนรกนั้น กำหนดคติของชน ๒ พวกไว้ แต่ไม่ได้กำหนดอายุของพวกเขาไว้. เพราะคนทำบาปมาก ย่อมไหม้ในนรกนาน คนทำบาปน้อย ย่อมไหม้ในนรกตลอดกาลเล็กน้อย ก็เพราะกรรมของชน ๒ พวกเหล่านั้น ลามกเหมือนกัน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ ชนทั้ง ๒ เป็นมนุษย์ มีกรรมเลวทรามละโลกนี้ไปแล้ว ดังนี้. อธิบายว่า ผู้มีกรรมเลวทราม ละไปแล้ว คือ ไปจากโลกนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกหน้า ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงวิบากแห่งมุสาวาทอันเป็นไปแล้ว ด้วยการกล่าวตู่คำที่ไม่เป็นจริง และปกปิดโทษที่เป็นจริง บัดนี้ เพื่อให้เกิดสังเวชด้วยการเห็นวิบากแห่งกรรมชั่ว ของภิกษุผู้ชั่วช้า เป็นอันมาก ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้น จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถา ด้วยประการฉะนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กาสาวกณฺณา ได้แก่ มีคอพันด้วยผ้ากาสาวะ เพราะมีรสฝาดและสีเหลือง. บทว่า ปาปธมฺมา ได้แก่ ธรรมลามก. บทว่า อสญฺญตา ได้แก่ เว้นจากการสำรวมทางกายเป็นต้น. บทว่า ปาปา ได้แก่ บุคคลลามกเห็นปานนั้น เกิดด้วยกรรมลามก ย่อมเสวยทุกข์ใหญ่ ตามนัยที่กล่าวแล้วในลักขณสังยุตต์ มีคำเป็นต้นว่า แม้ร่างกายของเขา ก็ร้อนโพลง มีไฟลุก แม้สังฆาฏิก็ร้อน ดังนี้.

ในคาถาที่ ๓ พึงทราบความย่อ ดังต่อไปนี้. บทว่า ยญฺเจ ภุญฺเชยฺย ได้แก่ คนทุศีล คือ ไม่มีศีล ไม่สำรวมด้วยกายเป็นต้น ปฏิญาณว่าเราเป็นสมณะ รับก้อนข้าวที่ชาวแว่นแคว้นให้ด้วยศรัทธาบริโภค ก้อนเหล็กร้อน มีแสงไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคยังประเสริฐกว่า คือ ดีกว่าการที่คนทุศีลบริโภคก้อนข้าวที่ชาวแว่นแคว้นให้ด้วยศรัทธา นั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะการบริโภคก้อนเหล็กเป็นเหตุ เขาก็พึงไหม้ในอัตภาพเดียวเท่านั้น ส่วนคนทุศีลบริโภคของที่เขาให้ด้วยศรัทธา เขาพึงไปเกิดในนรกหลายร้อยชาติ.

จบอรรถกถาอปายสูตรที่ ๑๑


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
อปายสูตรสูตร
อปายสูตร (ว่าด้วยชน ๒ พวก เกิดในอบาย)

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า บุคคล ๒ จำพวก เกิดในอบาย คือ ผู้ที่ไม่ใช่พรหมจารีแต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารี (ไม่ใช่ผู้ประพฤติประเสริฐ แต่บอกว่าตนเองประพฤติประเสริฐ) และ ผู้ที่ใส่ร้ายพรหมจารีบุคคลด้วยสิ่งอันไม่เป็นจริง (ตามข้อความที่ปรากฏในพระสูตร)

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ภิกษุต้องอาบัติ ถ้าไม่ปลงต้องตกนรกหรือไม่
อกุศลกรรมและอกุศลวิบาก
ความเป็นบรรพชิต ถ้ารักษาไม่ดี มีแต่จะทำให้เกิดโทษ
พระทำผิดวินัยสงฆ์รับโทษอย่างไร

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Noparat
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Guest
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ