สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 003


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๓

    วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ แต่กรรมยังทำให้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายเพื่อให้จิตเกิดขึ้นเห็น ขณะนี้ที่เห็นเป็นผลของกรรม เพราะว่าบางครั้งจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ และมีหูด้วย อาจจะไม่รู้ว่ากรรมเป็นปัจจัยให้เกิดโสตปสาทเพื่ออะไร เพื่อเป็นทางรับผลของกรรม เพราะทุกคนก็มีหูเหมือนกัน แต่ว่าเสียงที่มากระทบ หรือว่าที่จะได้ยินก็ต่างกัน นอกจากนั้นก็มีจมูก มีลิ้น มีกาย กายปสาทซึมซาบทั่วตัวที่จะกระทบกับสิ่งที่เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ทำให้เกิดเจ็บป่วย หรือทำให้เกิดสุขสบาย ก็เป็นเรื่องของผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นก็เป็นความชัดเจนที่จะต้องรู้ว่าก็คือจิต เจตสิก นั่นเองที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังทำงานจะไม่พ้นจากผลของกรรมใช่ไหม มีเห็น มีได้ยิน ที่ทำงานบางแห่งก็คงจะสบาย แต่ที่ทำงานบางแห่งก็คงจะลำบาก ก็แล้วแต่ กลับไปถึงบ้านก็ยังต่างกันอีก แต่ก็เหมือนกันโดยที่ว่าเห็น แต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้นต่างกัน

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรม และประโยชน์อะไร ก็คือเราจะมีความเข้าใจธรรม แล้วเราจะมีความเข้าใจ และเห็นใจคนอื่น เพราะแท้ที่จริงเราไม่ต้องเรียกชื่อธรรมใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นธรรม ซึ่งถ้าเป็นธรรมฝ่ายดีก็เป็นกุศลธรรม ถ้าเป็นธรรมฝ่ายไม่ดีก็เป็นอกุศลธรรม เอาชื่อออกหมด ไม่มีใครทำ แต่ว่าเพื่อที่จะให้สะดวกที่จะให้เข้าใจว่าหมายความถึงใคร อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นผู้สร้างพระวิหารเชตวัน ถ้าเราไม่เรียกชื่อท่าน เราจะพูดอย่างไรถึงจะให้เข้าใจว่าหมายถึงกุศลจิตประเภทไหน อย่างไร เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และก็ได้กระทำกุศลใดๆ บ้าง จึงมีชื่อสำหรับเรียกสภาพธรรมทุกอย่าง แต่เราไม่ควรจะติดแต่เพียงชื่อ แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงด้วยว่าชื่อนั้นหมายความถึงสภาพธรรมอะไร

    เช่น คำว่า จิต จิตฺต ในภาษาบาลี หรือ จิตตัง หมายความถึงสภาพรู้ หรือธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ หรืออารมณ์ แต่สิ่งที่เกิดกับจิตทั้งหมดเป็นเจตสิกทั้งหมด เป็นการแยกกันของจิต เจตสิก จิตเกิดดับไม่หยุดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เจตสิกที่เกิดกับจิตบางครั้งก็เป็นเจตสิกที่ดี เป็นกุศลเจตสิก และบางครั้งก็เป็นเจตสิกที่ไม่ดี อย่างโกรธนเป็นเจตสิกที่ไม่ดี อิสสาริษยาเป็นเจตสิกที่ไม่ดี จริงๆ แล้วถ้าศึกษาธรรมก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เป็นกุศลจิต เป็นอกุศลเจตสิกต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น ก็จะมีความเข้าใจ และก็มีความเห็นใจ เพราะว่าแต่ละคนจะเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนเป็นใคร ไม่มีใครสามารถที่จะย้อนไปรู้ได้ ถ้าไม่มีปัญญาระดับที่สามารถที่จะระลึกชาติได้ แต่ต้องมีเหตุที่จะทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ เฉพาะในชาตินี้ และต่อไปเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะเลือกกรรมได้ว่าจะให้กรรมไหนให้ผล เช่นเดียวกับชาตินี้ที่เราเกิดมาเป็นคนนี้ เราก็ไม่ได้เลือกว่าจะให้กรรมนั้นให้ผลทำให้เราเกิดเป็นคนนี้ แต่ทุกอย่างแล้วแต่เหตุปัจจัย ทุกคนทำกรรมไว้มากในชาตินี้ ในชาติก่อนนับไม่ถ้วน แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ทรงแสดงอดีตกรรมของพระองค์

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็มีกรรมที่ได้ทำแล้วที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ เมื่อเกิดมาแล้วก็แล้วแต่ว่าจะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุข แล้วแต่กรรมว่าเป็นวาระของกรรมใดถึงกาลที่จะเกิดจึงเกิดได้ เช่นในขณะนี้ ถึงเวลาที่เห็นจะเกิด เห็นก็เกิด ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่เห็นตรงนี้จะเกิดอย่างเมื่อวานนี้ เห็นตรงนี้ก็เกิดไม่ได้ใช่ไหม เห็นสิ่งนี้ขณะนี้ก็มีไม่ได้ แต่ที่กำลังเห็นสิ่งนี้ขณะนี้เพราะเหตุว่าถึงเวลาที่กรรมจะทำให้เห็นสิ่งนี้ขณะนี้ ต่อไปกรรมก็ทำให้เห็นสิ่งอื่นที่บ้านหรือที่ถนนอะไรก็แล้วแต่

    เพราะฉะนั้นก็จะเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องของกรรม และผลของกรรม สำหรับพุทธบริษัทก็จะเป็นผู้ที่มั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรม ถ้าเข้าใจเช่นนี้จะมีกุศลจิตเกิดเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าไม่เข้าใจเช่นนี้ในเรื่องของกรรม และผลของกรรม ก็จะมองไม่เห็นเลยว่าแท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาธรรมได้เลย เพราะฉะนั้นผลก็คือว่าทำให้รู้จักตัวเอง เมื่อรู้จักตัวเอง แล้วรู้จักคนอื่นไหม ความโกรธความขุ่นเคืองใจของเรากับความโกรธความขุ่นเคืองใจของคนอื่นเหมือนกันหรือต่างกัน แม้แต่สัตว์ แมว นก มีความกลัว ลักษณะของความกลัวของสัตว์กับลักษณะความกลัวของคนเหมือนกันหรือต่างกัน เพราะว่าเป็นเพียงความกลัว อย่างจิตเห็น จะเห็นที่นี่ จะเห็นบนฟ้า จะเห็นใต้น้ำ ไม่เอารูปร่างเข้ามาเกี่ยวเลย เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงนามธรรมก็คือพูดถึงสภาพรู้หรือธาตุรู้ ไม่ได้เอารูปเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะฉะนั้นเพียงเห็นถ้าไม่นึกถึงรูปร่างสัณฐานเลย เห็นก็คือเห็นไม่ว่าจะเห็นที่ไหน สุขก็คือสุข ทุกข์ก็คือทุกข์ ใครจะได้ลาภยศสรรเสริญมากเท่าไหร่ก็แล้วแต่กรรมที่ทำมา เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่จะเข้าใจชีวิตขึ้น แล้วก็รู้จักตัวเอง รู้จักคนอื่น พร้อมกันนั้นก็มีจิตใจที่เห็นว่ากุศลดีกว่าอกุศล เพราะฉะนั้นก็จะมีการช่วยเหลือบุคคลอื่น มีการเจริญกุศลมากขึ้น นี่ก็จะเป็นผลที่ค่อยๆ เกิดตามกำลังของสติปัญญาที่เข้าใจธรรม และรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ตามที่ท่านอุปติสสปริพาชกได้บรรลุธรรมโดยฟังธรรมจากพระอัสชิ ขอถามว่าเพราะเหตุใด โดยขอให้ตอบตามหลักของพระอภิธรรมที่ท่านอาจารย์ได้พูดถึงเรื่องจิต เจตสิก รูป ว่าการบรรลุโดยฉับพลันด้วยจิตดวงไหนทำงาน มีปฏิสนธิจิต ภวังคจิต หรือจุติจิต อะไรอย่างไร มีความเป็นใหญ่ของจิตดวงไหน ในการบรรลุธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงบรรลุธรรมต้องเข้าใจว่าอะไรบรรลุ เมื่อครู่นี้ไม่มีคนไม่มีสัตว์เลยใช่ไหม มีแต่สภาพธรรม สภาพธรรมก็มีหลายอย่าง ความโกรธบรรลุธรรมไม่ได้แน่นอน ความโลภก็บรรลุธรรมไม่ได้ ความเมตตาจะทำให้บรรลุธรรมรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม ไม่ได้ ได้ยินคำว่าสติบ่อยๆ สติก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม รู้แจ้งธรรมได้ ต้องเป็นปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ คือในธรรมตามความเป็นจริงของธรรมนั้น เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงปัญญา ก็เป็นอีกคำหนึ่งซึ่งภาษาไทยเราก็ใช้คำนี้ เริ่มตั้งแต่โรงเรียนครูก็จะรายงานว่ามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก นี่เป็นความต่างกัน สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นปัญญาในทางโลกที่เราเข้าใจว่าสามารถที่จะสร้างเครื่องยนต์กลไกต่างๆ ได้ สามารถที่จะคิดเรื่องยารักษาโรค สามารถที่จะสร้างสิ่งที่วิจิตรต่างๆ ถ้าขณะนั้นไม่รู้ความจริงที่เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก เราขอยืมคำมาใช้ แต่ว่าเราก็จะต้องทราบว่าปัญญาเจตสิกเป็นธรรมที่สามารถเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏจนกระทั่งประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ท่านพระสารีบุตรต้องมีปัญญาที่เข้าใจคำว่าธรรม ต้องมีปัญญาในขณะที่ฟังรู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน แล้วสามารถที่จะประจักษ์การดับไป เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ก็คลายความยึดถือว่าเป็นเราเพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดดับ เมื่อคลายความยึดมั่น ในสิ่งที่เคยเป็นเราทั้งหมด หรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมทั้งหมด เห็นโทษภัยว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดดับจึงน้อมไปสู่การที่จะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ตราบใดที่เรายังพอใจในโลกคือในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในความเป็นเรา เมื่อนั้นก็จะไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ ๓ คือนิพพาน ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานโดยวิธีใดๆ ก็ตาม ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้

    เพราะฉะนั้นการเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือการเป็นพระอัครสาวกของท่านพระสารีบุตร ก็คือปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่พระอรหันต์อื่นนอกจากท่านพระสารีบุตร ก็ไม่ได้เป็นเอตทัคคะคือไม่ได้เป็นผู้เลิศ ไม่ได้เป็นอัครสาวกผู้เลิศในทางปัญญาอย่างท่านก็สารีบุตร เพราะฉะนั้นก็จะเห็นระดับขั้นของปัญญาที่ต่างกันตั้งแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวก พระอัครสาวก และพระอรหันต์อื่นๆ ด้วย แต่ทั้งหมดต้องรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องเป็นปัญญาที่ดับกิเลสเพราะเหตุว่ามีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนี้ถ้าอบรมเจริญปัญญาเท่าท่านพระสารีบุตรหรือจะน้อยกว่าก็ได้ แต่ว่าสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมในขณะนี้ ก็สามารถที่จะประจักษ์ได้เพราะเหตุว่าเป็นความจริง

    ขณะนี้ความจริงคือสภาพธรรมเกิดแล้วดับ พอที่จะเชื่อหรือยังว่าเป็นอย่างนี้ หรือเป็นแต่เพียงแนวทางที่เริ่มเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วทุกอย่างไม่เที่ยง เราพูดกันบ่อยๆ แต่พูดระยะไกลใช่ไหม เกิดมาแล้วแก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ก็บอกว่าไม่เที่ยง วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เที่ยง วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้ป่วยไข้เป็นโรคร้ายแรงก็ไม่เที่ยง เราเข้าใจความไม่เที่ยงในระยะที่ยาวมาก แต่ขณะนี้เองไม่นับเป็นวินาทีเลย เพราะว่าเร็วกว่านั้นมาก ที่ทรงแสดงไว้ก็คือว่าทรงแสดงอายุของรูปๆ หนึ่ง ขอให้คิดถึงว่าที่โต๊ะหรือที่หนึ่งที่ใด มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดมากๆ และพร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อใดก็ได้ เพราะฉะนั้นในกลุ่มเล็กที่สุดกะลาปหนึ่งที่เกิดมาจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ ขอให้คิดดูว่าขณะที่กำลังเห็น ไม่ใช่ขณะที่กำลังได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิด เพราะว่าแม้ไม่เห็นก็คิดได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นความคิดอาศัยการเห็นแล้วคิดก็มี อาศัยการได้ยินแล้วคิดก็มี หรือว่าไม่อาศัยการเห็นการได้ยินเลยแต่คิด เช่นในขณะที่ฝัน ก็คิด

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้ว่าจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยินในขณะนี้ ซึ่งดูเสมือนว่าพร้อมกัน ไม่มีอะไรที่จะทำให้เห็นว่าแยกขาดจากกันตอนไหนได้เลย แต่ความจริงแล้วจิตที่เกิดคั่นระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปๆ หนึ่ง หรือกลาปหนึ่งซึ่งมีอากาศธาตุแทรกขั้นอย่างละเอียดยิบ มีปัจจัยเกิดแล้วดับ มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วรูปจะดับเร็วปานใด เร็วยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ใดๆ จะสามารถคิดได้ว่าในขณะที่เหมือนเห็น และได้ยินพร้อมกัน รูปดับไปแล้ว ทั้งๆ ที่แยกกันไม่ออก นี่คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศึกษาโดยละเอียด และก็อบรมปัญญามาจริงๆ ก็จะต้องประจักษ์อย่างนี้ เพราะว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ความจริงที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดสำหรับให้พุทธบริษัทได้ศึกษา และได้อบรมเจริญปัญญาที่จะสามารถประจักษ์ความจริงนี้ได้

    ผู้ฟัง กรุณาพูดถึงความหมายของการอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    อ.สุภีร์ การที่เราจะเข้าใจคำต่างๆ ที่แปลกๆ ออกไป ก็ต้องเข้าใจความหมายของสิ่งนั้นๆ ก่อน ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่าทุกอย่างในขณะนี้ก็ตาม หรือในขณะไหนก็ตามก็ไม่พ้นธรรม ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงสติปัฏฐาน ก็ต้องไม่พ้นธรรมด้วยเช่นกัน เพราะว่าขณะนี้ทุกๆ ท่านนั่งอยู่ก็คือธรรมนั่นเอง ก็คือจิตเจตสิกรูปที่มีเหตุปัจจัยแล้วเกิดขึ้น ที่กล่าวว่ามีเหตุปัจจัยแล้วเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเหล่านี้ เป็นอนัตตา คือไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ว่าจะให้อะไรเกิดขึ้น หรือจะให้เกิดขึ้นอย่างไร ทุกท่านลองค่อยๆ นึกดูว่าอีกหนึ่งนาทีข้างหน้าจะเห็น จะได้ยินอะไร ซึ่งอีกหนึ่งนาทีข้างหน้าสภาพธรรมเหล่านั้นก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย เราไม่สามารถที่จะบังคับได้เลยว่า จะให้ได้เห็นสิ่งนี้ จะให้ได้ยินสิ่งนี้ สิ่งเหล่านั้นมีเหตุก็เกิด ทุกๆ ขณะในขณะนี้ หรือขณะไหนขณะต่อไปก็ตาม เมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ เราอยู่ที่นี่อยู่ที่บ้าน อยู่บนดวงจันทร์ หรือว่าอยู่ในที่ไหน ทุกๆ อย่างเกิดจากเหตุ

    ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่พ้นธรรม และการเจริญสติปัฏฐาน การจะเกิดขึ้นได้เหล่านั้นก็ต้องมาจากเหตุ ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ เหมือนกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และการคิดนึกในขณะนี้ก็ตาม ก็มาจากเหตุ สติปัฏฐานก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งก็มาจากเหตุด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการที่จะเข้าใจการอบรมเจริญสติปัฏฐานก็ต้องเริ่มตั้งแต่ความเข้าใจขั้นแรกที่ความหมายของสติปัฎฐาน คืออะไร อันที่จริงการอบรมเจริญสสติปัฏฐานกับคำที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าเป็นมรรค อาจจะเคยได้ยินว่าเป็นมรรคสัจจะ รู้ว่าทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจะเป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือการอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เจริญขึ้นๆ เพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เหมือนที่ท่านผู้ฟังได้ถามว่าทำไมท่านพระสารีบุตรฟังธรรมเพียงนิดเดียวว่าธรรมเหล่าใดเกิดจากเหตุ ทุกท่านที่นั่งอยู่ขณะนี้เป็นธรรมใช่ไหม ธรรมขณะนี้มาจากเหตุถ้าสามารถรู้ความจริงในขณะนี้ก็สามารถบรรลุได้เช่นเดียวกับท่านพระสารีบุตร ถ้ามีปัญญาถึงระดับนั้น เพราะว่าทุกๆ ขณะขณะนี้ก็เป็นธรรม ขณะต่อๆ ไปก็เป็นธรรม แต่จะมีธรรมประการหนึ่ง คือปัญญานั่นเองที่รู้ความจริง ในเมื่อปัญญายังไม่เกิดขณะนี้ หรือว่าเกิดแต่ไม่มีกำลังพอที่จะรู้ความจริงได้ ก็จะยังไม่สามารถตรัสรู้ได้ในขณะนี้ ฉะนั้นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญอบรมมรรคมีองค์ ๘ หรือการอบรมเจริญทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ก็เป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือเป็นการอบรมเจริญปัญญาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้

    ผู้ฟัง การใช้ชีวิตประจำวันให้มีความสุขสงบ เราจะต้องรู้จักธรรมในระดับไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีเรา ไม่สงบไม่สุขใช่ไหม เพราะเหตุว่ามีความกังวลในเรื่องของเรา แต่ว่าถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรมซึ่งเลือกไม่ได้แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น เราก็สามารถที่จะอดทนแล้วก็รับทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเรา จะเป็นการสูญเสียญาติพี่น้องทรัพย์สมบัติ หรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่มีเหตุที่ได้ทำมาแล้วสิ่งนี้ก็จะเกิดกับเราไม่ได้ หรือจะเกิดกับใครก็ไม่ได้ เวลาที่เราอ่านหนังสือพิมพ์ เราก็จะเห็นความทุกข์ต่างๆ ของหลายบุคคลแต่ละชีวิต ลองคิดว่าถ้าเป็นเราจะมีความรู้สึกอย่างไร ก็ไม่ต่างกันเลยกับเขาซึ่งกำลังเป็นอย่างนั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าเวลาที่เรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็มีความเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดอย่างนี้กับคนนี้บุคคลนี้ ที่นั่นที่นี่ ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้เกิดอย่างนั้นก็จะเกิดอย่างนั้นไม่ได้เลย เราไม่สามารถที่จะรู้ความวิจิตรของการให้ผลของกรรม ไม่รู้เวลาที่กรรมจะให้ผล ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้เท่ากรรม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จิตของเราก็จะหวั่นไหวน้อยลง พร้อมกันนั้นก็มีทางที่ว่าจะช่วยคนอื่นได้อย่างไรที่จะทำให้เขาสบายขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย เราก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำ เราก็จะไม่มีการคิดถึงตัวของเรามากอย่างที่เคย เพราะว่าที่ทุกคนเป็นทุกข์ก็เพราะเหตุว่ามีเราซึ่งเป็นภาระหนัก แล้วก็จะคิดถึงแต่เรื่องของเราเป็นใหญ่ แต่ว่าถ้าวันหนึ่งๆ เราไม่คิดถึงเรื่องของเรา แต่คิดถึงที่จะให้คนอื่นมีความสุข ขณะนั้นเราก็จะลืมความเป็นตัวเราที่จะกังวล และมีทางใดที่จะช่วยใครได้ก็ช่วย พร้อมกันนั้นขณะใดสิ่งใดที่เกิดกับเราซึ่งไม่น่าพอใจเราก็รู้ตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่เกิดมีเหตุ แล้วก็จะไม่เป็นอย่างนั้นตลอดไป จะยั่งยืนตลอดไปไม่ได้เลย ทุกชีวิตต้องประสบกับขึ้นๆ ลงๆ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็มาจากเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    เพราะฉะนั้นก่อนที่จะฟังธรรมศึกษาธรรมก็มักจะคิดว่าทำไมถึงต้องเป็นเราใช่ไหม อย่างที่เคยพูดกันชอบพูดกันว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา แต่ถ้าศึกษาธรรมแล้วก็ตอบได้เหมือนกันหมดว่า เพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นไม่ได้ในเมื่อเป็นกรรมที่เราทำมาเราจะไปให้กรรมของเราเกิดผลกับคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนก็เพราะเหตุที่ได้กระทำมา พอจะเบาสบายขึ้นบ้างไหม ถ้าคิดถึงตัวเองน้อยลง จนกระทั่งเมื่อเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ ท่านจะมีการเกิดอีกเพียง ๗ ชาติ และก็หมดการที่ยึดถือสภาพธรรม และความเห็นผิดใดๆ ทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง กรณีการที่จะปฏิบัติธรรมให้ได้ถึงบรรลุถึงโสดาบัน ไม่ทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่มีตัวตนใช่ไหม เป็นจิตเจตสิกรูปใช่ไหม เท่าที่ฟัง เป็นธรรม ก็คือต้องอบรมเจริญปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง สำเร็จจากการฟังสุตมยปัญญา ขณะที่ฟังมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น นี่คือประโยชน์ของการฟัง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่จะศึกษาอะไร ได้ยินอะไร ฟังอะไร ประโยชน์ก็คือความเข้าใจในสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น เรื่องของธรรมไม่ใช่ว่าจะรู้ได้ในวันสองวัน อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมียิ่งด้วยปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป ถ้าอ่านประวัติของพระสาวก ท่านไม่ได้เกิดเพียงชาติเดียวที่จะได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียว แต่ฟัง แล้วก็อบรมเจริญปัญญาความเข้าใจถูกจนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม อย่างสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ถ้าปัญญาขั้นฟังไม่มี ปัญญาขั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้นไม่มีว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ ชั่วขณะที่ปรากฏ ทุกอย่างมีจริงเพียงชั่วขณะที่ปรากฏ เช่น เสียงมีจริงชั่วขณะที่เสียงปรากฏ แล้วเดี๋ยวนี้เสียงที่ปรากฏเมื่อครู่นี้หายไปไหน ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ไม่กลับมาอีกเลยทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับด้วย ขณะนั้นก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา และปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องว่าเราจะทำ หรือยังมีตัวตน แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกว่าเป็นธรรมยิ่งขึ้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    12 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ