ชุด วิถีจิต แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๑


    เท่าที่ได้ฟังจากท่านผู้ฟัง รู้สึกว่าบางท่านยังสับสน คือ ยังไม่เข้าใจชัดเจน ในเรื่องของชวนวิถีทางปัญจทวาร และทางมโนทวาร บางท่านคิดว่า ขณะใดที่เป็น กุศลจิตหรืออกุศลจิตซึ่งเป็นชวนวิถี ขณะนั้นต้องเป็นวิถีจิตทางมโนทวารแล้วจึงจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตได้

    เพราะฉะนั้น ขอกล่าวถึงเรื่องของทวาร และกิจของจิตอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นสิ่งที่สะสม และจะได้ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าใจเรื่องของสภาพธรรม และ เมื่อสติปัฏฐานมีโอกาสจะเกิดจนกระทั่งถึงสังขารุเปกขาญาณ ก็มีปัจจัยที่จะทำให้ ถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่ไม่หวั่นไหวได้

    การที่จะเข้าใจเรื่องของทวารได้ ต้องเข้าใจเรื่องกิจของจิต หรือการที่จะเข้าใจเรื่องกิจของจิตได้ ก็ต้องเข้าใจเรื่องทวารประกอบกันไปด้วย ซึ่งทั้งกิจของจิต และทวารก็คือในขณะนี้เอง

    ข้อสำคัญที่จะต้องเข้าใจ คือ จิตทุกดวงเกิดขึ้นกระทำกิจการงานของจิตนั้น และดับไป ไม่มีจิตดวงไหนเลยซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทำกิจการงาน

    การฟังธรรมต้องพยายามเข้าใจ ไม่ต้องท่อง เช่น จิตทุกดวงที่เกิดขึ้นต้องทำกิจการงาน ไม่มีจิตสักขณะเดียวหรือสักดวงเดียวที่เกิดขึ้นโดยไม่ทำกิจอะไร เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวถึงโดยละเอียดจริงๆ ขอเริ่มตั้งแต่ขณะจิตแรกที่เกิดขึ้น ในชาติหนึ่ง ซึ่งจิตขณะแรกที่เกิดขึ้นในชาติหนึ่งต้องมีแน่ๆ มิฉะนั้นแล้วจิตในขณะนี้ ก็มีไม่ได้เลย

    จิตขณะแรกที่เกิดขึ้นในชาติหนึ่งๆ เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น จิตขณะแรกที่เกิดขึ้นจึงเป็นชาติวิบาก คือ เป็นวิบากจิต จิตที่เกิดขึ้นขณะแรกทำกิจด้วย ไม่ใช่ไม่ทำกิจ คือ ทำปฏิสนธิกิจ ทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน

    ถ้าได้ยินคำว่า ปฏิสนธิจิต รู้เลยว่าหมายความถึงจิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ซึ่งเป็นกิจแรกของชาติหนึ่งๆ

    อย่าลืม รู้จักกิจที่ ๑ ของจิตดวงแรกแล้ว คือ ปฏิสนธิกิจ

    ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย ด้วยเหตุผลแล้วจะมีจิตที่เกิดขึ้นทำ ปฏิสนธิกิจอีกได้ไหม ไม่ได้เลย กิจนี้มีจิตที่ทำเพียงดวงเดียว คือ วิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมหนึ่งเท่านั้นเอง

    ปฏิสนธิจิตรู้อารมณ์อะไร

    นี่เป็นเหตุที่จะทำให้เข้าใจเรื่องของทวารด้วย ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับ จิตก่อนจะจุติของชาติก่อน จึงไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย

    ทวาร คือ ประตู หรือทางที่จิตจะเกิดขึ้นเป็นไป แต่ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม และมีอารมณ์เดียวกับจิตก่อนจุติของชาติก่อน จึงไม่ต้องอาศัย ทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์เลย

    มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ตติยกรรมสูตร ข้อ ๑๙๖ มีข้อความว่า

    จะชื่อว่าเทพ ชื่อว่าสัตว์นรก ชื่อว่าสัตว์เดียรัจฉาน ก็เพราะปฏิสนธิจิต

    ที่ชื่อว่ามนุษย์ในขณะนี้ ก็เพราะปฏิสนธิจิตเป็นผลของกุศลนั่นเอง แต่ถ้าเป็นผลของอกุศล ก็ต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย

    แสดงให้เห็นว่า ปฏิสนธิจิตขณะแรก เป็นผลของกรรมที่จะประมวลมา ซึ่งผลของกรรมอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างที่ยังไม่จุติ

    กิจที่ ๑ คือ ปฏิสนธิกิจ ซึ่งจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจนี้เป็นขณะแรก และดับไป เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น

    จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ก็ควรจะพิจารณาว่า จิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตนั้น ทำกิจอะไร และรู้อารมณ์อะไร

    นี่คือชีวิตของแต่ละคนก่อนที่จะมีการเห็น การได้ยิน เป็นสุข เป็นทุกข์ มีปัญหาชีวิตมากมาย มีความเพลิดเพลินต่างๆ ซึ่งควรที่จะรู้สภาพธรรมที่เป็นอนัตตาโดยการที่เหมือนแว่นแก้วที่ส่องขยายจิตโดยละเอียดตั้งแต่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นขณะแรกดับไป และจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตเป็นจิตประเภทไหน ทำกิจอะไร รู้อารมณ์อะไร

    จิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต เป็นวิบากจิต คือ เป็นผลของกรรมประเภทเดียวกันกับปฏิสนธิจิตนั่นเอง กิจที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิกิจ ทำกิจภวังค์ คือ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นไว้

    คำว่า ภวังค์ มาจากคำว่า ภพ หรือ ภว กับคำว่า อังค

    ภพ คือ ความเป็น อังค คือ ส่วน เพราะฉะนั้น ก็คือส่วนที่เป็นอยู่ หรือสภาพที่เป็นอยู่ซึ่งจะต้องดำรงความเป็นสภาพนั้นอยู่ในขณะที่ภวังคจิตเกิด จะไม่เปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นเลย จิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมเดียวกับ ปฏิสนธิจิต จึงทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นไว้ในขณะที่ภวังคจิตเกิด และดับไป และภวังคจิตก็เกิด และก็ดับไป

    ภวังคจิตทุกขณะมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต เป็นชาติวิบาก และรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ จึงไม่ต้องอาศัยทางทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น

    ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด และภวังคจิตเกิด ขณะนั้นอารมณ์ไม่ปรากฏเลย จริงหรือไม่จริง ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด และดับไป และขณะที่ภวังคจิตเกิดสืบต่อ และ ดับไป ตราบใดที่ยังเป็นภวังคจิต ตราบนั้นอารมณ์ไม่ปรากฏ นี่เป็นเหตุที่ไม่ต้องอาศัยทวาร เพราะว่าไม่มีอารมณ์ปรากฏทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องของทวาร และเรื่องของจิต ควรที่จะได้ทราบว่า ขณะใดที่อารมณ์ไม่ปรากฏ ขณะนั้นเพราะจิตไม่ได้อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้น

    อีกครั้งหนึ่ง ขณะใดที่อารมณ์ไม่ปรากฏ ขณะนั้นเพราะจิตไม่ได้อาศัย ทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น หลังจากปฏิสนธิจิตเกิด และดับไป ภวังคจิตเกิดสืบต่อ ภวังคจิตจะเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ โดยอารมณ์ไม่ปรากฏเลยจนกว่า จิตประเภทอื่นจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิจิต และภวังคจิต ตอนนี้แหละที่จะต้องอาศัยทวารเป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังคจิต

    ถ้าเกิดในครรภ์เป็นมนุษย์ จะมีหทยรูป มีภาวรูป มีกายปสาทรูปเกิดพร้อมกับ ปฏิสนธิจิตก็จริง แต่การรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังคจิตนั้น สำหรับวาระแรกต้องเป็นวิถีจิตทางมโนทวาร

    เพราะฉะนั้น ขอกล่าวถึงมโนทวารก่อน สำหรับผู้ที่ตายแล้วเกิดอีกนั้น คือ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ซึ่งการสะสมความพอใจในแต่ละภพในแต่ละชาติที่มีมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อปฏิสนธิจิต และภวังคจิตเกิด และดับไป การสะสมความยินดีพอใจในภพชาติที่สะสมมานับประมาณไม่ได้เลยนั้น จะเป็นปัจจัยให้ภวังค์ไหว ตามความยินดีพอใจที่สะสมมา

    แสดงให้เห็นว่า ทันทีที่เกิด แม้จะอยู่ในครรภ์ และมีรูปกลุ่มที่เล็กที่สุด ๓ กลุ่ม แต่วิถีจิตแรกที่ไม่ใช่ภวังคจิต ต้องเกิดขึ้นทางมโนทวาร โดยเป็นความยินดีพอใจใน ภพชาติ

    การที่จิตจะเกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติได้ ก็เพราะว่าเคยสะสมความยินดีพอใจในภพชาติมามากมาย ฉะนั้น เมื่อจิตเกิด และก็ดับ เกิด และก็ดับเป็นภวังค์อยู่นั้น วาระแรกที่จะรู้อารมณ์อื่น ก็เพราะความยินดีพอใจในภพชาตินั่นเองทำให้ ภวังคจิตไหว และเมื่อภวังคจิตไหวซึ่งภาษาบาลีว่า ภวังคจลนะ ดับไปแล้ว ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดต่อ เป็นการสิ้นสุดกระแสภวังค์ เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว จิตอื่นจึงเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์

    จิตใดๆ ก็ตามที่รู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ จิตนั้นเป็นวิถีจิต และการที่จิตจะรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังคจิตได้นั้น ต้องอาศัย ทางหนึ่งทางใดที่ภาษาบาลีใช้คำว่า ทวาร ซึ่งทั้งหมดมี ๖ ทาง ได้แก่ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑

    สำหรับทางใจ คือ สภาพของจิตที่เป็นภวังค์ที่เกิดก่อนวิถีจิตจะเกิดนั่นเอง เป็นมโนทวาร เป็นทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจ เพราะฉะนั้น มโนทวาร ได้แก่ ภวังคุปัจเฉทะ ซึ่งเกิดก่อนวิถีจิต

    ผู้ฟัง ที่เรียกทวาร เพราะเป็นทางรับอารมณ์ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ เพราะว่าธรรมดาแล้วเมื่อปฏิสนธิจิตดับไป ภวังคจิตจะเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ และมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต จึงไม่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใด เพราะยังมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิตอยู่ ต่อเมื่อใดที่จะไม่มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต เมื่อนั้นจึงต้องอาศัย ทวารหนึ่งทวารใดเพื่อจะรู้อารมณ์อื่น ซึ่งมีอยู่ ๖ ทาง ได้แก่

    จักขุปสาทรูป เป็นทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นเห็นสี และเป็นไปกับสีที่ปรากฏ ๑ รูป หรือ ๑ ทวาร

    ทวารที่ ๒ คือ โสตปสาทรูป เป็นทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง และเป็นไปกับเสียงที่ปรากฏทางโสตทวาร นี่เป็นทวารที่ ๒

    ทวารที่ ๓ คือ ฆานปสาทรูป เป็นทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นได้กลิ่น และเป็นไปกับกลิ่นที่ปรากฏที่จมูก

    ทวารที่ ๔ คือ ชิวหาปสาทรูป เป็นรูปที่เป็นทางให้จิตเกิดขึ้นลิ้มรส และเป็นไปกับรสที่ปรากฏ

    ทวารที่ ๕ คือ กายปสาทรูป เป็นรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วกาย เป็นทางที่จะให้จิตเกิดขึ้นรู้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวที่กระทบสัมผัสกาย

    นี่คือรูป ๕ รูป ซึ่งเป็นทางหรือทวารให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่สำหรับมโนทวาร ไม่ใช่รูป เพราะแม้ไม่มีรูปกระทบ การที่เคยสะสมความยินดีพอใจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งดับไปแล้ว แต่สัญญา ความทรงจำที่สะสมความจำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็เป็นปัจจัยทำให้วิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นอีก ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตไม่รู้อารมณ์เดียวกับภวังค์ ขณะนั้นเป็นวิถีจิต ทางหนึ่งทางใด ถ้าไม่ใช่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ต้องเป็นวิถีจิตทางมโนทวาร โดยอาศัยจิตซึ่งเกิดก่อนเป็นทางให้จิตที่เป็นวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์

    ผู้ฟัง มีการสั่งสมทำให้วิถีจิตเกิดได้ โดยไม่ต้องอาศัยปสาทใดๆ

    ท่านอาจารย์ ที่ไม่อาศัยปสาทใดๆ ก็เพราะว่าขณะนั้นไม่ใช่การเห็นสิ่งที่กระทบตา ไม่ใช่การได้ยินเสียงที่กระทบหู เป็นแต่เพียงการนึกถึงเรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่เคยสะสมมา ไม่ว่าจะเป็นการระลึกถึงด้วยความยินดี หรือความไม่ยินดีพอใจ หรือด้วยกุศลจิตก็ตาม การสะสมนั้นเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดการนึกถึงอารมณ์นั้น เพราะฉะนั้น ขณะที่จะนึกถึงอารมณ์นั้น ก่อนที่จะนึกถึงอารมณ์นั้น จิตเป็นภวังค์

    และเมื่อจะนึกถึง ภวังคุปัจเฉทะต้องดับก่อน โดยก่อนภวังคุปัจเฉทะ ภวังคจลนะต้องเกิดไหวเพื่อที่จะทิ้งอารมณ์ของภวังค์ เพื่อรู้อารมณ์ใหม่

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1795

    นาที 16:58

    สำหรับจุดประสงค์ในวันนี้ ขอเพียงให้ท่านผู้ฟังเข้าใจปฏิสนธิจิต และปฏิสนธิกิจ ซึ่งเป็นกิจที่ ๑ และภวังคกิจ เป็นกิจที่ ๒

    กิจทั้งหมดของจิตมี ๑๔ กิจ ไม่มากเลย แต่จิตมีจำนวนถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท เพราะฉะนั้น จะต้องทราบว่า จิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภทนั้นที่เกิดขึ้น จะต้องทำกิจหนึ่งกิจใดใน ๑๔ กิจ ค่อยๆ เข้าใจไปทีละกิจ

    สำหรับวันนี้เป็นปฏิสนธิกิจ และภวังคกิจ และเริ่มที่จะเข้าใจเรื่องของทวาร คือ ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์เดียวกับภวังคจิต เพราะว่าในขณะที่ เป็นภวังค์ อารมณ์ไม่ปรากฏ แต่กรรมไม่ได้ทำให้จิตปฏิสนธิแล้วเป็นภวังค์อยู่เรื่อยๆ กรรมจะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ เป็นผลของกุศลกรรมบ้าง เป็นผลของอกุศลกรรมบ้าง แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงอารมณ์อื่นๆ ทางทวารอื่นๆ ควรที่จะได้ทราบว่า ขณะใดที่เป็นภวังคจิต ขณะนั้นไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร เพราะว่าขณะนั้นไม่ได้รู้อารมณ์อื่น เพียงแต่เป็นจิตที่เป็นภวังค์ มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ

    ผู้ฟัง เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิสนธิจิต ชั่วขณะนิดเดียวก็เป็นภวังคจิต ภวังคจิตก็ยังไม่มีอารมณ์ และ อารมณ์ ...

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ภวังคจิตต้องรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ยังไม่เปลี่ยนอารมณ์

    ผู้ฟัง จะเริ่มเปลี่ยนอารมณ์เมื่อไร ตอนออกจากครรภ์มารดา หรือยังอยู่ ในครรภ์มารดา

    ท่านอาจารย์ ในครรภ์มารดาก็เปลี่ยนอารมณ์ได้ เพราะว่าจิตทุกขณะเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ยังไม่ทันที่จะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น แม้ว่าขณะนั้นมีกายปสาทรูป เพราะว่ากายปสาทรูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต

    ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดจะมีกลุ่มของรูป ๓ กลุ่มเกิดพร้อมกับปฏิสนธิ กลุ่มหนึ่ง คือ หทยวัตถุ เรียกว่า หทยทสกะ มีรูปรวมกัน ๑๐ รูป เป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องมีรูปเป็นที่เกิดของจิต ๑ กลุ่ม และมีภาวทสกะ กลุ่มของรูปที่เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ๑ กลุ่ม และมีกายทสกะ ซึ่งมีกายปสาทรูปเกิด แต่แม้กระนั้นความรวดเร็วของการเกิดดับของจิตซึ่งจากปฏิสนธิ และก็เป็นภวังค์ๆ วิถีจิตแรกเป็นมโนทวารวิถี ซึ่งโลภมูลจิตจะเกิดขึ้นยินดีพอใจ ในภพในภูมิที่กำลังเป็นอยู่ ตามการสะสม

    ผู้ฟัง โลภมูลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ โลภมูลจิตมีอารมณ์อื่นจากปฏิสนธิ และภวังค์ เพราะฉะนั้น จึงยินดีพอใจในภพชาติที่กำลังเป็นอยู่

    ผู้ฟัง ยินดีพอใจโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ ตอนนั้นยังไม่คลอดจากครรภ์มารดา

    ท่านอาจารย์ ความยินดีพอใจเกิดรวดเร็วตามการสะสม ชั่วระยะสั้นๆ จะรู้ตัวไหม ถ้าไม่ใช่เป็นวาระนานๆ ที่เรารู้สึกว่าเราเป็นสุขมากๆ จิตต้องเกิดหลายวาระ หลายวิถีจิต ถ้าเพียงวาระเดียวซึ่งมีวิถีจิตหลายๆ วิถี แต่เป็นวาระเดียวเท่านั้น ก็เร็วมากทีเดียว เพราะขณะนี้ที่กำลังเห็น จักขุทวารวิถีจิต อย่างที่ได้เคยกล่าวถึงแล้วว่า รูปมีอายุ ๑๗ ขณะ และที่เป็นวิถีจิตก็เริ่มตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต พวกนี้เป็นวิถีจิตทั้งหมด เพราะว่า ไม่ใช่ภวังค์ และกำลังรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ชวนจิตที่เป็นโลภมูลจิตเกิดยินดีพอใจ ในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ ชวนวิถีจิตที่เป็นโลภะเกิดดับ ๗ ขณะ รูปก็ยังไม่ดับ หลังจากนั้นตทาลัมพนจิตก็เกิด ๒ ขณะ

    ในขณะที่เป็นจักขุทวารวิถีจิต ซึ่งกำลังมีรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะจิต ยังไม่ดับ เป็นขณะที่สั้นมาก

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1796


    หมายเลข 68
    2 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ