ขณะใกล้ตาย จิตเศร้าหมอง เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิหรือไม่

 
chatchai.k
วันที่  29 ก.ค. 2557
หมายเลข  25185
อ่าน  2,938

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร รวมทั้งจิตขณะสุดท้ายก่อนจุติจิตจะเกิด ถ้าจิตขณะสุดท้ายก่อนจุติจิตเกิด เศร้าหมอง จะเป็นปัจจัยนำเกิดในอบายภูมิหรือไม่ครับ ความเศร้าหมองของจิตเป็นกรรมหรือไม่ มีกำลังที่จะนำเกิดหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๔๓

[๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมอง มลทินจับ ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใด ๆ คือสีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือ สีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมไม่ดีมีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

ผ้าที่บริสุทธิ์หมดจด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือ สีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมดีมีสีสด ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิต ไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น


อกุศลเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ซึ่งเราสามารถเรียกว่าบาปก็ได้ แต่อกุศล มีหลายระดับ บาปจึงมีหลายระดับด้วย บาปที่เพียงเกิดขึ้นในจิตใจ แต่ไม่ล่วงออกมาทางกายวาจา ก็เป็นเพียงอกุศลจิต ไม่ได้ให้ผลของกรรมที่จะทำให้ตกนรก เป็นต้น แต่อกุศลจิตที่มีกำลังที่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา จนครบกรรมบถ เช่น อาฆาตแล้ว ก็ฆ่าผู้อื่น อาฆาตแล้วก็ลักขโมยของของเขา อันนี้เป็นบาปที่จะทำให้ตกนรกได้ครับ เพราะเป็นอกุศลที่มีกำลัง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดลงไปในขณะที่ใกล้ตาย ที่เป็นชวนวิถีจิตสุดท้าย พระพุทธเจ้า ตรัสว่า หากจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้ แสดงว่าขณะจิตสุดท้าย หากเกิดอกุศลจิตก็สามารถทำให้เกิดในอบายภูมิได้ครับ ที่เรียกว่า อาสันนกรรม กรรมที่ใกล้ตาย แม้จะทำกุศลกรรมมามากในชาตินั้น แต่หากเกิดจิตเศร้าหมอง เกิดจิตที่เป็นโทสะ หรือ อกุศลประเภทใดประเภทหนึ่งในขณะจิตสุดท้าย ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิได้ เพราะเป็นปัจจัยให้อกุศลกรรมอื่นๆ มาให้ผล เนื่องด้วยจิตขณะสุดท้ายเศร้าหมองด้วยอกุศลครับ แต่จิตที่เป็นอกุศลจิตที่เป็นชวนจิตสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่อกุศลกรรม แต่ ชักนำให้กรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถในอดีตมาให้ผล นำเกิดในทุคติ ที่สําคัญธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้เลย แม้แต่จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นต่อไปก็ไม่มีใครรู้ได้ แม้แต่ตอนที่จะใกล้ตายก็เช่นกัน ไม่มีใครที่จะรู้ได้ และ ไม่มีใครจะบังคับจิตขณะสุดท้ายได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพียงแต่ว่า ปัจจุบัน ควรสะสมคุณความดี และ ปัญญา ในชีวิตที่เหลือน้อย ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นก็แล้วแต่ เพียงปัจจุบันทําหน้าที่ให้ดีที่สุด ทําดีย่อมได้ผลดี แต่เมื่อไหร่นั้นไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่ได้แน่ๆ ในขณะนั้น คือ อุปนิสัยที่ดีงามที่จะทําดีต่อไป ไม่ว่าเกิดในชาติไหน สะสมปัญญาต่อไป จนถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด พ้นจากความทุกข์ เพราะพ้นจากความตายครับ ในเมื่อไม่มีใครรู้ได้ว่าความตายจะมาถึงตนเมื่อใด ควรสะสมอะไรไว้ ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะไม่รู้ว่า จุติจิตจะเกิดเมื่อใด ถ้าอกุศลจิตเกิดก่อนตาย ย่อมเป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า คือ เกิดในอบายภูมิมีนรก เป็นต้น ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว

ดังนั้นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงเตือนให้พุทธบริษัทหมั่นเจริญกุศลทุกประการ ให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตประจําวัน แต่ละบุคคล มีเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้วที่จะอยู่ในโลกนี้และที่สําคัญ โอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนานั้นเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากอย่างยิ่ง จึงไม่ควรที่จะล่วงเลยขณะอันมีค่าเหล่านี้ไป ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมความดีและฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติในชีวิตประจําวัน ต่อไป ครับ

ข้อความในขุททกนิกาย ปัญจกนิบาตชาดก อัทฒวรรค ทีฆีติโกสลชาดก มีข้อความว่า

"..ข้าแต่พระราชา เว้นสุจริต และวาจาสุภาษิตเสีย เหตุอย่างอื่นจะป้องกัน ได้ในเวลาใกล้มรณกาล ไม่มีเลย..."

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kullawat
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Chalee
วันที่ 29 ก.ค. 2557

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรม ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งซึ่งอารมณ์ เท่านั้น [อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้] โดยสภาพของจิตแล้ว เป็น ปัณฑระ คือ ขาว แต่ที่จะเป็นจิตที่เศร้าหมอง (เป็นอกุศล) หรือ ผ่องใส (เป็นกุศล) นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก เป็นสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจิต มีโลภะ เกิดร่วมด้วย ก็เป็นอกุศลจิต เป็นจิตที่เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลส ได้แก่ อกุศลเจตสิกประการต่างๆ นั้น เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ในทางตรงกันข้าม ถ้าเจตสิกฝ่ายดี มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น เกิดร่วมกับจิต ก็ทำให้จิตนั้น ผ่องใส เป็นกุศล ไม่เศร้าหมองเลย เมื่อจิตเศร้าหมองด้วยกิเลส สะสมจนกระทั่งมีกำลังมากขึ้นๆ ย่อมเป็นเหตุให้ กระทำในสิ่งที่ไม่ดี เป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ สิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นจะมาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกิเลส บุคคลที่ทำแต่สิ่งไม่ดี ไม่ได้ทำความดีอะไรไว้เลย เป็นผู้ประมาทมัวเมา ย่อมเสื่อมจากประโยชน์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อตายไปย่อมมีโอกาสไปเกิดในอบายภูมิสูงมาก ประตูอบายเปิดรอคอยอยู่แล้ว แต่ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ไม่ถูกกิเลสครอบงำ ความประพฤติเป็นไปทางกาย วาจา และ ใจ ย่อมเป็นไปในทางที่ดียิ่งขึ้น ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน (ไม่เดือดร้อนเพราะอกุศล) เมื่อละจากโลกนี้แล้ว ย่อมไปสู่สุคติ เหตุย่อมสมควรแก่ผล การฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาให้มากขึ้น นี้แหละจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะช่วยบรรเทาจิตที่เศร้าหมองให้ลดน้อยลง เพราะสภาพธรรมที่ดีงาม ย่อมคล้อยไปตามความเข้าใจพระธรรม จนกว่าจะดับเครื่องเศร้าหมองของจิตได้ เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ขั้นต่างๆ สูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์, บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากพระธรรม ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนี้เพราะธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคนจริงๆ ความเข้าใจพระธรรม จำกัดไว้เฉพาะผู้ที่เห็นประโยชน์ มีศรัทธาที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องเท่านั้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขณะที่จิตเศร้าหมองก็ไปอบายภูมิได้ทั้ง สี่ เปรต อสุรกาย นรก สัตว์เดรัจฉาน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chamaikorn
วันที่ 30 ก.ค. 2557

สิ่งที่เป็นอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้นย่อมทำร้ายจิต เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต แต่ถ้ามีความระลึกถึง ความเลื่อมใส และไม่หวั่นไหว เพราะรู้พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จิตผ่องใส ย่อมไปสู่สุคติ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สิริพรรณ
วันที่ 22 พ.ค. 2564

ท่านอธิบายชัดเจนมากในความเป็นเหตุและผล พระธรรมแสดงความจริงให้เข้าใจ จึงไพเราะด้วยความเป็นประโยชน์ที่ได้ฟังเสมอ

กราบขอบพระคุณ ยินดีในกุศลอาจารย์วิทยากร และ ทุกท่านด้วยความเคารพค่ะ

 

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 22 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ