นาม รูป เท็จหรือไม่เท็จ จริงหรือไม่จริง?

 
Guest
วันที่  9 ส.ค. 2554
หมายเลข  18897
อ่าน  2,877

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 673

ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อัน เป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้ง เทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง. ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่น ไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นามรูปของผู้ นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความ สูญสิ้นไป เป็นธรรมดา. นิพพานมีความไม่สูญสิ้นไปเป็น ธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2554

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมหลากหลายนัย โดยทั่วไปเมื่อศึกษาพระธรรมตามที่พระ พุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ก็เข้าใจนัยหนึ่งว่า นาม-รูป เป็นของจริง บัญญัติเรื่องราวไม่จริง อธิบาย นาม-รูป ของจริง บัญญัติ เรื่องราว ไม่จริง นามธรรมและรูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นของจริง คือ จิต เจตสิกและรูป สิ่งที่ไม่จริง คือ เรื่องราวบัญญัติ ดังนั้นที่ นามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป มีจริง เพราะมี ลักษณะให้สามารถรู้ได้ เช่น จิต มีจริงเพราะมีลักษณะคือสภาพรู้ จิตได้ยินมีจริง กำลัง ปรากฎและมีลักษณะคือ ได้ยินเสียง แข็ง (รูป) มีจริง กำลังปรากฎเพราะมีลักษณะให้รู้ คือ สภาพที่แข็ง ดังนั้นที่นามและรูปมีจริง เพราะมีลักษณะให้รู้ ปรากฎในขณะนี้ แต่บัญญัติ หรือเรื่องราว ไม่มีจริง เพราะไม่มีลักษณะให้รู้ เป็นแต่เพียงเรื่องราวครับ นี่คือการแสดง ธรรมของพระพุทธเจ้า โดยนัยหนึ่ง ที่เปรียบเทียบระหว่าง เรื่องราวที่เป็นบัญญัติ ไม่มีจริง เพราะไม่มีลักษณะให้รู้ ส่วนนาม-รูปมี จริงเพราะมีลักษณะให้รู้ ดังนั้นนาม-รูป เป็นของจริงเมื่อเปรียบเทียบกับบัญญัติเรื่องราวครับ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า นาม-รูป มีจริง โดยนัยการเปรียบเทียบกับบัญญัติเรื่องราว เราก็จะไม่เอามาปนกับอีกนัยหนึ่งนะครับ นั่นคือ นาม-รูป เป็นเท็จ นิพพาน มีจริง นั่นคือการเปรียบเทียบระหว่างสภาพธรรมที่เป็นนิพพาน และ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2554

อธิบาย นาม รูป เป็นเท็จ นิพพาน เป็นของจริง

นาม-รูป เป็นของเท็จ อธิบายโดย 2 นัยดังนี้

1.นาม-รูป เป็นของเท็จ เพราะด้วยอำนาจความยึดถือของสัตว์โลก

2.ตัวสภาพนาม-รูปเองเป็นของเท็จ เพราะเกิดขึ้นและดับไปไม่เหลือเลย จึงเป็นเท็จเมื่อ เทียบกับพระนิพพาน ที่ไม่เกิดดับ

นาม-รูป เป็นของเท็จ เพราะด้วยอำนาจความยึดถือของสัตว์โลก

สัตว์โลกย่อมสำคัญว่า นาม-รูป คือ ตัวเราที่เป็นขันธ์ 5 นี่เป็นของจริง สำคัญว่าเป็น ของจริงอย่างไร คือ สำคัญว่าตัวเรา ขันธ์ 5 นี้เที่ยง เป็นสุข งามและเป็นตัวเรา สัตว์ โลก จึงสำคัญว่านาม-รูป คือ ขันธ์ 5 จริงอย่างนี้ คือสำคัญผิดนั่นเองว่า เที่ยง สุข งาม ตัวเรา แต่ในความเป็นจริง นาม-รูป ขันธ์ 5 ที่ยึดถือว่าตัวเรา ในความเป็นจริงไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่งาม และไม่ใช่ตัวเรา ดังนั้น เพราะสัตว์โลกยึดถือว่างาม เที่ยง เป็นสุข แต่นาม-รูปไม่เป็นอย่างนั้น ตามความยึดถือของสัตว์โลก เพราะไม่เป็นอย่างนั้นตาม ที่สัตว์โลกยึดถือ จึงเป็นเท็จ เพราะสิ่งที่สัตว์โลกยึดถือว่านาม-รูปจริง ด้วยเที่ยง สุข งามและเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล แต่ความจริง ไม่เป็นอย่างนั้น จึงเป็นเท็จครับ และเป็น อย่างอื่นไปจากที่เคยยึดถือครับ

ท่านผู้มีความสำคัญในนาม รูป อัน เป็นของมิใช่ตน ว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้ง เทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนาม รูป ซึ่งสำคัญ นาม รูปนี้ ว่า เป็นของจริง. ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใดๆ นาม รูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่น ไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นาม รูปของผู้ นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนาม รูป มีความ สูญสิ้นไป เป็นธรรมดา.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2554

นาม-รูปเป็น ของเท็จอีกนัยหนึ่ง คือ ตัวสภาพนาม-รูปเอง เป็นของเท็จเพราะเกิดขึ้น และดับไปไม่เหลือเลย จึงเป็นเท็จ เมื่อเทียบกับพระนิพพาน ที่ไม่เกิดดับ นามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป ไม่ เหลือเลย และจะไม่กลับมาอีก ดังนั้น ไม่ว่าสัตว์โลกจะยึดถือ หรือไม่ยึดถือก็ตามว่า เป็นของจริง ตัวสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมทีเป็นจิต เจตสิก รูปก็ต้องเกิด ขึ้นและดับไปโดยสภาพธรรมของเขาอยู่แล้วครับ ต่างจากพระนิพพานที่เป็นสภาพ ธรรมที่เที่ยง ยั่งยืน ไม่มีกิเลส เป็นสุขแท้จริง ดังนั้น สภาพธรรมที่เป็นพระนิพพานจึง เป็นของจริงครับ ส่วน จิต เจตสิก รูป ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เป็นของเท็จเพราะเกิด ขึ้นและดับไปไม่เหลือเลย ดังนั้นโดยนัยนี้ ตัวนามธรรมและรูปธรรม เป็นของเท็จ แม้ว่า สัตว์โลกจะไม่ได้เข้าไปยึดถืออย่างไรก็ตาม แต่ นามธรรมและรูปธรรมก็เป็นของเท็จ โดยสภาพธรรมของตัวมันเอง คือเกิดขึ้นและดับไป มีความสูญสิ้นไปเป็นธรรมดาจึงเป็น เท็จครับ เมื่อเปรียบเทียบกับพระนิพพาน ที่ไม่เกิดดับ สมดังที่อรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 689

ก็เพราะเหตุไร จึงเป็นของเท็จเล่า. เพราะนาม รูป มีความสูญสิ้นเป็นธรรมดา คือ เพราะสิ่งใดปรากฏขึ้นนิดหน่อย ย่อมมีความสูญสิ้นเป็นธรรมดา คือมีความย่อยยับไปเป็น ธรรมดา และ นาม รูป ก็เป็นเหมือนอย่างนั้น.

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2554

อธิบาย นิพพาน เป็นของจริง

สัตว์โลก ยึดถือว่านาม-รูป เป็นของจริง คือยึดถือว่าเที่ยง งาม เป็นสุขและเป็นเราแต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ตามความยึดถือของสัตว์โลก จึงเป็นของเท็จ แต่พระนิพพาน สัตว์โลกสำคัญว่าเป็นเท็จ เพราะเข้าใจว่าไม่มีอะไรเลย จึงไม่มีความสุข ซึ่งเราจะเห็นได้ง่าย ถามว่าจะไปพระนิพพานไหม คนที่ยังยึดถือในความสุข ในความเป็นเราก็ไม่อยากไปเพราะโลกนี้ อยู่ที่นี่ มีขันธ์ 5 มีความสุขดี นี่คือสำคัญผิด แต่สำคัญว่าถ้าถึงพระนิพพานไม่มีอะไรเลย คงจะไม่ได้ความสุขเหมือนอยู่ในโลกนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากถึงพระนิพพาน สัตว์โลกจึงสำคัญผิดว่า นิพพาน เป็นของเท็จ เพราะไม่มีความสุข ไม่มีอะไร เลย แต่สำคัญว่า สิ่งที่มี ขันธ์ 5 เป็นของจริง แต่ในความเป็นจริง พระอริยเจ้าทั้งหลาย เห็นตรงกันข้ามกับชาวโลก ว่า นิพพานนั้นจริง จริง เพราะเป็นสภาพธรรมที่เที่ยง ไม่เกิด ขึ้นและดับไป ที่สำคัญ เป็นสุขที่แท้จริง เพราะไม่มีกิเลส ไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น อัน เป็นเหตุให้ทุกข์นั่นเองครับ จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพาน จึงเป็นสภาพธรรมที่จริงแท้ ที่สุดครับ สมดังอรรถกถาอธิบายไว้ว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ ๖ - หน้าที่ 688

บทว่า ปุน ย ทรงกล่าวหมายถึงนิพพาน.เพราะนิพพานนั้น อันชาวโลกมองเห็นว่า นิพพานนี้ เป็นของเท็จ ไม่มีอะไร เพราะไม่มีรูปและเวทนา เป็นต้น. บทว่า ตทมริยาน เอต สจฺจพระอริยเจ้าทั้งหลาย เห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญา ว่านิพพานนั้นเป็นของจริง ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย เห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ว่า นิพพานนั้น เป็นของจริงโดยปรมัตถ์ ในการไม่ปราศจากความเป็นสุข คือ ไม่มีกิเลส ความเป็นสุข อันเป็นปฏิปักษ์แห่งความทุกข์ ความเป็นของเที่ยง อันได้แก่ความสงบ โดยส่วนเดียว.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2554

สรุปคือ นาม-รูป เป็นเท็จ เพราะสัตว์โลกเข้าไปยึดถือว่าจริง ว่าเที่ยง เป็นสุข งาม และ เป็นเรา แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะความจริง นามรูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็น อนัตตา การที่ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไปตามที่สัตว์โลกยึดถือ เพราะฉะนั้น นาม-รูปจึง เป็นเท็จ ไม่จริงตามที่สัตว์โลกยึดถือเอานั่นเองครับ อีกนัยหนึ่ง นาม-รูป เป็นเท็จ เพราะตัวสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั้นมี ความเกิดขึ้นและดับไป ไม่เหลือเลย และไม่กลับมาอีก เพราะการเกิดขึ้นและดับไปของ นามธรรมและรูปนั้นเอง จึงเป็นเท็จ แม้สัตว์โลกจะยึดถือ หรือไม่ยึดถือก็ตาม นามธรรม และรูปธรรม ก็เป็นเท็จ เพราะสภาพธรรมนั้นไม่เที่ยง สูญสิ้นไปเป็นธรรมดาครับ ซึ่งตรง ข้ามกับสิ่งที่จริง คือ พระนิพพานที่เที่ยง เป็นสุข จึงเป็นของจริงเครับ นาม-รูป จึงเป็น เท็จ เมื่อเปรียบเทียบกับพระนิพพาน ที่ไม่เกิดและดับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 9 ส.ค. 2554

การศึกษาธรรม จึงต้องเป็นผู้ละเอียดว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม โดยนัยเทศนา หลากหลาย เพื่อให้สัตว์โลกที่สะสมอัธยาศัยมาได้เข้าใจความละเอียดและหลากหลาย นัยครับ แม้ในเรื่องนาม-รูป เป็นของจริง หรือ ของเท็จ ก็เช่นเดียวกัน บางนัยแสดงว่านาม รูป เป็นของจริง เพราะมีลักษณะ จึงเป็นของจริง ส่วนบัญญัติเรื่องราว ไม่ใช่ของจริง เพราะไม่มีลักษณะ จึงเป็นของไม่จริง เป็นของเท็จ เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงโดยนัยนี้ ก็คือ เข้าใจโดยนัยนี้ ไม่ไปปนกับอีกนัยหนึ่ง เพราะกำลังเปรียบเทียบในส่วนของนาม-รูป คือ จิต เจตสิก รูป กับ บัญญัติ เรื่องราว ครับ

ส่วนอีกนัยหนึ่ง นาม-รูป เป็นของเท็จ นิพพานเป็นของจริง นี่ก็เป็นพระธรรมเทศนาอีก นัยหนึ่ง ว่า นาม-รูป เป็นของเท็จ เพราะไม่เป็นไปตามอำนาจความยึดถือของสัตว์โลกว่า เที่ยง สุข งาม และ นาม-รูป เป็นเท็จเพราะตัวนามธรรม รูปธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปเกิด ขึ้นและดับไป สูญสิ้นไปเป็นธรรมดา จึงเป็นของเท็จครับ ดังนั้น เมื่อแสดงโดย 2 นัย ก็เข้าใจ 2 นัย ไม่มาปะปนกันว่า ทำไมตอนแรกกล่าวว่า นามและรูปเป็นของจริง คราวนี้ แสดงว่าเป็นของเท็จ นามและรูปจริงโดยนัยแรก เพราะมีลักษณะ และเมื่อเทียบกับ บัญญัติ แต่นามรูปเป็นเท็จ อีกพระสูตรหนึ่ง เพราะนาม-รูปสูญสิ้นไปเป็นธรรมดา และ เมื่อ เปรียบเทียบกับพระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่เที่ยงครับ นิพพานจึงจริงเพราะเที่ยง และเป็นสุข นาม-รูป เป็นเท็จ เพราะไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ครับ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับสหายธรรมทั้งหลายไม่มากก็น้อย

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 9 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะด้วยครับ เป็นคำอธิบายที่เป็นประโยชน์มากอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะทำให้เป็นผู้มีความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ก็ไม่พ้นไปจากธรรมในชีวิตประจำวันเลย จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง มีความละเอียดลึกซึ้งมาก ทรงแสดงโดยนัยต่างๆ ใช้พยัญชนะต่างๆ

ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความงุนงง แต่เพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่อง นามรูป เป็นของเท็จ พระนิพพาน เป็นของจริง มีนัยที่ละเอียด ควรค่าแก่การศึกษาพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่จะเห็นอย่างนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ

นาม รูป เป็นของเท็จ [สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน โดยสภาวลักษณะแล้วเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ฟังในสิ่งที่มีจริง ก็เห็นว่าเที่ยง ยั่งยืน ไม่เกิดดับ เห็นว่ามีคนจริงๆ มีดอกไม้จริงๆ เป็นต้น แต่สำหรับผู้มี่มีปัญญา เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอะไรเหลือ หาความเป็นสาระเป็นแก่นสารไม่ได้ นาม รูป เป็นเท็จ เพราะเกิดแล้วดับไป]

พระนิพพาน เป็นของจริง [พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่เกิดไม่ดับ พระอริยบุคคลทุกระดับขั้น ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน รู้พระนิพพานตามความเป็นจริง แต่ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เข้าใจความจริง ก็เห็นว่า พระนิพพานไม่มีจริง ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา เป็นต้น แต่สำหรับพระอริยบุคคลแล้ว ท่านประจักษ์แจ้งพระนิพพาน อันเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสังขารธรรม เป็นสภาพธรรมที่เทียงเพราะไม่เกิดดับ เป็นสภาพธรรมที่สงบจากกิเลสและสังขารธรรมทั้งปวง] สภาพธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น [ถึงแม้ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

ธรรม ก็ต้องเป็นธรรม ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น] สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาจริงๆ และความเห็นของผู้ที่ไม่มีปัญญา กับ ผู้ที่มีปัญญา ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jesse
วันที่ 9 ส.ค. 2554

เป็นหัวข้อธรรมที่มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ ได้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับสภาพธรรมมากขึ้น ไม่คิดเลยว่า ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้จะมีความละเอียดลึกซึ้งถึงขนาดนี้

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 9 ส.ค. 2554

ขณะที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นอยู่ในโลกของความเท็จ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 ส.ค. 2554

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะครับ

เป็นคำอธิบายที่ละเอียด ให้เห็นความลึกซึ้งของธรรมะ เป็นประโยชน์มากๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pat_jesty
วันที่ 9 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 9 ส.ค. 2554

ตัวสภาพนาม-รูปเองเป็นของเท็จเพราะเกิดขึ้นและดับไปไม่เหลือเลยจึงเป็นเท็จเมื่อ เทียบกับพระนิพพานที่ไม่เกิดดับ

นามรูป เป็นของเท็จ [สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่เทียง ไม่ยั่งยืน โดยสภาวลักษณะแล้วเป็นอย่างนี้ แต่ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ฟังในสิ่งที่มีจริง ก็เห็นว่าเที่ยง ยั่งยืน ไม่เกิดดับ เห็นว่ามีคนจริงๆ มีดอกไม้จริ งๆ เป็นต้น แต่สำหรับผู้มี่มีปัญญา เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอะไรเหลือ หาความเป็นสาระเป็นแก่นสารไม่ได้ นามรูป เป็นเท็จ เพราะเกิดแล้วดับไป]

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ..

เป็นกระทู้ที่ทำให้เกิดความเข้าใจมั่นคงขึ้นจริงๆ ค่ะว่า ทุกอย่างอยู่ที่ความเข้าใจใน ความจริงไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใด ก็จะเข้าใจได้ ขอบพระคุณอีกครั้งคะ


แท้จริงนามรูปเป็นสิ่งที่มีจริง แต่การปรากฏของนามรูปปรากฏ แก่ผู้ไม่รู้โดยความเป็นเท็จ นามรูปเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว เกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ... หาสาระอะไรไม่ได้ นามรูปจึงเป็นเท็จ

ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มได้ที่ ...

แม้นามรูปก็เท็จ ... นิพพานเท่านั้นที่จริง

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
bsomsuda
วันที่ 10 ส.ค. 2554

เป็นประโยชน์มากจริงๆ ค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ลุงหมาน
วันที่ 13 ส.ค. 2554

อนุโมทนาในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Sam
วันที่ 14 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาคุณเผดิมและทุกๆ ท่านครับ

ขออนุญาตร่วมสนทนา

อะไรจริง อะไรเท็จย่อมขึ้นกับปัญญาของแต่ละคน สำหรับผู้ไม่ได้ศึกษาพระ

ธรรม มักเห็นว่าแม้บัญญัติก็เป็นจริง ผู้ที่มีปัญญาขั้นการฟังย่อมเข้าใจได้ว่า บัญญัติเป็นเท็จ แต่ในชีวิตประจำวันก็มักเห็นว่าบัญญัติเป็นจริง ผู้ที่เริ่มเจริญสติปัฏฐานเริ่มเห็นว่าปรมัตถธรรมคือรูปและนามเป็นจริง บัญญัติเป็นเท็จ ส่วนพระอริยบุคคผู้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ย่อมเห็นพระนิพพานว่าเป็นจริงยิ่งกว่ารูปและนาม และด้วยพระปัญญาคุณและพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค ที่ได้ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนดังที่ยกมาในหัวข้อนี้ว่า พระนิพพานเป็นจริง รูปและนามเป็นเท็จครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
tanapoom
วันที่ 16 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
homenumber5
วันที่ 3 ก.ย. 2554

ท่านวิทยากร คำว่าเท้จ จริง ในพระไตรปิฎก มีความหมายอย่างไรคะ ๑ เข้าใจว่า นามรูป นั้นมีในภพของอบายภูมิสี่ กามาวจร รูปพรหม อรูปพรหมบางกลุ่ม ตราบใดที่ยังมีนามรูป นิพพานย่อมไม่เกิด จริงหรือไม่คะ เพราะทุกข์ ๑๖๐ นั้น คือนามรูป ทั้งนั้น การไปสู่นิพพานต้องทำลายทุกข์ทั้งหมด ผู้ประสงค์นิพพานจึงต้องสิกขา ทุกข์ ๑๖๐ เพื่อไปปหาน เพื่อสู่นิพพาน จริงหรือไม่
๒ ผู้แสวงหาโลกุตรธรรมนั้นย่อมต้องสิกขาพระอภิธรรมให้เข้าใจเพื่อ ทราบถึงการเกิดดับแห่งนามรูป แล้วนำเข้าสู่การปหาน เพื่อดับนามรูปเหล่านี้ ไม่ว่าจะจริงเท็จมีหน้าที่สิกขาและไปปหานกองทุกข์เท่านั้น ส่วนการฟังพระธรรมสำหรับดิฉันเห็นว่าเป็นทางเดียวเท่านั้นของมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมตามปรมัตถธรรม ถึงเหตุปัจจัยที่ให้เกิดสังสารวัฏฏ์กและ นำตนออกจากสังสารวัฏฏ์ก ซึ่งต้องใช้เวลา หลายๆ ๆ ๆ ชาติ แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกำไรแสนกัปป์เลย ดังัน้ ท่านที่ปรารถนาการหลุดพ้นจากกองทุกข์จึงต้องอดทนใจเย็นฟังะรรม ไปเรื่อยๆ นานาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แต่มิได้ให้ทิ้งทางโลก เพราะหากไม่มีสัมมาอาชีพ การสิกขาธรรมใช่ว่าจะง่ายดาย
๓.สำหรับการปฏิบัติ ทำกรรมฐาน อภิญญา ทั้งหลาย คงไม่ใช่ สาระที่ปุถุชน จะริอ่านไปกระทำได้ เพราะยังไม่รู้ทฤษำคือพระไตรปิฎกอย่างถ่องแท้ แล้วลงมือปฏิบัติ คงมีผลร้ายมากกว่าดี ถูกต้องไหมคะ
๔.อนึ่ง การที่หลายสำนัก เชิญชวนไป ปฏิบัติ วิปัสสนา จงกรมฯลฯ สารพัดนั้น อันนี้ ท่านวิทยากร มีความเห็นว่า ปุถุชน สามารถทำได้ไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
paderm
วันที่ 6 ก.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 20 ครับ

ตอบ

ข้อที่ 1. แม้จะมีนาม รูป คือ จิต เจตสิก รูป แต่ก็สามารถทำพระนิพพานให้เกิดได้ ด้วย

การอบรมปัญญาถึงความเนพระอริยะบุคคล ประจักษ์พระนิพพาน โดยมีพระนิพพานเป็น

อารมณ์ของจิต ที่เป็นมรรคจิตนั่นเอง ขณะนั้นก็มีนามและรูปอยู่ครับ แต่ก็ประจักษ์พระ

นิพพานได้ครับ

ข้อที่ 2.ถูกต้องครับ

ข้อที่ 3.ถูกต้องครับ

ข้อที่ 4. ถ้าเริ่มจากความเข้าใจผิด เข้าใจว่าปฏิบัติคือการทำอะไรซักอย่าง เช่น เข้าใจ

ว่า ปฏิบัติ วิปัสสนา คือ การเดินจงกรม หรือ นังสมาธิ เป็นความเข้าใจที่ผิด ดังนั้นเมือ่

เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าใคร บุคคลใดก็ไม่ควรไป ไม่ควรทำครับเพราะจะทำ

ให้หลงไปในความเห็นผิดเพิ่มขึ้น ไม่สามารถออกจากวัฏฏะได้เลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
kinder
วันที่ 8 ก.ย. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 10 ธ.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ