การรู้แจ้งชึ่งพระนิพพาน เป็นอย่างไร

 
Baramee
วันที่  4 ก.ค. 2555
หมายเลข  21346
อ่าน  2,338

ลองคลิกอ่านดู ...

อยากฝึกสมาธิ

ขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ก.ค. 2555

เรียนเชิญสหายธรรม ให้คำแนะนำ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peeraphon
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขอลองอธิบายตามที่เข้าใจนะครับ

ก่อนที่จะรู้เรื่องอะไรอื่นๆ อย่างแรกเลยที่ต้องรู้คือ "ธรรมมะ คืออะไร?ท"

สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือธรรมะ ธรรมมะทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ สิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย เรียกว่า รูปธรรม และอีกสิ่งหนึ่งเป็นสภาพธรรมมะที่รู้ หรือเรียกสั้นๆ ว่า สภาพรู้ หรือ นามธรรม

๑. นามธรรม - สภาพรู้อารมณ์

๒. รูปธรรม - ไม่รู้อารมณ์

ทั้งหลายทั้งปวงนี้อยู่ใน ปรมัตธรรม ๔ ที่มี จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน. ทีนี้ เมื่อ เรารู้อย่างนี้แล้วว่า ธรรมมะทั้งหลายมีอยู่แค่ ๒ คือ นามธรรมและรูปธรรม. ในปรมัตธรรมนั้น จิต และ เจตสิก เป็น นามธรรม ส่วน รูป เป็น รูปธรรม. เพราะจิต และเจตสิก เป็นสภาพรู้อารมณ์ ซึ่งต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน รู้อารมณ์ เดียวกัน เพียงแต่ จิตเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าในการรู้อารมณ์.

รูป ก็คือ รูปธรรม ซึ่งไม่เหมือนกับทางโลกที่เข้าใจกันคือ รูปภาพ รูปสี รูปร่าง. แต่รูปธรรม คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เช่น เย็น/ร้อน อ่อน/แข็ง ตึง/หย่อน (ไหว)

ที่คุณ Baramee บอกว่า มีการได้ฝึกสมาธินั้น อันที่จริงแล้ว สมาธิ เป็นเจตสิก เกิดขึ้นกับ จิต ทุกประเภทอยู่แล้วครับ ภาษาบาลี ชื่อว่า เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดขึ้นกับ ขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ซึ่งเป็นสภาพการตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งๆ เช่นเพ่งหรือจ้องหน้าจอคอมก็มี เอกัคคตาเจตสิก เกิดร่วมด้วยกับจิต ณ ขณะนั้นครับ.

สมาธิก็มี สอง อย่างอีกเช่นกันคือ มิจฉาสมาธิ และ สัมมาสมาธิ. สัมมาสมาธิ คือ สมาธิเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น ส่วน มิจฉาสมาธิก็ในทางตรงกันข้ามกันคือ เกิดร่วมด้วยกับจิตที่เป็นอกุศล. ต้องเรียนถามอย่างนี้ว่า การนั่งสมาธิ ที่มีความอยากเป็นตัวนำเช่น "อยากสงบ" "อยากหนีความวุ่นวาย" "อยากมีปัญญาเพิ่ม" "อยากได้บุญ" หรืออยากอะไรก็ตาม นั่นคือ มิจฉาสมาธิ เพราะประกอบไปด้วยความเห็นผิด และ ความต้องการ หรือ โลภเจตสิก เพราะมีความติดข้องต้องการนำหน้าครับ

ส่วนที่คุณ Baramee กล่าวว่า "ขอความอนุเคราะห์กับญาติธรรมที่เป็นผู้ปฎิบัติจริงๆ " ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การที่เราฟัง ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน พ่อแม่ หรือใครก็ตาม แม้กระทั่งเห็นตามวัด ป่าเขา ทีวี อ่านหนังสือ ว่ามีการปฏิบัติธรรม โดยการนั่งสมาธิ หรือแม้กระทั่ง การอ่านพระไตรปิฎก อ่านเจอการนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ มี อานาปานสติ เป็นต้น โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมา นั้นถูกต้องหรือเปล่า. อันที่จริงแล้ว คำว่า "ปฏิบัติ" เป็นภาษาบาลี แปลว่า ถึงเฉพาะ หรือ รู้เฉพาะ ไม่ได้แปลว่า ไปนั่งสมาธิเลย. และการศึกษา พระธรรมมีอยู่สามระดับคือ

๑. ปริยัติ - ศึกษา อรรถะ เข้าใจเนื้อหา ในพระไตรปิฎก คำสอน ฯลฯ

๒. ปฏิบัติ - โดยรวมแล้ว คือ เมื่อเราศึกษา ขั้นปริยัติ แล้ว ปัญญาถึงระดับขั้นที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ สติเจตสิก เกิดขึ้น ระลึกรู้ว่า ขณะนั้นไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน

๓. ปฏิเวธ - รู้แจ้ง สภาพธรรมมะ ซึ่งเป็นผลจากการ ศึกษาพระธรรม และ การปฏิบัติ ที่ตรงตามคำสอน ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลกัน

ในเมื่อ การศึกษาพระธรรมมีอยู่สามระดับ. การนั่งสมาธิ ทุกๆ วัน หลายๆ ปี มีความเพียรในการนั่ง นั่งในวัด นั่งที่บ้าน นั่งในสถานที่ปฏิบัติ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ เพราะเนื่องจากว่า ไม่มีการศึกษาขั้นปริยัติ ไม่ใช่การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง (ปฏิบัติ) และแน่นอนว่าไม่สามารถทำให้รู้แจ้งแทงตลอดในสภาพธรรมะได้เลยครับ (ปฎิเวธ) .

ขอแนะนำให้อ่านใน Dhammahome.com เพิ่มเติมครับ และจะเข้าใจว่า ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ แค่ ทำดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เข้าวัด ไหว้พระพุทธรูป ใส่บาตร นั่งสมาธิ เพราะ พระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ตรัสรู้ สิ่งที่เป็นความจริง ที่ไม่ใช่หลับตานั่งและจะรู้แจ้งแทงตลอดได้ครับ

ขออนุโมทนาครับ.

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

สัมมาสมาธิ

เอกัคคตาเจตสิก

เพื่อความเข้าใจเรื่อง ปรมัตถธรรม มากขึ้น สามารถ ดาวน์โหลด หนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขปได้ ที่นี่ ครับ. Click to Download

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" เอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง

เพราะเอกัคคตาเจติก เป็น สัพพจิตตสาธารณะเจตสิก ".

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ความจริง คือสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ทรงแสดงความจริงนั้น สิ่งที่ควรรู้ยิ่งจริงๆ คืออะไร? ก็คือขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เป็นสิ่งที่เป็นฐานของสติ สติระลึกรู้ตรงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน การอบรมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนั่นคือ อริยสัจจะ จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นจนประจักษ์ความจริงนั้นได้

เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจหนทางแล้ว จะนั่งสมาธิหรือจะเข้าใจสมาธิ?

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 5 ก.ค. 2555

ลองคลิกอ่านดู ...

อยากฝึกสมาธิ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 5 ก.ค. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21346 โดย Baramee

พอดีว่าผมได้ฝึกสมาธิมา ๖ ปีแล้วแต่ไม่รู้จะไปสนทนากับใคร

ผมจึงขอความอนุเคราะมายังญาติธรรมทั้งหลายที่เป็นผู้ปฏิบัติจริงๆ

ฝึกสมาธิมา ๖ ปี มีความเข้าใจสัจจธรรมขึ้นบ้างมั้ย และอย่างไรค่ะ?

ขอความอนุเคราะห์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Baramee
วันที่ 6 ก.ค. 2555

ทุกวันนี้คือผมเองก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่ไม่มากนักเพราะไม่มีอาจารย์มาคอยชี้แนะ แต่ก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และ รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลงมาก และก็พอรู้ว่าธรรมมะ คือธรรมชาติ พร้อมทั้งมวลหมู่สัพพสัตว์ทั้งหลาย คือ กองทุกข์เท่านั้นเอง ผมเองไม่เข้าใจในภาษาบาลีเพราะไม่เคยเรียน

ผมขออนุญาตพูดตามความเข้าใจนะครับ ความรู้สึกรู้จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นโดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ พอไปค้นดูในหนังสือก็มีอยู่จริงๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Baramee
วันที่ 6 ก.ค. 2555

อดีตที่ผ่านมาผมเป็นคนใจร้อน เคยด่าพ่อด่าแม่ ตัดขาดแม้กระทั่งพ่อแม่ที่เลี้ยงดูผมมา แต่ปัจจุบันนี้ผมได้สำนึกในความผิดที่ตัวเองกระทำไว้ จึงได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านตัวเอง และเลิกงานก็ไม่ไปเที่ยวไหน อยู่ตัวคนเดียว มาตลอด ๖ ปี

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Baramee
วันที่ 6 ก.ค. 2555

ผมรู้ว่าสัพพสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ชึ่งไม่สามารถตัดออกจากตัวเองได้ แต่ก็พอทำให้เบาบางได้ตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันผมจึงได้ปฏิบัติตัวเองอยู่ในศีลธรรมอันดีมาตลอด ๖ ปี และ ตลอดไป

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Baramee
วันที่ 6 ก.ค. 2555

เมื่อ 3 ก่อนผมนั่งทานข้าวอยู่ก็มีความรู้สึกว่า พระนิพพานก็อยู่ในธรรมชาตินี่เอง ก็คือว่าสิ่งที่เรามองเห็นนี้ก็เป็นธรรมชาติที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าสมมติว่ามันดับพร้อมกันมันก็คือความว่างเปล่า แต่ก็ไม่ใช่พระนิพพานนะครับเป็นเพียงโลกธาตุเท่านั้น ในโลกธาตุนี้ก็จะมีพลังแฝงอยู่จำนวนมาก และถ้าผ่านโลกธาตุเข้าไปก็คือพระนิพพาน มีแต่ความว่างเปล่า หาที่สุดมิได้ ไม่มีขอบเขต ไม่มีความกว้าง ความยาว นั้นก็หมายความว่า สังขารดับ จิตดับ ทุกอย่างดับหมดนั้นแหละพระนิพพาน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Baramee
วันที่ 6 ก.ค. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21346 ความคิดเห็นที่ 6 โดย ไตรสรณคมน์
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21346 โดย Baramee

พอดีว่าผมได้ฝึกสมาธิมา 6 ปีแล้วแต่ไม่รู้จะไปสนทนากับใคร

ผมจึงขอความอนุเคราะมายังญาติธรรมทั้งหลายที่เป็นผู้ปฏิบัติจริงๆ

ฝึกสมาธิมา ๖ ปี มีความเข้าใจสัจจธรรมขึ้นบ้างมั้ย และอย่างไรค่ะ?

ขอความอนุเคราะห์ค่ะ

ทุกวันนี้คือผมเองก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่ไม่มากนักเพราะไม่มีอาจารย์มาคอยชี้แนะ แต่ก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลงมาก และก็พอรู้ว่าธรรมมะ คือธรรมชาติ พร้อมทั้งมวลหมู่สัพพสัตว์ทั้งหลาย คือ กองทุกข์เท่านั้นเอง ผมเองไม่เข้าใจในภาษาบาลีเพราะไม่เคยเรียนผมขออนุญาตพูดตามความเข้าใจนะครับ ความรู้สึกรู้จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นโดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ พอไปค้นดูในหนังสือก็มีอยู่จริงๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Baramee
วันที่ 6 ก.ค. 2555

ผมขอเล่าขั้นตอนของการปฏิบัติของผมตั้งแต่เริ่มต้นนะครับ ถ้ามีตรงไหนที่ผมจะต้องเพิ่มเติมก็ขอให้ทั้งหลายชี้แนะด้วยนะครับ

ช่วงปีแรกผมจะหมั่นทำบุญให้ทาน พร้อมสวดมนต์ สมาทานศีล ๕ เป็นประจำตลอด ๒ ปี ปีที่ ๓ เริ่มนั่งสมาธิจากวันละ ๕ นาที โดยภาวนาว่า พุทโธ พร้อมกำหนดลมหายใจเข้าออกตอนแรกๆ ก็รู้สึกอึดอัด เดี๋ยวนี้รู้สึกสบาย ความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเบ้าไม่คิดอะไรก็เฝ้าดูอยู่แบบนี้มาถึงทุกวันนี้ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
รากไม้
วันที่ 6 ก.ค. 2555

นิพพาน คือ ดับขันธ์ ๕ หรือ ดับจิต-เจตสิก-รูป ... ถ้ายังไม่รู้จักขันธ์ ๕ ก็ละขันธ์ ๕ อะไรไม่ได้เลย จะต้องเริ่มจากว่า ... ต้องปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จนรู้จัก รู้แจ้งในขันธ์ ๕ นี้ก่อน. แล้วเข้าถึงการพ้นจากอุปาทาน ด้วยความแทงตลอดถึงความเห็นถูกต้องตรงทางว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ธาตุขันธ์ ๕ กองเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ... แล้วต่อไปจึงเกิดญาณ ระดับที่ละขันธ์, เมื่อละได้แล้ว เมื่อละหมดแล้ว จึงจะเรียกว่าพ้นจากขันธ์ (พ้นจาก ... รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งเป็นสมุจเฉทปหาน ตามระดับของมรรคจิตที่เกิดขึ้น

ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ยังไม่ได้ดับอวิชชาอะไรเลย จึงเกิดการไปถือเอา หรือหมายสภาพธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นนิพพาน เช่น สภาวะความสงบนิ่งของจิตด้วยรูปฌานบ้าง สภาวะความว่างอย่างยิ่งของจิตด้วยอรูปฌานบ้าง เป็นต้น ... ด้วยอำนาจความหลงผิด ด้วยอวิชชาที่ห่อหุ้มไว้ตลอดอย่างเหนียวแน่นมาก มาเนิ่นนานแสนโกฏิกัลป์ ในสังสารวัฏนี้ ... คือจะเป็นแค่การคิด การเข้าใจผิดว่า เข้าถึงนิพพานได้โดยที่ไม่ต้องละกิเลส แม้แต่ปุถุชนเองที่ไ่ม่รู้อะไรเลย ก็สามารถคิดได้ว่าตนเองไม่มีกิเลสแล้วได้ทุกคน ด้วยความหลงผิดที่หนาแน่นมาก แต่การหลงผิดแบบนี้จะไม่เกิดกับอริยบุคคลทุกระดับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 6 ก.ค. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21346 ความคิดเห็นที่ 13 โดย Baramee

ผมขอเล่าขั้นตอนของการปฏิบัติของผมตั้งแต่เริ่มต้นนะครับ ถ้ามีตรงไหนที่ผมจะต้องเพิ่มเติมก็ขอให้ทั้งหลายชี้แนะด้วยนะครับ

ช่วงปีแรกผมจะหมั้นทำบุญให้ทาน พร้อมสวดมนต์ สมาทานศีล ๕ เป็นประจำตลอด ๒ ปี ปีที่ ๓ เริ่มนั่งสมาธิจากวันละ ๕ นาที โดยภาวนาว่า พุทโธ พร้อมกำหนดลมหายใจเข้าออกตอนแรกๆ ก็รู้สึกอึดอัด เดียวนี้รู้สึกสบาย ความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเบ้าไม่คิดอะไรก็เฝ้าดูอยู่แบบนี้มาถึงทุกวันนี้ครับ

ขออนุโมทนา

ขออนุโมทนาค่ะ

กุศลทุกขั้นเป็นสิ่งที่ควรเจริญ

แต่กุศลสูงสุดคือการขัดเกลากิเลสจนกว่าจะหมดความเป็น"เรา" ค่ะ

ถึงจะให้ทาน รักษาศีล ฝึกสมาธิแค่ไหนก็ยังเป็น "เรา"

ไม่ใช่หนทางที่จะนำออกจากทุกข์ได้จริงค่ะ

ความเข้าใจธรรม (ไม่ใช่ความเข้าใจตามตัวหนังสือ แต่เป็นความเข้าใจ "สภาวะ" ที่มีอยู่ เป็นอยู่ในขณะนี้) เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด

เพราะชีวิตของเราไม่ปราศจากธรรมเลยไม่ว่าอยู่ที่ไหน

แต่ความ "เข้าใจ" ตรงนี้ต่างหากที่เรายังขาดอยู่

อย่าพอใจเพียงแค่ "ความสงบ"

เพราะยังมีสภาวธรรมที่เหนือกว่านั้น

คือ ... ปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Baramee
วันที่ 7 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

ตามที่ท่านทั้งหลายให้คำแนะนำผมมานั้นถูกต้องครับ เพียงแต่ผมบรรยาย หรือสื่อออกมาไม่เป็น เพราะมีปลีกย่อยเยอะมากที่อยู่ในความรู้สึกของผม ปัจจุบันผมเองก็เข้าใจ "สภาวะ" ที่มีอยู่ เป็นอยู่ในขณะนี้ และก็เข้าใจอีกว่า สภาวะความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเกิด ดับอยู่ตลอดเวลา ผมเองไม่ได้เข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรมนะครับ เพียงแต่ผมต้องการระบายความในใจออกจากความรู้สึกเท่านั้นครับ

และตอนนี้ผมเองก็มีอะไรบ้างอย่างที่จะถามดีหรือเปล่า ผมคิดมา ๑ ปีแล้ว ทีแรกคิดว่าจะไม่อยากบอกใคร คือว่าผมสามารถพูดภาษาที่ไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์ได้ และ ๖ ปีที่ผ่านมานี้ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบคบเพื่อน ไม่ชอบความวุ่นวาย ชอบอยู่คนเดียวตามลำพัง ช่วงปฏิบัติธรรม มานี้มีอะไรมากมายที่ไม่เข้าใจหลายอย่าง แต่ก็พยายามที่จะหาคำตอบให้ตนเองมาตลอด ได้บ้างไม่ได้บ้าง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
Baramee
วันที่ 7 ก.ค. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21346 ความคิดเห็นที่ 16 โดย ไตรสรณคมน์
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21346 ความคิดเห็นที่ 13 โดย Baramee

ผมขอเล่าขั้นตอนของการปฏิบัติของผมตั้งแต่เริ่มต้นนะครับ ถ้ามีตรงไหนที่ผมจะต้องเพิ่มเติมก็ขอให้ทั้งหลายชี้แนะด้วยนะครับ

ช่วงปีแรกผมจะหมั้นทำบุญให้ทาน พร้อมสวดมนต์ สมาทานศีล ๕ เป็นประจำตลอด ๒ ปี ปีที่ ๓ เริ่มนั่งสมาธิจากวันละ ๕ นาที โดยภาวนาว่า พุทโธ พร้อมกำหนดลมหายใจเข้าออกตอนแรกๆ ก็รู้สึกอึดอัด เดียวนี้รู้สึกสบาย ความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเบ้าไม่คิดอะไรก็เฝ้าดูอยู่แบบนี้มาถึงทุกวันนี้ครับ

ขออนุโมทนา

ขออนุโมทนาค่ะ

กุศลทุกขั้นเป็นสิ่งที่ควรเจริญ

แต่กุศลสูงสุดคือการขัดเกลากิเลสจนกว่าจะหมดความเป็น"เรา" ค่ะ

ถึงจะให้ทาน รักษาศีล ฝึกสมาธิแค่ไหนก็ยังเป็น "เรา"

ไม่ใช่หนทางที่จะนำออกจากทุกข์ได้จริงค่ะ

ความเข้าใจธรรม (ไม่ใช่ความเข้าใจตามตัวหนังสือ แต่เป็นความเข้าใจ "สภาวะ" ที่มีอยู่ เป็นอยู่ในขณะนี้) เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด

เพราะชีวิตของเราไม่ปราศจากธรรมเลยไม่ว่าอยู่ที่ไหน

แต่ความ "เข้าใจ" ตรงนี้ต่างหากที่เรายังขาดอยู่

อย่าพอใจเพียงแค่ "ความสงบ"

เพราะยังมีสภาวธรรมที่เหนือกว่านั้น

คือ ... ปัญญา ค่ะ

จากความรู้สึกของผมในปัจจุบัน ผมมองตัวเองเป็นเพียงกองทุกข์เท่านั้น ไม่มีตัวเราเป็นของเราอีกแล้วครับ (เพราะช่วงนี้มีผู้ชี้แนะให้พิจรณาสังขารของตนเอง เพราะตัวเองเป็นอย่างไรคนอื่นก็เป็นดังนั้น)

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
saree
วันที่ 7 ก.ค. 2555
จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ