อ่านพระไตรปิฎก จะอ่านหมวดไหนก่อนคะ

 
Stamp
วันที่  10 เม.ย. 2557
หมายเลข  24699
อ่าน  3,926

ถ้าจะอ่านพระไตรปิฎก ควรจะอ่านเรียงตั้งแต่พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก แล้วอ่านพระอภิธรรมปิฎก รึว่าจะอ่านหมวดไหนก่อนก็ได้คะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระไตรปิฎก เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า การจะเริ่มอ่านพระไตรปิฎก จะต้องมีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจ เป็นลำดับ จากผู้รู้ที่ท่านอื่น อธิบายพอสมควรแล้ว ซึ่ง สามารถเริ่มจากการฟัง การเข้าใจ ในพระไตรปิฎก ในแต่ละหมวด หมวดไหนก็ได้

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าในหมวดใด ก็แสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริง คือ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นธรรม ดังนั้นการอ่านพระไตรปิฎก ไม่ว่าในหมวดใด ก็เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา

การอ่านพระไตรปิฎกเองเป็นเรื่องยาก หากยังไม่มีพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้น ก็จะทำให้เข้าใจเอาเองและเข้าใจผิดได้ ควรเริ่มจากการฟังพระธรรม จากผู้รู้ที่ท่านอ่านพระไตรปิฎกให้ฟัง และอธิบายให้เราเข้าใจ จะเป็นประโยชน์กว่า ครับ และเมื่อมีความเข้าใจมากพอแล้ว ก็ค่อยๆ เริ่มอ่านพระไตรปิฎก ในสูตรใดก็ได้ เพราะสูตรใด เรื่องใด อ่านแล้ว ฟังแล้วเข้าใจ ก็สำเร็จประโยชน์ คือ ปัญญาเกิด ความเข้าใจขั้นการฟังเกิดเพียงเล็กน้อย ก็เป็นประโยชน์แล้วในขณะนั้น ครับ ซึ่ง คำบรรยายที่แสดงถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ พระไตรปิฎกก็บรรยายโดยผู้รู้ คือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็มีให้พวกเราได้ฟัง และท่านก็ได้อธิบายให้เข้าใจ ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เราเข้าใจด้วย ครับ ซึ่งสามารถหาได้ที่หมวด ฟังธรรม และหัวข้อจากพระไตรปิฎก ก็จะมีไฟล์เสียง ที่อธิบายเนื้อหาพระไตรปิฎก ในสูตรต่างๆ มีประโยชน์มากครับ และก็มีธรรมหมวดอื่นๆ ที่น่าฟัง และเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจที่จะสามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหมวด เริ่มด้วยความเข้าใจ หมวดปกิณณกธรรม เป็นต้น ก็เป็นประโยชน์มาก ครับ เริ่มฟังตรงนี้ก่อน ก็จะทำให้เข้าใจพระธรรมหมวดอื่นๆ ได้เข้าใจถูกขึ้น เพราะ ถ้าเราไม่มีพื้น ความเข้าใจที่ถูกต้อง หากไปอ่านพระไตรปิฎกเองจะเข้าใจเอาเองและผิดได้ การได้ฟังพระธรรม ก็เหมือนการได้อ่านพระธรรม ครับ

ส่วนพระธรรม ไม่ว่าจะหมวดไหน อย่างไร สำคัญที่ คำสอนนั้นว่า ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง คือ ให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรมในขณะนี้หรือไม่ คำสอนใด สอนให้ละความไม่รู้ ละกิเลส เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา คือ เพื่อรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา ด้วยหนทาง คือ การฟังให้เข้าใจ นั่นเป็นคำสอนที่ถูกต้อง ขออนุโมทนา

กระทู้ ความเห็น พี่เมตตา โดยท่านอาจารย์ สุจินต์

ขอยกคำบรรยายจาก คำบรรยายของท่านอาจารย์จากที่ต่างๆ มารวบรวมไว้เพื่อความเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นปิฎกไหนทั้ง ๓ ปิฎก ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีขณะนี้

จุดประสงค์ที่ถูกต้อง ของการฟังพระธรรม ไม่ว่าจะส่วนหนึ่งส่วนใดข้อความในพระไตรปิฎก นั้น ก็เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อยศ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อสักการะ เพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ การอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ใช่เรื่องทำขึ้น แต่สภาพธรรมขณะนี้มี แล้วรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีคนเลย มีแต่เพียงสภาพธรรม ถ้าไปทำสิ่งอื่นมารู้ จะไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อมีการฟังเพื่อเข้าใจความจริงมากขึ้นๆ ก็จะน้อมไปสู่ความเข้าใจ รู้ความจริง ทุกอย่างเป็นการสะสมความเข้าใจเป็นการอบรมความเข้าใจ ปัญญาน้อมไป ไม่ใช่เราน้อมไป หรือเราปฏิบัติ ไม่ใช่เราไปจดจ้องหรือเราไปคิดหาธรรมเอง

การศึกษาพระอภิธรรม เพื่อเห็นแต่ละขณะจิตซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และทำกิจสืบต่อกันตามวาระหนึ่งๆ ที่มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก ซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นอนัตตา ความเป็นอนิจจัง ความไม่มีสาระของแต่ละขณะ ซึ่งการที่จะเกิดได้ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิด และเหตุปัจจัยนั้นก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แล้วแต่ว่าอาศัยธาตุชนิดใด เจตสิกชนิดใดเกิดขึ้นในกาลไหน กระทำกิจไหน แล้วก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมจะต้องศึกษาความละเอียดของธรรม ที่เป็นส่วนของพระอภิธรรมด้วย และพร้อมกันนั้น ก็ต้องศึกษาพระสูตร เพื่อจะได้เห็นโทษของอกุศล เห็นประโยชน์ของกุศลเพื่อที่จะพิจารณาตนเอง พระสูตรนั้นกล่าวถึงบุคคลต่างๆ เช่นท่านพระสารีบุตร ท่านอนาถบิณฑิกกะ ท่านพระเทวทัต ท่านพระอานนท์ ซึ่งตามความเป็นจริงไม่มีใครเลย มีแต่เพียงสภาพธรรมต่างๆ สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เช่น เห็น ได้ยิน คิด ความติดข้อง โกรธ กุศล อกุศล ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบัญชาของใครได้ สิ่งที่มีจริงนั้นลึกซึ้ง ละเอียด พระวินัยคืออะไร ไม่ใช่เป็นเพียงคำ หรือเรื่องราวข้อประพฤติปฏิบัติสำหรับพระภิกษุ แต่เป็นธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง พระภิกษุก็เป็นเพียง จิต เจตสิก รูป เท่านั้น และถ้าพระภิกษุไม่รู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร การทำกุศลหรืออกุศล ก็ยังเป็นตัวตนที่ทำ เพศของบรรพชิตนั้นจุดประสงค์ของการละอาคารบ้านเรือน เพื่อที่จะประพฤติพรหมจรรย์ เจริญมรรคมีองค์ ๘ อบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพื่อดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์

ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ การศึกษาพระไตรปิฎกจบหมด ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพียงธรรม ไม่ใช่เรา ก็ยังเป็นเราทั้งหมด

เชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ครับ

จากพระไตรปิฏก

ธรรมะเตือนใจ

ปกิณณกธรรม

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 10 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระธรรม ประกาศพระศาสนา​ ตลอด ๔๕ พรรษา พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจ และน้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม ซึ่งมีผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง มีจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งเทวดา พรหม และ มนุษย์ แล้วพระธรรม ก็มีการทรงจำสืบต่อมาจนถึงสมัยปัจจุบันเป็นพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกหมายถึงคำสอน ๓ หมวดหมู่ คือพระวินัยปิฎก (ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความประพฤติทางกาย ทางวาจา สำหรับเพศบรรพชิต) พระสุตตันตปิฎก (เป็นพระธรรมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ณ สถานที่ต่างๆ ทรงปรารภบุคคลต่างๆ ซึ่งทรงแสดงตามอัธยาศัยของผู้ฟังเป็นหลัก) และ พระอภิธรรมปิฎก (ไม่มีชื่อของสัตว์ บุคคล แต่เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด) ซึ่งทั้งสามปิฎกนั้นมีคุณค่ามากมายมหาศาลหาอะไรเปรียบไม่ได้เลย ถ้าพุทธบริษัทได้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ โดยไม่ใช่ศึกษาเพื่อเก่ง เพื่อรู้เรื่องราวเยอะๆ หรือ เพื่อลาภสักการะ แต่ศึกษาเพื่อความเข้าใจจริงๆ ตรงตามพระธรรม จึงจะเป็นประโยชน์ ทุกคำทุกพยัญชนะที่ปรากฏในพระไตรปิฎก แสดงถึงสิ่งมีจริงทั้งหมด ก็จะต้องค่อยๆ อ่านค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่กำลังอ่านเริ่มจากครั้งที่หนึ่งไปครั้งที่สองไปครั้งที่สาม ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เมื่อยังสงสัยยังไม่เข้าใจส่วนใด นั้น การสอบถาม การสนทนากับกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา ก็จะสามารถทำให้บรรเทาความสงสัยดังกล่าวและค่อยๆ เพิ่มพูนความเข้าใจไปตามลำดับ "การศึกษาพระธรรม เป็นการศึกษาที่ประเสริฐ" ครับ

ขอเชิญลองคลิกอ่านข้อความส่วนหนึ่งจากพระไตรปิฎก ได้ที่นี่ ครับ

ขอเชิญลองคลิกอ่านข้อความส่วนหนึ่งจากพระไตรปิฎก ได้ที่นี่ ครับ

ความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ... [กุรุงคมิคชาดก]

เป็นทูตของตัณหา [ทูตชาดก]

ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว [จุลลนันทิยชาดก]

การใช้ทรัพย์ 4 ประการ [ปัตตกัมมสูตร]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 10 เม.ย. 2557

อ่านพระไตรปิฎกไม่ใช่ของง่ายที่จะเข้าใจ ส่วนมากเข้าใจแต่เรื่องราว ไม่ได้เข้าใจตัวจริงของธรรม ขอให้เริ่มอ่านชาดก ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natural
วันที่ 13 เม.ย. 2557

ไม่ทราบว่าชาดกต่างจากพระสูตรอย่างไรคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 13 เม.ย. 2557

เรียน ความคิดเห็นที่ ๔ ครับ

ชาดก คือ เรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นพระธรรมเทศนาที่อยู่ในส่วนของพระสูตรอันแสดงถึงความเป็นไปของบุคคลในครั้งอดีต ซึ่งเป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ บ้าง บุคคลอื่นๆ เช่น ชีวิตในอดีตของพระสารีบุตร บ้าง พระอานนท์ บ้าง เป็นต้น ก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้อ่าน ได้ศึกษา เป็นประโยชน์เกื้อกูล ให้ได้เข้าใจถึงการสะสมของแต่ละบุคคล และทำให้เห็นถึงแบบอย่างที่ดี ที่ควรน้อมประพฤติปฏิบัติตาม และ ทำให้เห็นถึงความประพฤติที่ไม่ดีของบุคคลต่างๆ ด้วย ที่ไม่ควรที่จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ตามตัวอย่างที่ปรากฏในชาดก ในความคิดเห็นที่ ๒ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natural
วันที่ 13 เม.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Stamp
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอขอบคุณทุกท่านมากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 23 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 23 มิ.ย. 2564
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ