ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ๓๐ ต.ค. - ๑ พ.ย. ๒๕๕๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  7 พ.ย. 2555
หมายเลข  22019
อ่าน  2,163

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ถึง ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณอุดม คุณนวลศรี และ คุณศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ บ้านมิ่งโมฬี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

เป็นกุศลศรัทธาของครอบครัว "มิ่งโมฬี" ที่น่าอนุโมทนายิ่ง ที่ได้จัดสนทนาธรรมในช่วงนี้ของทุกปี ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงสายตา และ ความรู้สึกปีติ ของคุณแม่นวลศรี คุณแม่ของคุณศิริลักษณ์ (คุณลักษณ์) ที่ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อปีที่แล้ว ถึงการที่ท่านได้พบท่านอาจารย์ และ ได้ติดตามฟังธรรมที่ท่านบรรยายมาเนิ่นนาน ข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงแววตา และ ความปีติของท่านที่มีต่อท่านอาจารย์อย่างน่าชื่นชม และ อนุโมทนายิ่ง

สำหรับข้าพเจ้าเอง เมื่อทราบว่าท่านอาจารย์ได้รับเชิญให้ไปสนทนาธรรมที่นี่ ข้าพเจ้ารู้เพียงว่า ควรที่จะมีวันหนึ่ง หรือ คืนหนึ่ง ที่จะเป็นโอกาสในการร่วมฟังพระธรรม และ แน่นอนว่า ข้าพเจ้าจะมีความธรรมะที่แสนวิเศษ มาฝากทุกๆ ท่านด้วย

เมื่อถึงเวลา การก็เป็นไปตาม ... "คลองของพระธรรม" ... ข้าพเจ้าขอกราบท่านอาจารย์ ขอนำคำนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ที่บ้านมิ่งโมฬี ที่เพิ่งผ่านไป มาใช้ ทุกสิ่งเป็นไปตามคลอง (ครรลอง) หามีผู้ใดกำหนดกฏเกณฑ์ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ แต่เป็นไป กับด้วยเหตุแลปัจจัย ซึ่งเป็นอนัตตา บังคับบัญชามิได้

และ วันนี้ก็มาถึง ข้าพเจ้า ซึ่งทีแรกคิดไว้ว่า เมื่อไปก็จะไปนอนค้างที่บ้านไม้สักซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ของบ้านมิ่งโมฬี และใช้เป็นที่สนทนาธรรมด้วย ดังเช่นเมื่อปีที่แล้วที่มีการสนทนาธรรมที่นี่ และ ข้าพเจ้าหนีน้ำท่วมกรุงเทพฯ มาฟังธรรมที่นี่ได้อย่างอัศจรรย์ โดยคราวนั้น ได้มาพักค้างคืนที่นี่ อย่างมีความสุขที่สุด ได้ฟังท่านอาจารย์สนทนาธรรม และ ในตอนกลางคืน ข้าพเจ้าก็เปิดฟังธรรมตลอดคืน พร้อมๆ ไปกับท่านวิทยากรฯ รู้สึกต้วตื่นขึ้นมาเมื่อใด ไม่เคยเหงา และ อ้างว้างเลย เพราะมีเสียงของท่านอาจารย์ ปรากฏแก่โสตปสาทโดยทันที รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แม้ในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้

เมื่อถึงเวลาที่จะเดินทาง คุณภรรยาของข้าพเจ้าอยากจะเดินทางไปด้วย เธอเป็นผู้หนึ่ง ที่ชอบฟังท่านอาจารย์เช่นกัน ก่อนนอน เธอใส่หูฟัง และ เปิดไอพอด (เอ็มพีสาม) ฟังท่านอาจารย์จนหลับทุกคืน (แต่ท่านอาจารย์ไม่หลับ ท่านยังบรรยายต่อไปเรื่อยๆ ) เมื่อเธอตื่นขึ้นมากลางดึก ท่านอาจารย์จะกล่อมเธอหลับต่อด้วยพระธรรม กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ระหว่างทาง เราคุยกันว่า การได้พบและได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ ทำให้เราเริ่มรู้สึกได้ ถึงความสุขที่แท้จริง จากการที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในพระธรรม ในวันนั้นเมื่อเราไปถึง เราได้ที่พักแสนสะดวก ที่อยู่ข้างบ้านมิ่งโมฬี ซึ่งเหลืออยู่เพียงห้องเดียว (พอดี) จริงๆ เป็นที่ๆ สวยงาม สะดวกสบายมากครับ

อนึ่ง ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงความสุขที่แท้ ก็ไม่น่าเชื่อว่า ในวันสุดท้ายตอนเช้า ท่านอาจารย์ ได้มีเมตตาเกื้อกูลทุกท่านในที่นั้น ด้วยเรื่องของ "ความสุขที่แท้จริง" ด้วยความไพเราะมาก เป็นความที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า เป็นหัวข้อที่ท่านตั้งใจจะแสดงเพื่อเกื้อกูลแก่ทุกคนในเวลานั้นอย่างยิ่ง เป็นบุญของทุกท่าน ของข้าพเจ้าและภรรยาโดยแท้จริงๆ ครับ เพิ่งได้คุยกันอยู่แท้ๆ ขอเชิญทุกท่าน อ่านและพิจารณา ความที่ท่านสนทนาในวันนั้นไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ

ท่านอาจารย์ วันนี้ ขอพูดเรื่อง "ความสุขที่แท้จริง" ดีไหมคะ? เพราะว่า ได้ยินคำว่า ความสุข ตรงกันข้ามกับความทุกข์ แต่ว่า "ความสุขที่แท้จริง" ไม่ว่าจะพูดถึงอะไรก็ตาม ต้องเข้าใจชัดเจนถูกต้องจริงๆ ว่า ความสุขที่แท้จริง คือ อะไร? ทุกคนต้องการความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า? เพราะเหตุว่า ความสุขที่มีอยู่แต่ละวัน เพียงเล็กน้อย ชั่วขณะที่เมื่อกี้นี้รับประทานอาหารอร่อย ก็เป็นความสุข หรือว่า ตั้งแต่เช้ามา เห็นดอกไม้สวยๆ ขณะที่เห็น นั้นก็เป็นความสุขที่เกิดจากการ "เห็น" แต่ว่า เป็นความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า?

เพราะว่า เป็นความสุขที่ "ชั่วคราว" แต่ละขณะก็หมดไปแล้ว อย่างอาหารเมื่อกี้นี้ คิดถึงตามความเป็นจริง ทุกคนเกิดแล้วต้องรับประทาน และ เวลาที่ได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นก็มีความรู้สึกสบายใจ ไม่เดือดร้อนใจ ก็เป็นความสุข เห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ มีความสุขไหม? ที่จะได้รับประทาน

เห็นไหม? มีความสุข ที่จะได้รับประทานก็ไม่รู้ แล้วความสุขเล็กน้อยที่จะได้รับประทาน ... .ก็หมดไป ... เพราะว่า มีความสุขที่มากกว่านั้นอีก แต่ว่ายังไม่เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวัน เล็กๆ น้อยๆ นี้ ก็จะเห็นได้ว่า มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ชั่วครั้ง ชั่วคราว ที่เกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไป

เพราะฉะนั้น (มี) ความสุขอื่น เป็นความสุขที่แท้จริง แต่ว่า ยังไม่รู้ว่า ความสุขนั้น คือ อะไร? ก็ไม่สามารถที่จะพบความสุขนั้นได้ ต้องรู้จัก สิ่งที่มีจริงๆ จึงจะรู้ว่า ที่ชื่อว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ อะไร?

เวลาเห็นอาหาร มีความสุขไหม? ใครไม่มีความสุขบ้าง? คะ? มีความสุขไหม? มีแน่ๆ เห็นอาหารที่พอใจ แล้วก็ ... .กำลังจะ ... เอื้อมมือ ... ไปตักอาหารที่ชอบ ... .

หวัง ... อะไร ... หรือเปล่า? ... ไม่รู้ตัวเลย ว่าชีวิตแต่ละขณะ มีแต่ความหวัง ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดี น่าพอใจติดข้องอยู่แล้ว แต่ก็ ... หวัง ... ในขณะที่สิ่งนั้น ยังไม่เกิด เพราะว่าอาหาร เพียงแต่อยู่บนโต๊ะ ยังไม่มาถึงปาก ยังไม่มาถึงจาน แต่มีความติดข้อง พอใจ ที่ได้เห็นอาหารที่ชอบ

เมื่อวานนี้ ชอบรับประทานอาหารอะไร ... พอเห็นอีก ... .สุข ... ไหม? ชอบไหมที่ได้เห็นอาหารนั้นอีก แต่ก็ยัง "หวัง" ที่จะได้ "ลิ้มรส" นั้น จากการ ... แต่ละขณะ ... ที่เคลื่อนไป ... เอื้อม ... มือ..ไป ... ที่จะตักอาหารนั้น เพื่อที่จะ ... ..ถึง ... .ขณะ ... .ที่ ... ลิ้มรส ... ."หวัง" ตลอด ... ..พอเห็นแล้ว มีสิ่งที่น่าพอใจแล้ว ... .ก็ ... หวังต่อไป ... ... .

เพราะฉะนั้น ชีวิต ก็เต็มไปด้วยความหวัง แต่ว่า ความหวังนั้น จะเป็นจริง หรือว่า จะสมหวังหรือไม่ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ตักอาหารมาแล้ว เกิดวันนี้ "เปรี้ยวไป" เป็นอย่างไร? หวังว่าอาหารที่เคยรับประทานจะอร่อย แต่พอรสเปลี่ยนไป ไม่ใช่ความสุขแล้ว "ไม่สมหวัง" แม้แต่เพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถ้าได้เข้าใจความจริง

เพราะฉะนั้น สุขจริงๆ ต้องเป็น "สุข" ที่ "เข้าใจความจริง" ของสิ่งที่กำลังมี เพราะอะไรคะ?เพราะสิ่งนั้น "กำลังมี" สิ่งอื่น "ไม่มี" เช่นในขณะที่ "ได้ยินเสียง" เสียงปรากฏ เดี๋ยวนี้เอง มีจริงๆ ปรากฏว่ามี ชั่วคราว แล้วก็ดับไป ในขณะที่เสียงปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย แต่หวังหรือเปล่า? ไม่สิ้นสุดความหวังเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าอะไรจะกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็คิดถึงสิ่งนั้น ด้วยความหวัง แล้วก็ ความหวัง ก็ไม่มีวันจบ ไม่มีสิ้นสุดเลย แล้วแต่ว่าจะหวังเรื่องอะไร

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแน่นอน เพราะเหตุว่า เพียงหวังแล้วได้ แล้วก็หวังต่อไปอีก แล้วก็ได้อีก แล้วก็หวังต่อไปอีก จะมีความสุขได้อย่างไร? ในเมื่อไม่รู้จักพอ แล้วก็ไม่ได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว "ขณะนั้น" เป็นอะไร? ไม่มีสิ่งอื่นเลย เป็นสิ่งเดียว ที่กำลังปรากฏ แต่ละทาง ทางตา "กำลังเห็น" ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ขณะนั้น ไม่มีอย่างอื่น มีเพียง "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" กับ "เห็น" เท่านั้นเอง แล้วก็หมดไป ในขณะที่เสียงปรากฏ ความจริงคือ "เสียงที่ปรากฏ" กับ "ได้ยิน" ที่ปรากฏ แล้วก็หมดไป

แต่ ... .หวังอะไร? ... จากสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ จะเป็นความสุขที่แท้จริงได้ไหม?

ไม่มีการที่จะจบสิ้นความหวัง ยิ่งหวังมาก ยิ่งเป็นทุกข์ เพราะว่า มีความติดข้อง ด้วยความไม่รู้ ในสิ่งที่ปรากฏ หลงเข้าใจว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ยั่งยืน ไม่เกิดไม่ดับเลย เช่น มีคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีการปรากฏว่าเกิดดับ ใช่ไหม? เพราะไม่รู้ความจริงว่า แต่ละขณะจิต จิตเกิดขึ้น ทีละหนึ่งขณะ ชีวิต ก็เป็นอยู่ ชั่วขณะหนึ่ง ที่จิตเกิดขึ้น ถ้าจิตนั้นดับ แล้วไม่เกิดอีกเลย ไม่มีจิตอีกเลย ก็ไม่มีการที่จะเป็นเรา หรือ เป็นบุคคลหนึ่ง บุคคลใด ดีไหม?

ข้อสำคัญที่สุด การรู้ความจริง ไม่ได้หมายความว่า เราจะถึงการประจักษ์แจ้งความจริงเพียงแต่ กำลังสะสมความเห็นถูกว่า ความเห็นจริงๆ ในสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละขณะ ความจริง ความเห็นถูก คือ อย่างไร? และ ความไม่รู้ คือ อย่างไร?

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการได้ยิน ได้ฟังพระธรรมเลย ก็จะไม่รู้ ... แสวงหาความสุข ... ด้วยความหวัง ... .แต่ไม่รู้ความจริงว่า ... ... หวังอะไร? ... ในสิ่งที่เพียงปรากฏ ... แล้วก็หมดไป ... .ทุกอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้ เป็นอย่างนี้!!

เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะบอกว่า ความสุขที่แท้จริง คือ นิพพาน ไกลไหม? คืออะไร? ก็ไม่รู้ เพราะว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วไม่รู้ แล้วจะไปมีนิพพานเป็นอารมณ์ ได้อย่างไร?และ จะรู้ได้อย่างไรว่า นิพพาน สุข นอกจากจะมีความเข้าใจที่มั่นคง ที่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง

คิดดูนะคะ แต่ละอย่าง แยกย่อยออกไปแล้ว ก็เป็นธรรมะ หรือสิ่งที่มีจริง ที่หลากหลาย ต่างกันมาก ตา ก็ไม่ใช่ หู ไม่ใช่คิด ไม่ใช่เสียง ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกัน ก็ทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ยั่งยืน เพราะ ไม่รู้ความจริง

ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริง "ด้วยปัญญา" ที่สามารถที่จะเห็นจริงๆ ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น เมื่อเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ จนกระทั่ง สามารถประจักษ์แจ้ง แล้วรู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ เกิด ปรากฏ แล้วหมดไป "สุข" ไหม? เพียงปรากฏว่ามี สั้นมาก ชั่วคราวจริงๆ ยังไม่ทันจะเข้าใจถูกต้อง แล้วก็ดับไป สุขจริงๆ หรือเปล่า? จะเป็นสุขจริงๆ ไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น สุขที่แท้จริง ก็จะเริ่มจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ที่ทำให้ ไม่ยึดมั่น ในสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีความติดข้อง อยากได้ ในสิ่งที่ไม่เที่ยง ในสิ่งที่เกิดดับ ก็ไม่รู้

และ แม้แต่ขณะนี้ ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน ก็ "ชั่วคราว" ทั้งๆ ที่ฟังเข้าใจ "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน"

"ได้ยิน" ดับไปแล้ว "ความคิด" ดับไปแล้ว "สุข" ดับไปแล้ว "ทุกข์" ดับไปแล้ว "ชั่วคราว" แต่ก็ยังยึดถือ ว่าเป็นเรา

นี่คือ ความไม่รู้ และ ความเห็นผิด นานแสนนานที่สะสมมา แต่ต้องอาศัย ความเข้าใจจริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีเรา ก่อนที่จะละ ความหวัง ความติดข้อง ในสิ่งต่างๆ ได้ ต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็ดับไปเพราะฉะนั้น ต้องหมดการที่ยึดมั่น ยึดถือสภาพธรรมะที่รวมกัน ว่าเป็นเรา

แต่ถ้ายังมีความเป็นเรา ก็ยังมีเขา ก็ยังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด รูปร่างกาย แม้แต่การเห็น การได้ยิน ซึ่งไม่ใช่รูป ก็เป็นเรา แต่ว่า "เราอยู่ไหน?" เมื่อกี้นี้ ที่ว่า "เราได้ยิน" เมื่อกี้นี้ก็ดับไปแล้ว ที่ว่า "เราคิด" เมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ยึดถืออะไร ว่าเป็นเรา?

ยึดถือสิ่งที่มี แต่ชั่วคราว เกิดขึ้นและดับไปว่าเป็นเรา เพราะ ไม่รู้ความจริง แล้วก็ยังมีความหวังอีกมากมาย ซึ่งทำให้ไม่จบสิ้น แล้วก็คิดว่า สามารถที่จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดขึ้นได้ เพราะหวังว่าสิ่งนั้นจะเป็นอย่างนั้น

คนทำอาหาร หวังอะไรหรือเปล่าคะ? หวังค่ะ ไม่ว่าใครทั้งนั้น คนปลูกดอกไม้ สวนกล้วยไม้ หวังอะไรหรือเปล่าคะ?

ก็หวัง ... .ไม่เห็นมีใครที่ไม่หวังเลย หวังแม้แต่อาหารที่อยู่ข้างหน้า ที่จะรับประทานให้อิ่ม

หวังว่ารสชาติ จะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ก็แล้วแต่ว่า ความจริง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? แต่ให้ทราบว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ตาม ที่เกิดแล้วปรากฏ ในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดได้เลย แต่สิ่งนั้น เมื่อมีปัจจัยที่เหมาะสม ควรที่จะเกิด ก็เกิดเป็นอย่างนั้น แต่เพราะความไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และ ถ้าเกิดที่ตัว เข้าใจว่ามีตัว ก็ยึดถือสิ่งนั้นว่า "เป็นเรา" เป็นตัวของเรา

เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ต้องมีความเห็นที่ถูกต้อง ถ้ามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูก จะเป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ คะ? "เป็นสุข" ก็มีคนตอบอยู่คนเดียว (หัวเราะ) แต่ก็คงจะตอบ แทนคนอื่น คนอื่นๆ ก็คงมีความเห็นอย่างเดียวกัน แต่ถ้าเห็นต่าง ก็แสดงความเห็นได้เพราะ เป็นเรื่องที่ทุกคน "ฟัง" เพื่อ "เข้าใจความจริง" จะเข้าใจได้มากน้อย สักแค่ไหน ก็ฟังอีก เพื่อที่จะรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้

มิฉะนั้น จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงประจักษ์แจ้งความจริง เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตามความเป็นจริง ทุกขณะ ทุกอย่างแล้วก็ทรงแสดงความจริงนั้น ให้คนอื่น ได้เข้าใจตามด้วย แล้วแต่ว่าอัธยาศัยสะสมมา ที่จะเข้าใจได้ มากหรือน้อย

แต่ไม่ได้หวังให้ใคร เปลี่ยนแปลงทันที จากการที่เคยสะสมมา แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้ จากที่เคยยึดถือ สภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา แล้วจะหมดการยึดถือได้ทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย จากการที่เคย หวังแล้ว หวังอีก โดยไม่รู้ตัว หวังไปเรื่อย ทุกขณะ จะให้หมดความหวัง ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ก็เป็นไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ทรงแสดงพระธรรม ด้วยพระมหากรุณา เพื่อให้คนอื่น พิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจของตนเอง ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 382

ข้อความบางตอนจาก โรหิตตัสสสูตร

" ... แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลก ด้วยการเดินทาง และ เพราะที่ยังบรรลุถึงที่สุดโลกไม่ได้ จึงไม่พ้นไปจากทุกข์.

เหตุนั้นแล คนมีปัญญาดี รู้แจ้งโลก ถึงที่สุดโลกได้ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว รู้ที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้สงบแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกอื่น ... "

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าของบ้านมิ่งโมฬี คุณอุดม คุณนวลศรี และ คุณศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมา ได้ที่นี่ ... ..

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ๒๒ - ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 7 พ.ย. 2555

"เพราะฉะนั้น (มี) ความสุขอื่น เป็นความสุขที่แท้จริง

แต่ว่า ยังไม่รู้ว่า ความสุขนั้น คือ อะไร? ก็ไม่สามารถที่จะพบความสุขนั้นได้

ต้องรู้จัก สิ่งที่มีจริงๆ

จึงจะรู้ว่า ที่ชื่อว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น คือ อะไร?"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยเป็นอย่างยิ่งนะครับ

ที่เกื้อกูลด้วยภาพสวยๆ ของการเจริญกุศลที่บ้านมิ่งโมฬี ของท่านอาจารย์และคณะ

ที่สำคัญ ธรรมะที่ท่านอาจารย์บรรยาย และคุณวันชัยบรรจงตัดต่อมา

ก็ไพเราะและเตือนสติได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

และผมขอชื่นชมและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาที่มีต่อการฟังพระธรรม

ของคุณวันชัยและครอบครัวด้วยนะครับ

ตามที่กล่าวไว้ว่า

"ข้าพเจ้าก็เปิดฟังธรรมตลอดคืน พร้อมๆ ไปกับท่านวิทยากรฯ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อ

ใด ไม่เคยเหงา และ อ้างว้างเลย เพราะมีเสียงของท่านอาจารย์ ปรากฏแก่โสตปสาท

โดยทันที รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แม้ในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้ เมื่อถึงเวลาที่จะ

เดินทาง คุณภรรยาของข้าพเจ้าอยากจะเดินทางไปด้วย เธอเป็นผู้หนึ่ง ที่ชอบฟังท่าน

อาจารย์เช่นกัน ก่อนนอน เธอใส่หูฟัง และเปิดไอพอด (เอ็มพีสาม) ฟังท่านอาจารย์

จนหลับทุกคืน (แต่ท่านอาจารย์ไม่หลับ ท่านยังบรรยายต่อไปเรื่อยๆ ) เมื่อเธอตื่นขึ้น

มากลางดึก ท่านอาจารย์จะกล่อมเธอหลับต่อด้วยพระธรรม กราบเท้าท่านอาจารย์

ครับ ระหว่างทางเราคุยกันว่า การได้พบ และได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ ทำให้

เราเริ่มรู้สึกได้ ถึงความสุขที่แท้จริง จากการที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในพระธรรม "

เป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจและน่าอนุโมทนาจริงๆ ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนากับท่านเจ้าของบ้าน ท่านผู้ร่วมสนทนา

และท่านที่เกี่ยวข้องทุกๆ ท่านด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เข้าใจ
วันที่ 7 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชา คุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งขอขอบพระคุณ คุณวันชัย และขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธาขอสหายธรรมทุกๆ ท่านที่มี บุญ กุศลที่คอยเกื้อหนุนส่งเสริมให้ได้ฟังพระธรรมเสมอๆ ครับ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 8 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
daris
วันที่ 8 พ.ย. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanakase
วันที่ 8 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
phawinee
วันที่ 8 พ.ย. 2555

กราบระลึกถึงพระคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 8 พ.ย. 2555

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 8 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
rrebs10576
วันที่ 8 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 9 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มิฉะนั้น จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ทรงประจักษ์แจ้งความจริง เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตามความเป็นจริง ทุกขณะ ทุกอย่าง

แล้วก็ทรงแสดงความจริงนั้น ให้คนอื่น ได้เข้าใจตามด้วย

แล้วแต่ว่าอัธยาศัยสะสมมา ที่จะเข้าใจได้ มากหรือน้อย

...กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ...

ขอนำคำนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ที่บ้านมิ่งโมฬี ที่เพิ่งผ่านไป มาใช้

ทุกสิ่งเป็นไปตามคลอง (ครรลอง) หามีผู้ใดกำหนดกฏเกณฑ์ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่

แต่เป็นไป กับด้วยเหตุแลปัจจัย ซึ่งเป็นอนัตตา บังคับบัญชามิได้

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และ

ในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 9 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
khampan.a
วันที่ 9 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
wirat.k
วันที่ 10 พ.ย. 2555

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่วันชัยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pat_jesty
วันที่ 11 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 12 พ.ย. 2555
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ