ทราบว่ามีแม่ชีสามารถหยั่งรู้

 
natpe
วันที่  18 มิ.ย. 2549
หมายเลข  1361
อ่าน  2,032

ผมเคยได้ยินเรื่องที่แม่ชีท่านหนึ่งที่สามารถล่วงรู้กรรมของผู้อื่นได้ และสามารถอ่านใจและทราบว่าเขาเกิดวันที่เท่าไร เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องก็โกหกหรือเปล่าครับ คำพูดของแม่ชีท่านนั้น "มันไม่ใช่ความงมงายเพราะว่าพอฝึกสมาธิระดับหนึ่งก็จะสามารถมีพลังจิตที่สามารถไปสัมผัสจิตอีกดวงหนึ่งได้ว่า คนนี้ชื่อนี้ นามสกุลนี้ เห็นวันนั้นไหม (วันนั้นคือวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 วันที่คลื่นสึนามิถล่มเอเชียใต้ ยามบ่ายแม่ชีดูกรรมให้กับผู้ที่มาปฏิบัติธรรม) " ฝึกสมาธิมีพลังงจิตจริงหรือครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 18 มิ.ย. 2549

การรู้กรรมและผลของกรรมของตนและผู้อื่นเป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แม้พระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ยังไม่ใช่วิสัยของท่านที่จะรู้ได้ เหตุใดคนในยุคนี้เพียงฝึกสมาธินิดหน่อย ยังไม่ถึงฌานหรืออภิญญา จะกล้ากล่าวว่าตนรู้อดีตกรรมของผู้อื่นหรือ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
study
วันที่ 18 มิ.ย. 2549
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
namarupa
วันที่ 18 มิ.ย. 2549

ตัวดิฉันเองไม่เคยสนใจเลย ว่าผู้ใดจะกล่าวว่า ท่านเป็นผู้ล่วงรู้กรรมของผู้อื่นและสามารถอ่านใจของผู้อื่นได้ หากเราศึกษาธรรมจริงๆ และเข้าใจในการทำงานของ จิตและเจตสิกแล้ว เราสามารถที่จะแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนจริงและสิ่งไหนไม่จริง แล้วจะเป็นไปได้ยังไงคะ ที่เราจะไปรู้จิตใจของบุคคลอื่น เพราะแม้ขณะที่เรามีจิตเป็นกุศลหรืออกุศล ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถที่จะรู้จิตของเราได้เลย จะกล่าวไปใยกับจิตของผู้อื่นคะ อย่าลืมนะคะว่า ประโยชน์สูงสุดของการศึกษาพระธรรมจะอยู่ที่ การหมั่นพิจารณาในจิตของตน ขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศลมากกว่า และอีกประการหนึ่ง การที่เราจะไปรู้จิตของผู้อื่นซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยนั้น ถามว่าประโยชน์ที่เราจะได้รับนั้นอยู่ตรงไหนคะ? ขอถามค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wirat.k
วันที่ 18 มิ.ย. 2549

คำถามของคุณ natpe ก็เป็นประโยชน์กับพวกเราทุกๆ คน แถมยังเป็นโอกาสให้ได้พิจารณาถึงการศึกษาพระพุทธศาสนา ในยุคสมัยที่พระศาสดาปรินิพพานผ่านมาแล้วถึงราว 2549 ปี ว่าความเข้าใจของผู้ที่เรียกตนว่าเป็น "ชาวพุทธ" ทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร....เชื่อในเรื่องที่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ หรือ เรื่องอื่นที่พวกเรา"ชอบใจ" กันแน่??? แน่นอนครับ เรื่องที่ตื่นเต้นน่าสนใจย่อมมักจะตรงกับสภาพธรรมที่เป็นสหายเก่า (โลภะ) ของเรานั่นเอง พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียด สุขุม ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจแม้ในขั้นที่เป็นเรื่องราวนะครับ
ทางที่ดีเราควรเริ่มต้นศึกษาด้วยความมีเหตุมีผล พร้อมทั้งตรวจสอบความเข้าใจจากหลักฐานที่มีปรากฏในขณะนี้ก็คือพระไตรปิฎกและอรรถกถา หากจะไปเชื่อถือเรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไป แทนที่จะเป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกก็กลายเป็นสะสมความเห็นผิดโดยไม่รู้ตัว...ซึ่งหากเริ่มต้นด้วยความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงแล้วก็หาทางแก้ไขลำบากครับ
เริ่มด้วยความเข้าใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และต้องไม่ลืมว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ คนสมัยนั้นก็มีการเจริญกุศลขั้นทาน ศีล และสมถภาวนา แต่เขาเจริญถูก ไม่ได้เจริญด้วยความเห็นผิด จากนั้นจึงมีการเจริญวิปัสสนาหลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วคนรุ่นนี้โดยมากก็เห็นว่าการไปทำอะไรผิดแผกแตกต่างจากชีวิตประจำวันโดยที่ไม่ได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร แล้วก็คิดเอาเองว่า นั่นคือ การปฏิบัติธรรม (ฮิต หรือวัยรุ่นเรียก "In Trend" มาก ในหมู่ที่เรียกตนเองว่าผู้ปฏิบัติธรรม) แล้วเป็นไปได้หรือครับที่จะละกิเลสได้ด้วยความไม่รู้ หรืออยู่ดีๆ แบบไม่รู้อะไรแต่ไปทำอะไรแปลกๆ นิดๆ หน่อยๆ แล้วปัญญาจะผุดขึ้นมา??? หรือแม้แต่ทำจนตายแต่ก็ด้วยความไม่รู้ ไม่ประกอบด้วยแม้แต่เหตุผลที่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า สมาธิ คือ เอกัคคตาเจสิก ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะอยู่แล้ว แต่เป็นไปในโลภะหรือประกอบด้วยปัญญา....
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่ถูกตรง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะค่อยๆ ช่วยละคลายความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ที่สะสมมาเนิ่นนาน แล้วก็ไม่ได้เป็นไปโดยปุบปับรวดเร็วตามความต้องการของใครๆ ได้ ไม่ได้มีระบบแพ็จเก็จสำเร็จรูปดั่งจิตดั่งใจอะไรเลย แต่ก็ยังเป็นที่น่ายินดีและเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่ยังมีกลุ่มสหายธรรมที่ช่วยกันนำพระธรรมคำสอนจากหลักฐาน คือ พระไตรปิฎก มาช่วยกันศึกษาและเผยแพร่ให้ผู้ที่ได้สะสมบุญบารมีมาให้ได้ยินได้ฟัง แถมยังมีสื่อที่อำนวยความสะดวกให้พวกเราได้ศึกษา... โปรดศึกษาให้เข้าใจเถอะครับ ทีละเล็กทีละน้อย ตามกำลังสติปัญญาของตนเอง แล้วก็อย่าลืมพินิจพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่าจริงหรือไม่ประการใด แล้วความเป็นผู้งมงายตื่นข่าว ก็คงจะค่อยๆ เบาบางไป จากปัญญาของเราเองที่ได้ไตร่ตรองในเหตุในผล หรือจะกลับไปเชื่อตามที่เขาว่ามาเพราะเหตุว่าง่ายดี มีความหวัง และตรงกับที่ลึกๆ แล้วคิดเอาไว้ก็สุดแท้แต่ละท่านนะครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 มิ.ย. 2549
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Nirvana
วันที่ 28 มิ.ย. 2549

ขอสรุปเรื่อง กรรม เรื่อง ชาติก่อน เรื่องนี้รู้ได้ด้วยการปฏิบัติ ไม่สามารถรู้ได้ด้วย ปริยัติ เรื่องเหล่านี้ รู้ได้ด้วย ญาน สมาธิ จิต ไม่ใช่ตัวหนังสือ ไม่ได้ก้าวล่วงพระอภิธรรม แต่เป็นการเข้าใจกันคนละมิติ ที่มีเฉพาะบางคนเท่านั้นที่เข้าถึง และไม่เป็นสาธารณะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ckitipor
วันที่ 1 ก.ค. 2549

ผู้ที่มีความสามารถรู้อดีตชาติของตน และผู้อื่นอย่างละเอียดนั้น มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของพระองค์เอง อดีตชาติของพระสาวกและอดีตชาติของบุคคลต่างๆ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลผู้ฟัง ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ผู้ใดจะหยั่งรู้อดีตชาติของตนและผู้อื่นได้ ท่านควรศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจะเป็นประโยชน์มากกว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ckitipor
วันที่ 1 ก.ค. 2549

ผู้ที่จะรู้อดีตชาติของผู้อื่นอย่างละเอียดต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระสาวกที่มีอภิญญาจิต (จุตูปปาตญาณ) ย่อมรู้การจุติและอุบัติของผู้อื่นได้ระดับหนึ่งเท่านั้น รู้ไม่ละเอียดเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
saowanee.n
วันที่ 2 ก.ค. 2549

เรียนคุณ Nirvana,

ผู้ที่ได้อภิญญาจิตนั้น ต้องอบรมเจริญความสงบที่เป็นสมถภาวนา จนได้อัปปนาสมาธิถึงขั้นจตุตถฌาณคะ ซึ่งในยุคสมัยนี้ไม่ใช่กาลสมบัติ ในครั้งพุทธกาลก็มีผู้ได้อภิญญาจำนวนไม่น้อย รวมทั้งท่านอาราฬดาบส และอุทกดาบส หรือแม้แต่ท่านพระเทวทัต แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำตนออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ จะไม่เป็นการเสียเวลาหรือคะ กับการไปทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ เพราะเวลานี้พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคก็ยังอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๓ ปิฎก สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้วย่อมสงบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จึงไม่จำเป็นต้องไปทำสมาธิ สภาพธรรมในขณะนี้มีปรากฎให้รู้ได้พิสูจน์ได้ แต่ไม่สนใจ เพราะเพียรอยากไปรู้สิ่งอื่นที่ยังไม่ปรากฎ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระสัทธรรมต้องอันตรธาน เพราะขาดผู้ที่มีศรัทธาศึกษาและเข้าใจจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jirat wen
วันที่ 7 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ