สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 002


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๒

    วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ เพราะว่าถึงแม้ว่าจะได้ยินคำว่า อริยสัจธรรม โพธิปักขิยธรรม ปฏิจจสมุปบาท หรืออะไรก็ตาม ทั้งหมดต้องเป็นธรรม แล้วก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม ซึ่งจะละเอียดขึ้นๆ ๆ เรื่อยๆ แต่ก็ต้องรู้จริงๆ ว่าธรรมมี ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม เพราะฉะนั้นตอนเกิดก็ไม่ใช่มีแต่รูปธรรมเท่านั้นแต่ต้องมีนามธรรมด้วย แต่ถ้าศึกษาละเอียดต่อไปก็จะมีความวิจิตรของนามธรรม และรูปธรรมอีกมาก ขอให้ อ.สุภีร์กล่าวถึงนามธรรมซึ่งมี ๒ อย่าง นามธรรมที่เกิดมี ๒ อย่าง ในขณะที่เกิด มีรูปกับนามเกิด และนามธรรมมี ๒ อย่าง

    อ.สุภีร์ นามธรรมต่างจากจากรูปธรรม เพราะเหตุว่ารูปธรรมเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ หรือว่าสิ่งต่างๆ ไม่สามารถรู้อะไรได้ แต่คนเราโดยทั่วไปสามารถรู้ว่ามีบุคคลนั้นบุคคลนี้ได้ สามารถได้ยินเสียงต่างๆ ได้เพราะว่ามีนามธรรม ในนามธรรมที่รู้อารมณ์ คำว่า อารมณ์ ก็คือสิ่งที่นามธรรมรู้นั่นเอง เช่นตอนนี้ทุกท่านได้ยินเสียง เสียงก็เป็นอารมณ์ สำหรับนามธรรมที่รู้สำหรับทุกท่านที่ได้ยิน นามธรรมที่รู้อารมณ์ มี ๒ อย่าง กล่าวเป็นภาษาบาลีว่าจิตกับเจตสิก ทุกท่านคงจะคุ้นเคยกับคำว่าจิต แต่คำว่าเจตสิกอาจจะยังไม่คุ้นเคย จิตนี้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่ง หนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นอารมณ์ เช่นการเห็นก็คือเป็นจิตที่เห็นเพราะว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น การได้ยินก็เช่นเดียวกันเป็นจิตที่ได้ยิน สำหรับบุคคลที่ไม่สามารถที่จะเห็นจะได้ยินได้ เช่นคนตาบอด โลกของเขาก็จะมืดสนิท คนที่หูหนวกโลกของเขาทางหูก็จะเงียบจริงๆ แต่เราโลกทางตามีได้เพราะว่ามีจิตเห็นทางตา โลกทางหูมีเป็นโลกที่มีเสียงดัง ถ้าบุคคลที่ไม่สามารถจะได้ยินได้ก็เป็นโลกที่เงียบสนิทมาก ก็เหมือนกับเราตอนที่ไม่ได้ยินอะไร เงียบสนิทจริงๆ แต่เมื่อมีเสียง แล้วก็ได้ยินเสียงเกิดขึ้นก็เป็นจิตที่รู้เสียงซึ่งเสียงก็เป็นอารมณ์คือสิ่งที่จิตได้ยินรู้ นี่เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์

    สำหรับนามธรรมอีกประการหนึ่งก็คือเจตสิก คำว่าเจตสิกคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิตเกิดประกอบกับจิตเท่านั้น เวลาจิตเกิดขึ้นแล้วต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก เพราะว่าจิตเป็นนามธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ รู้ว่าอะไรปรากฏ แต่ว่าความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ความชอบ ความไม่ชอบ ความโกรธ ความเมตตา ความกรุณา สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต ทุกท่านอาจจะเคยมีเมตตา และกรุณากับใครสักคนหนึ่ง เวลาเราเห็นขอทานสักคนหนึ่งใต้สะพาน เกิดความกรุณาเขา อยากให้อะไรเขาสักอย่าง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น แต่ว่าเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกรุณานี้เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต ฉะนั้น นามธรรมที่เกิดร่วมกันที่รู้อารมณ์ จิตกับเจตสิกมีความต่างกันก็คือจิตนี้จะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์เท่านั้น แต่ว่าเจตสิกเป็นความรู้สึกนึกคิดต่างๆ อย่างบางท่านในตอนนี้อาจมีความรู้สึกที่แปลกใจ หรือว่า สงสัยอะไรก็ตามแต่ที่ท่านอาจารย์หรือท่านวิทยากรพูดไปแล้วมีความสงสัยเกิดขึ้น ความสงสัยไม่ใช่จิตแต่เป็นสิ่งที่มีจริงชนิดหนึ่งเรียกว่าเจตสิก

    ฉะนั้น ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้ามีแต่รูปธรรมเฉยๆ จะไม่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย รูปธรรมมากมายเหลือเกิน อย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างเสียงในป่าก็มีมากมาย เราไม่ต้องไปถึงเสียงในป่า เสียงบนถนน ถ้าทุกท่านคิดตอนนี้การจราจรติดขัดมากมาย เสียงรถยนต์ เสียงแตร เสียงอะไรมากมายเต็มไปหมด แต่เสียงเหล่านั้นเราไม่รู้เลย เพราะอะไร เพราะไม่ได้เป็นอารมณ์ของนามธรรม นามธรรมของเราไม่ได้เกิดรู้สิ่งนั้น ก็คือจิตได้ยินไม่ได้ยินสิ่งนั้น จิตได้ยินกำลังได้ยินเสียงตอนนี้ก็เป็นจิตได้ยินที่ได้ยินเสียงขณะนี้ แล้วการรู้สึกชอบ ไม่ชอบ กับเสียงนั้น รู้สึกสงสัย ความรู้สึกต่างๆ มากมายต่างๆ เหล่านั้นเป็นเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยกับจิต นามธรรมที่รู้อารมณ์ก็มี ๒ ประการก็คือ จิตกับเจตสิก

    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็ได้ศัพท์ธรรมหลายศัพท์ คือ ๑ ธรรม แล้วธรรมก็มี ๒ อย่างไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกไหน ขึ้นไปถึงโลกพระจันทร์ดาวอังคารอะไรก็ตามแต่ก็จะไม่พ้นสภาพธรรม ๒ อย่างคือนามธรรมกับรูปธรรม และสำหรับนามธรรมก็ยังต่างเป็น ๒ ชนิด คือจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เมื่อจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นสภาพ หรือเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีจริง และเมื่อเกิดขึ้นขณะใดต้องรู้ จิตจะเกิดขึ้นแล้วไม่รู้อะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าลักษณะของนามธาตุซึ่งต่างกับรูปธาตุ เวลารูปธาตุเกิด รูปธาตุไม่รู้อะไร แต่เวลาที่นามธาตุเกิดนามธาตุต้องรู้ทุกครั้งที่เกิด เพราะฉะนั้นนามธาตุก็เป็นสภาพธรรมที่รู้จึงต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่ถูกรู้ในภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ หรืออารัมภนะ แต่ภาษาไทยเราชอบตัดไม่พูดเต็ม เพราะฉะนั้นแทนที่จะพูดว่าอารัมมณะเราก็พูดว่าอารมณ์ ซึ่งภาษาไทยเราก็มีความหมายอีกอย่างหนึ่งด้วย คือว่าตามภาษาไทยก็คิดเข้าใจว่าอารมณ์ก็หมายความถึงความรู้สึกของเราในวันหนึ่งๆ อารมณ์ดี อารมณ์ร้าย หรืออะไรอย่างนี้ แต่ว่าต้นตอที่มาของอารมณ์ที่จะดีหรือร้ายก็คือสิ่งที่ถูกจิตรู้นั่นเอง ถ้าจิตเห็นสิ่งที่ดีๆ ได้ยินเสียงที่ดีๆ วันนั้นอารมณ์เป็นอย่างไรในภาษาไทย อารมณ์ดีใช่ไหม แต่ถ้าเห็นอะไรก็ไม่น่าดู เสียงก็ไม่ดี กลิ่นก็ไม่ดี ทุกอย่างไม่ดีหมดทั้งตาหูจมูกลิ้นกาย วันนั้นอารมณ์เป็นอย่างไรอารมณ์ไม่ดีในภาษาไทย แต่ถ้าศึกษาธรรม อารัมมณะหมายความถึงเมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ต้องมีอารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้คู่กันไปทุกครั้ง จะมีแต่จิตโดยที่ไม่มีอารมณ์ไม่ได้เลย และถ้ากล่าวว่ามีอารมณ์ปรากฏก็หมายความว่าปรากฏกับจิตซึ่งกำลังรู้อารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นต้องคู่กันเสมอ เวลาที่ศึกษาธรรมก็ต้องเข้าใจเพิ่มเติมในความหมายในภาษาไทยซึ่งเรานำมาใช้ แต่ว่าไม่ตรงกับคำสอนในพุทธศาสนา แต่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น คำว่าอารมณ์ดี ต้องมีต้นตอคือเห็นดี ได้ยินดี ก็คงจะค่อยๆ เข้าใจรูปธรรมนามธรรม และนามธรรมก็มี ๒ อย่าง

    สำหรับจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เกิดตั้งแต่ปฏิสนธิจิตคือขณะแรกที่เกิด จนกระทั่งถึงจิตขณะสุดท้ายที่ใช้คำว่าตาย พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่ไม่ใช่จิตชนิดเดียวกันเลย จิตขณะที่เกิดก็เป็นประเภทหนึ่ง คือเป็นผลของกรรม แล้วก็ต่อจากนั้นก็จะมีจิตประเภทต่างๆ ซึ่งบางครั้งบางขณะเป็นจิตที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลข้างหน้า หรือว่าตลอดชีวิตของเราถ้าศึกษาต่อไปจะพบว่าไม่พ้นกรรม คือต้องเป็นผลของกรรมที่เกิดในขณะแรกที่เกิด ปฏิสนธิจิตภาษาบาลีคำว่าเกิดหมายความถึง สืบต่อจากชาติก่อน ใช้คำว่าปฏิสนธิ จิตในขณะที่เกิด เกิดพร้อมกับเจตสิก และพร้อมกับกรรมชรูป คือรูปซึ่งเกิดเพราะกรรม ทำให้แต่ละคนต่างกันไปตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด แล้วก็เวลาที่จิตเกิดขณะแรกนี่เรายังไม่ถึงแก่เจ็บตาย เพียงแต่ว่าเกิดมาก่อนย้อนกลับไปถึงตอนที่เกิด เพราะว่าทุกคนก็ได้เกิดมาแล้ว ตอนที่เกิดก็คือรูปธรรมกับนามธรรม ตอนนี้ทราบแล้วว่าจิต เจตสิก รูป นั่นเองเกิด แต่จิต และเจตสิกที่เกิดก็เป็นจิตประเภทที่เป็นผลของกรรม เพราะขณะเกิดไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย แต่ว่ากรรมใดๆ ที่ทำไว้ก็สะสมสืบต่อเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตที่เป็นผลของกรรมเกิดในขณะแรก เป็นผลของกรรม และต่อไปอีก แต่ว่าให้ทราบว่าจิต เจตสิก รูป เกิด จิตเจตสิกรูปแก่ไหม แล้วก็ตายไหม ก็คือไม่มีอะไรที่จะพ้นไปจากจิต เจตสิก รูป ซึ่งในภาษาบาลีใช้อีกคำหนึ่งนอกจากคำว่าธรรม และยังมีคำว่าปรมัตถธรรม หมายความถึงธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้เลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ก็ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมซึ่งทรงแสดงว่าเป็นปรมัตธรรมเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเป็นอย่างนั้นไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมให้เป็นอย่างอื่นได้ เช่นเวลาที่โกรธเกิดขึ้น โกรธเกิดแล้ว ลักษณะของโกรธขุ่นเคืองหยาบกระด้างไม่พอใจ ขณะนั้นจะเปลี่ยนโกรธให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม นี่คือปรมัตถธรรม เสียงไม่ใช่กลิ่น เปลี่ยนกลิ่นให้เป็นเสียงไม่ได้ เปลี่ยนเสียงให้เป็นกลิ่นไม่ได้ นี่คือลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม

    วันนี้คงยังไม่พูดถึงภาษาบาลีโดยละเอียดที่จะแยกเป็นศัพท์ แต่ถ้ามีความสนใจต่อไปก็สามารถอธิบายได้ว่าคำนั้นหมายความว่าอย่างไร สำหรับธรรมที่มีลักษณะที่เฉพาะแต่ละอย่างซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ก็เป็นอภิธรรมด้วย เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกจึงมี ๓ ปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ในเรื่องของพระวินัยปิฎกก็เป็นเรื่องของข้อประพฤติปฏิบัติส่วนใหญ่ของพระภิกษุแต่ก็มีข้อความอื่นๆ ด้วยไม่ใช่มีแต่เฉพาะเรื่องความประพฤติทางกาย วาจา ของพระภิกษุเท่านั้น สำหรับพระสุตตันปิฎกพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ในพระสูตรก็เป็นเรื่องของธรรมที่เป็นพระอภิธรรม เพราะว่าทรงแสดงธรรมไม่ได้แสดงอย่างอื่นเลย แสดงธรรมที่ทรงตรัสรู้ ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นในพระสูตรก็จะมีธรรมซึ่งเกี่ยวกับบุคคล และสถานที่ต่างๆ ด้วย แต่สำหรับพระอภิธรรมปิฎกก็จะเกี่ยวกับปรมัตถธรรมล้วนๆ แต่ก็มีคัมภีร์ที่เป็นบุคคลบัญญัติ แต่ว่าคัมภีร์นั้นก็คือถ้าไม่มีจิตเจตสิกรูป คนก็ไม่มี สัตว์ก็ไม่มี พรหมก็ไม่มี เทพก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจึงสมมติปรมัตถธรรมซึ่งประกอบด้วยคุณธรรมต่างๆ ที่เกิดกำเนิดต่างๆ เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ เพราะฉะนั้นก็คงจะได้เข้าใจพอสมควร ความหมายที่สืบเนื่องกันของพระไตรปิฎก และธรรม อภิธรรม นามธรรม และรูปธรรม คงตอบสั้นๆ ว่าแก่ก็คือไม่พ้นจากจิต เจตสิกรูป ตายก็คือไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป

    ขณะนี้มีอะไรที่พ้นจากจิต เจตสิก รูป บ้างไหม ที่เป็นปรมัตถธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ ต่อไปนี้ก็คงจะไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน ขณะนี้ก็เป็นธรรม จะตื่นจะหลับก็เป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง ประโยชน์ของการศึกษาธรรมเพื่อประโยชน์อะไร

    อ.ประเชิญ สำหรับพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นการตรัสรู้ความจริงของพระธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นผู้ที่จะต้องการรู้ความจริง ก็ต้องเรียนธรรม อันดับแรกคือเพื่อรู้ความจริงนั่นเอง แต่ว่าความจริงก็จะค่อยๆ รู้เป็นลำดับไปตามระดับขั้นของสติปัญญา เพราะว่าพระองค์ที่รู้ความจริงที่เป็นอริยสัจ ๔ ที่เป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นความจริงอันประเสริฐที่สูงสุด จึงทำให้พระองค์ได้เป็นพระอริยบุคคลรู้ความจริงที่ประเสริฐนั้น

    ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดก็จะค่อยๆ เรียนรู้ในเรื่องของพระธรรมคำสอนทั้งหมดก็จะค่อยๆ รู้ความจริงที่ทรงแสดงไว้ ซึ่งก็จะรู้ไม่เท่าที่พระองค์ทรงแสดงไว้ทั้งหมด แต่ก็จะค่อยๆ รู้ในระดับของสติปัญญาผู้ที่ศึกษานั้นเท่าที่จะรับได้ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวแล้วว่าธรรมก็ดี สัจจธรรมก็ดี ปรมัตถธรรมก็ดี อภิธรรมก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ทั้งหมด ที่เรายึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งของ เป็นญาติเป็นพี่น้องต่างๆ นี่คือธรรม พระธรรมสิ่งที่จริงที่ทรงแสดงไว้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่วัตถุสิ่งของ นี่คือว่าโดยปรมัตถธรรม แต่เราก็ยังสำคัญผิดในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเรา ตาของเรา เห็นก็เราเห็น ได้ยินก็เราได้ยิน แต่พระองค์ทรงแสดงว่าเห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต สิ่งที่ถูกตาเห็นนั้นก็คือรูป นี่คือสัจจธรรม

    การศึกษานั้นก็จะค่อยๆ เข้าใจในของจริงที่ทรงแสดงไว้ ซึ่งความเข้าใจก็คือปัญญา ความรู้ซึ่งก็จะเป็นไปตามลำดับขั้น ประโยชน์ในเบื้องต้นก็จะทำให้เราได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงนั่นเอง เป็นประโยชน์ในการที่จะศึกษาพระธรรม

    ผู้ฟัง ที่มีการกล่าวว่าการศึกษาธรรมโดยไม่ต้องกระทำสิ่งใดให้ผิดปกติขึ้นมา หากไม่ต้องปลีกตัว และหลีกเร้นไปจากหน้าที่การงานตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรม ก็คือเข้าใจธรรมคงจะไม่ผิดปกติใช่ไหม ขณะนี้ไม่ได้ผิดปกติอะไรเลย เวลาทำงานอาจจะสงสัยว่าเป็นธรรมหรือเปล่าใช่ไหม ถ้าทราบว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ขณะแรกที่เกิด ตั้งแต่ขณะแรกเลย ขณะที่เกิดเห็นอะไร หรือไม่ มีอะไรปรากฏโลกนี้ปรากฏหรือยัง ทันทีที่เกิดโลกไม่ปรากฏเลย เพราะขณะนั้นตาก็ยังไม่มีขณะที่อยู่ในครรภ์ แต่ว่ามีจิตเจตสิกรูปเกิดมาแล้ว แล้วเมื่อเกิดแล้วธรรมใดที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดแล้วดับทันที เพราะฉะนั้นเมื่อจิตขณะแรกดับ กรรมยังทำให้จิตเกิดสืบต่อจากขณะแรก แต่ว่าทำกิจต่างกัน เพราะว่าจิตทุกขณะ และทุกประเภท ต้องมีกิจการงาน สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมจิตเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจการงานแล้วก็ดับไป ทุกคนมีจิตขณะแรกขณะเดียวคือปฏิสนธิจิต เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้ว กรรมก็ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทำหน้าที่ภวังค์ ที่ใช้คำว่าภวังค์ก็คือดำรงรักษาภพชาติความเป็นบุคคลนั้นยังไม่ทำให้สิ้นชีวิต ถ้าเพียงเกิดมาแล้วก็ตายไปทันทีจะได้รับผลของกรรมอย่างไร ยังไม่ทันเห็น ยังไม่ทันได้ยิน ยังไม่ทันได้กลิ่น ยังไม่ทันรู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำแล้ว ก็จะทำให้จิตเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตายไปต่างๆ กัน

    เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้ ยังตายไม่ได้สักคน เพราะว่ายังไม่ถึงแก่กรรม หรือยังไม่ถึงวาระการเกิดขึ้นของจุติจิตหรือจิตขณะสุดท้าย ซึ่งทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะกลับมาอีกไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นธรรมทั้งหมด เมื่อศึกษาธรรมแล้วไม่ว่าจะทำหน้าที่การงานใดๆ ก็ต้องมีการเห็น มีการได้ยิน มีการคิดนึก เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของจิต เจตสิกรูป ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นไปตามการสะสมซึ่งทำให้แต่ละคนต่างกัน เพราะฉะนั้นในขณะที่เกิดไม่เห็นโลกนี้ไม่ปรากฏ ขณะที่เป็นภวังค์ดำรงภพชาติก็คือขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เช่น ขณะที่นอนหลับสนิท ถ้าจะรู้ลักษณะของภวังค์ก็คือตอนที่หลับสนิทไม่ฝัน แต่ขณะนั้นก็ไม่ได้ตายเพราะเหตุว่ายังมีจิตเกิดดับสืบต่อ แต่เมื่อจิตนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน จิตนั่นก็ทำหน้าที่ภวังคกิจดำรงภพชาติจนกว่าจะตื่น ขณะตื่นเห็นเป็นผลของกรรม ขณะได้ยินก็เป็นผลของกรรม แต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน ได้ยินไม่เหมือนกัน ได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่เหมือนกัน เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน คนหนึ่งก็อาจจะป่วยไข้เป็นโรคร้ายแรง แต่อีกคนหนึ่งก็แข็งแรง เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าทางตาของแต่ละคนจะเห็นอะไร ทางหูของแต่ละคนจะได้ยินอะไร ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายจะรู้อารมณ์อะไร เพราะเหตุว่าในพระพุทธศาสนาทรงแสดงเหตุ และผลไว้ชัดเจน ไม่คลุมเคลือเลย เวลาพี่พูดถึงเรื่องของกรรม และผลของกรรม ก็แสดงโดยประเภทของจิตว่าจิตชนิดใดเป็นผลของกรรมในขณะใด เช่น ตอนเกิดเป็นผลของกรรมจำแนกให้แต่ละคนต่างกัน เวลาที่เกิด จิตขณะแรกที่เกิดมีรูปซึ่งเกิดจากกรรมเกิดด้วย เล็กมากขนาดมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แล้วถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมคือกรรมที่ไม่ดี รูปนั้นก็จะมีธาตุไฟที่ทำให้เจริญเติบโต เป็นรูปร่างของสัตว์ต่างๆ แม้แต่สัตว์ก็ยังมีลักษณะที่ต่างกันตามกรรม บางประเภทก็มีปีก บางประเภทก็มีขามากมาย แต่ถ้าเป็นมนุษย์ก็อีกอย่างหนึ่ง คือไม่ใช่เป็นผลของอกุศลกรรมแต่เป็นผลของกุศล แม้กระนั้นกุศลกรรมที่แต่ละคนกระทำมาก็ยังจำแนกให้ต่างกันตั้งแต่ขณะที่ปฏิสนธิ ประกอบด้วยปัญญาหรือว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ที่กล่าวไว้ชัดเจนว่าขณะไหนเป็นผลของกรรมบ้าง ขณะไหนไม่ใช่ผลของกรรม เช่นในขณะนี้ทุกคนก็ทราบได้ เกิดขณะแรกเป็นผลของกรรม ภวังคจิตสืบต่อเป็นผลของกรรม แต่ถ้ามีแต่ปฏิสนธิคือเกิดแล้วก็เป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ กรรมจะทำหน้าที่อะไรที่จะให้ผลต่างๆ เกิดมาก็หลับสนิทไม่เห็นอะไรไม่ได้ยินอะไรไปโดยตลอด ซึ่งเท่ากับว่าไม่ได้รับผลของกรรมเลย แต่กรรมทำให้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เพื่อให้จิตเกิดขึ้นเห็น ขณะนี้ที่เห็นเป็นผลของกรรม เพราะว่าบางครั้งจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แล้วก็มีหูซึ่งอาจจะไม่ทราบว่ากรรมเป็นปัจจัยให้เกิดโสตปสาทเพื่อเหตุใด เพื่อเป็นทางรับผลของกรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    8 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ