สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 001


    สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ ๑

    วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕


    ท่านผู้มีเกียรติ และท่านที่มีความสนใจในธรรมในวันนี้ ลำดับต่อไปขอเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร ขอเชิญท่านอาจารย์ได้สนทนาธรรมแก่ท่านผู้มีเกียรติ เป็นลำดับต่อไป ขอเรียนเชิญ

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาทุกท่านที่ได้มาร่วมการสนทนาในวันนี้ เรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่า คำว่า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ชื่อที่ใครๆ สามารถจะมีได้ เพราะเหตุว่าเป็นคุณธรรมพิเศษ สูงสุด แม้ในสวรรค์ หรือพรหมโลกก็ไม่มี เพราะเหตุว่าผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นชมพูทวีป เพราะเหตุว่าเป็นที่ที่เหมาะควรต่อการที่จะได้รับฟังพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ พระธรรมที่ได้ตรัสรู้ ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมีความสนใจฟัง และศึกษาในช่วงเวลาเพียงเล็กน้อย ก็จะได้เข้าใจเพียงสมควร แต่ว่าถ้าเราได้มีความสนใจเพิ่มขึ้น ศึกษาเพิ่มขึ้น เราก็จะเห็นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะว่าจริงๆ แล้ว ถ้ากล่าวถึงคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสนไกล ไกลมาก ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสจะเห็นเลยว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ใช่เป็นแต่เพียงรูปสักการะที่เรากราบไหว้บูชาเตือนให้ระลึกถึงพระคุณ แต่ว่าต้องเป็นพระปัญญาคุณที่ได้สะสมมานานมาก จนกระทั่งสามารถที่จะตรัสรู้ความจริงของชีวิต แล้วก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะอุปการะแก่สัตว์โลก ตลอดเวลาที่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ทรงแสดงพระธรรมมากมายกว่าบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทก็มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมตราบใดที่ยังมีพระธรรม คือพระไตรปิฎก แต่ว่าการฟังต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และก็รู้ว่าสิ่งที่จะได้ยินได้ฟัง เป็นสิ่งที่ต่างจากที่เคยคิดเคยเข้าใจ เพราะเหตุว่าเป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับครั้งแรกก็คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์มาก ถ้าท่านผู้ฟังมีคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ คณะวิทยากรจะได้อธิบายข้อความนั้น พอจะมีคำถามไหม

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านอุปติสสปริพาชกที่ท่านฟังธรรมจากพระอัสสชิแล้วก็บรรลุธรรมในฉับพลัน เพียงฟังแต่พระธรรมว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุ และความดับแห่งเหตุนั้น ท่านก็ได้บรรลุธรรม แล้วก็ยังนำพระธรรมข้อนี้ไปแสดงแก่โกลิตปริพาชก ท่านโกลิตปริพาชกก็ได้บรรลุธรรมเช่นกันคือ อยากทราบว่าเพราะเหตุใด ท่านจึงสามารถบรรลุธรรมได้ ขอคำอธิบายด้วย

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ก็คงจะต้องทราบว่าธรรมคืออะไรก่อน ที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุ ท่านรู้อะไร หรือว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมอะไร เพราะว่าถ้าอ่านเพียงแต่ว่าท่านพระสารีบุตรในสมัยที่ยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้ฟังธรรม ท่านก็ต้องสะสมปัญญามามาก พร้อมที่ว่าเพียงฟังพระธรรมสั้นๆ ก็สามารถที่จะรู้ได้ ซึ่งคนในยุคนี้ก็จะต่างกับคนในยุคก่อน เพราะเหตุว่าคนในยุคก่อนฟัง และสามารถที่จะเข้าใจได้รวดเร็ว แต่คนในยุคนี้คงจะต้องเริ่มตั้งแต่คำว่า ธรรมคืออะไร ที่ท่านพระสารีบุตรสามารถที่จะรู้ได้ เป็นธรรมเดียวกับที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด

    เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคน ได้คิดถึงคำว่าธรรม แล้วก็พยายามที่จะศึกษายิ่งขึ้น เช่น ธรรมคืออะไร ก่อนอื่นถ้าใช้คำว่าธรรมก็คงจะยาก ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างตอบ แต่ถ้าจะถามว่าขณะนี้ความจริงคืออะไร หรือว่าความจริงของชีวิต เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดมาแล้ว มีชีวิตแน่นอน ที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ว่าชีวิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นความจริงของทุกคน คืออะไร ขอท่านวิทยากร ๒ ท่านคือคุณสุภีร์กับคุณเผชิญช่วยตอบ

    อ.สุภีร์ ความจริงที่มีอยู่ ในชีวิตประจำวันของเราทั่วๆ ไป ก็ไม่ว่าจะเมื่อวานนี้วันนี้เองก็ตามหรือว่าวันพรุ่งนี้ก็ตาม ตื่นขึ้นมาก็มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การถูกต้องกระทบสัมผัสแล้วก็คิดนึกในเรื่องนั้นๆ อย่างการที่ได้มาในสถานที่นี้ ก็มีการเห็นคือเห็นทุกๆ ท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้แล้วก็คิดว่าแต่ละคน มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วก็ มีลักษณะเป็นอย่างไร เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ซึ่งทุกๆ วันก็คงเป็นอย่างนี้ และต่อไปก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ก็คือความจริงในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ก็เป็นจริงอย่างนี้ และขณะต่อไปก็เป็นจริงอย่างนี้เช่นเดิม สิ่งที่มีจริง หรือเป็นจริงในชีวิตนี้เป็นอย่างไร คำตอบก็คือเป็นอย่างนี้ ก็คือเหมือนตอนนี้ทุกๆ อย่าง ไม่ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าก็มีการเห็น การได้ยิน แล้วก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็น เรื่องสิ่งที่ได้ยินเหมือนตอนนี้ทุกๆ อย่าง

    ท่านอาจารย์ นี่คือคำตอบ ว่าธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด แต่ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมทุกคนก็เห็น ทุกคนก็ได้ยิน เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ว่าเป็นเรา ไม่คุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจว่าที่เข้าใจว่าเป็นเรา หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ก็คือธรรม เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เราก็คงจะได้ความเข้าใจความหมายของคำว่าธรรมว่าหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ซึ่งอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเห็นก็เป็นธรรม เสียใจในวันหนึ่งวันหนึ่งก็มีความรู้สึกเสียใจมีจริงก็เป็นธรรม เสียงมีจริง เสียงเป็นธรรม กลิ่นมีจริงก็เป็นธรรม รวมความว่าทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม

    พระภาคทรงตรัสรู้ธรรมคือรู้แจ้งความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ที่ปรากฏกับทุกคนในชีวิตประจำวันซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ทุกขณะ เช่นขณะนี้ เป็นธรรม ขณะที่เห็นมีธรรมไหม เคยขาดธรรมบ้างไหมตั้งแต่เกิดมาขาดธรรมหรือเปล่า มีท่านผู้หนึ่งที่ท่านก็พยายามไปแสวงหาธรรม เพราะตอนนั้นท่านก็ยังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ท่านก็เดินทางไปทางเหนือ ทางใต้ ตะวันออก ตะวันตก หาไป ท่านก็ยังไม่พบว่าธรรมคืออะไร แต่เวลาที่ท่านเข้าใจว่าธรรมคืออะไร คือเดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่มีจริง ท่านบอกว่าเพียงลืมตาตื่นก็พบธรรมแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เข้าใจความลึกซึ้งความจริงของธรรม ซึ่งจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างจริงๆ ขอเชิญ อ.เผชิญให้ความเห็นตอนนี้ด้วย

    อ.ประเชิญ ตอนนี้ท่านอาจารย์จะค่อยๆ ให้เข้าใจในเรื่องของความจริงก่อนเข้าไปถึงปัญหาที่ท่านผู้ถามได้ถามเรื่องของอุปติสสะกับโกลิตะที่ท่านได้รู้ธรรมจากท่านพระอัสสชิ ซึ่งในคำตอบก็จะมีเรื่องของธรรมใดเกิดแต่เหตุ เพราะฉะนั้นในตรงนี้ ท่านอาจารย์จะให้เริ่มเข้าใจธรรม เพื่อจะให้รู้จริงๆ ว่าที่ท่านได้รู้ในขณะนั้น เราก็จะเข้าใจตรงนั้นได้ ซึ่งสัจจธรรม ที่ท่านอาจารย์ และอาจารย์วิทยากรได้กล่าวแล้วว่าสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันที่มีอยู่จริง เกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย เมื่อถึงพร้อมด้วยเหตุแล้ว ธรรมเหล่านั้นก็เกิด ซึ่งท่านก็ได้ยกตัวอย่างที่มีอยู่จริงในขณะนี้ก็คือเห็น สภาพเห็นเป็นจิตไม่ใช่เรา จิตเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ จิตนี้เกิดแต่เหตุใช่ไหม เพราะมีเหตุ จิตนี้จึงมีได้

    เพราะฉะนั้น ที่ท่านพระอัสสชิได้แสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคที่กล่าวว่าธรรมใดเกิดเหตุ ก็คือธรรมใด แม้ในขณะนี้ก็มีธรรมใดเช่นเดียวกัน คือเห็นเป็นธรรมเป็นสัจจธรรม ได้ยินในขณะที่ได้ยินตรงนี้ก็เป็นธรรม เป็นความจริง ซึ่งเกิดแต่เหตุเช่นเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้เกิดแล้วก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา ไม่สามารถที่จะเก็บ หรือบังคับให้เป็นไปตามอำนาจ หรือเป็นไปตามใจของใครได้เลย เพราะฉะนั้นไม่มีเจ้าของ ไม่มีการที่จะบังคับบัญชาในสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้นธรรมเหล่านี้คืออนัตตานั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ท่านพระสารีบุตรตอนที่ได้ฟัง ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม รวมความว่าท่านได้ฟังธรรมสั้นๆ แล้วท่านก็สามารถที่จะเข้าใจในอริยสัจจะธรรมทั้ง ๔ คือรู้ว่าสภาพธรรมต้องมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ลอยๆ เลย เช่น ถ้าเราเห็นสิ่งที่น่าพอใจก็ทำให้เกิดความติดข้องยินดีพอใจ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ทำให้ขุ่นใจ ก็เป็นไปตามเหตุการณ์เป็นไปตามสิ่งที่มาปรากฏให้เห็นทางตา ให้ได้ยินทางหู ให้ได้กลิ่นทางจมูก ให้ได้ลิ้มรสทางลิ้น ให้กายกระทบสัมผัส และก็ปรุงแต่งคิดนึกเป็นเรื่องต่างๆ แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจจธรรม ก็คือ สภาพธรรมที่เกิด ขณะนี้เกิด จึงได้ปรากฏแล้วดับไป ถ้าไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับก็ไม่ใช่ทุกขอริยสัจจ เพราะว่าเวลาพูดถึงอริยสัจ ๔ ทุกคนก็ทราบว่า อริยสัจที่ ๑ คือทุกข์อริยสัจที่ ๒ คือทุกขสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจที่ ๓ คือทุกขนิโรธ การดับทุกข์ และอริยสัจที่ ๔ คือหนทางปฏิบัติที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

    ซึ่งขณะนี้ถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรม เราก็เข้าใจทุกข์เพียงว่าเวลาที่ป่วยไข้แล้วก็ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจนั้นคือความทุกข์ของเร าซึ่งเคยคิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เป็นทุกข์ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกข์ยิ่งกว่านั้น คือไม่ได้ตรัสรู้เพียงว่าทุกขเวทนา หรือความรู้สึกเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจต่างๆ แต่ตรัสรู้ว่าสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิด สภาพธรรมนั้นต้องดับ

    ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ตัวตน เราไม่สามารถที่จะยับยั้งให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดที่เกิดดำรงคงอยู่ได้ ขณะที่เห็นเป็นขณะเดียวกับขณะที่ได้ยินหรือเปล่า ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่าพร้อมกันเลย ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย แต่ถ้าคิดถึงขณะที่สั้นมากเร็วมาก เช่น เห็นต้องอาศัยจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาทจะไม่มีการเห็นเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ใครซึ่งไม่มีจักขุปสาทแล้วบอกว่าจะเห็น พยายามให้เห็น ทำให้เห็น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมด ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด และเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดแล้วก็ดับสลับกันรวดเร็วมากทีเดียว เช่น ทางตาไม่ใช่ทางหู จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตคิดนึก เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ จะมีจิตซึ่งเกิดแล้วดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมก็ไม่รู้จักทุกขอริยสัจจ รู้จักแต่ทุกข์ที่เป็นทุกขเวทนา หรือว่าความรู้สึกที่ไม่พอใจเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องเริ่มศึกษาธรรมให้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นธรรมที่มีจริงขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น และที่จะเกิดธรรมหนึ่งธรรมใดได้ ก็เพราะเหตุว่าต้องมีเหตุปัจจัยเฉพาะสภาพธรรมนั้นๆ เช่น จิตเห็นก็จะต้องมีจักขุปสาท ไม่เช่นนั้นก็เห็นไม่ได้ จิตได้ยินก็ต้องมีโสตปสาท ถ้าไม่มีโสตปสาท จิตได้ยินก็มีไม่ได้ แล้ววันหนึ่งๆ ตั้งแต่ลืมตาตื่นก็ไม่พ้นจากตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ เป็นทางที่จะนำให้เกิดเรื่องที่จะคิดนึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนจะย้อนไปคิดว่าสุขของทุกคนมาจากอะไร ก็ต้องมาจากเห็น มาจากได้ยิน มาจากได้กลิ่น มาจากลิ้มรส มาจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ปรุงแต่งให้เป็นความคิดนึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างๆ นี่คือชีวิตซึ่งความจริงของชีวิตก็คือธรรม ทุกอย่างที่เป็นจริง เป็นธรรม และเมื่อใช้คำว่าธรรมก็แสดงอยู่ในตัวว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งมีจริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ไม่ทราบตอนนี้ยังมีข้อสงสัยอะไรไหม เพราะว่ากว่าจะถึงท่านพระสารีบุตรรู้แจ้งอริยสัจจธรรม การที่เราจะเข้าใจอย่างนั้นได้เราก็ต้องเริ่มต้นจากที่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร แล้วถ้าเป็นขณะนี้ใครสะสมปัญญามาพอก็สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับทุกขอริยสัจอย่างที่ท่านพระสารีบุตรได้ประจักษ์ แต่ถ้ายังไม่ประจักษ์ก็ต้องอบรมด้วยการฟังการเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องกับธรรมตรงจุดไหน ขอให้อธิบายให้รัดกุม และยกตัวอย่างให้ชัดแจ้งด้วย

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นตั้งแต่การเกิดใช่ไหม ถ้ามีแต่รูปคือสภาพที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ก็ไม่มีชีวิต ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ทุกโลกเหมือนกันหมด คือมีสภาพที่มีจริง และสภาพที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกัน เป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งแม้ว่ามีจริงแต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เช่น แข็งนี้ แข็ง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เห็น ไม่หิว ไม่ง่วง กลิ่นมีจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ต้องแยกลักษณะของธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เริ่มต้นตั้งแต่ทุกอย่างเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่ว่าจะในโลกนี้ หรือสากลโลก โลกไหนๆ ก็ตาม สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือธรรมประเภทหนึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่สภาพที่จะรู้อะไรได้เลย กลิ่น เสียง พวกนี้เป็นธรรมที่ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปปฺ หรือว่ารูปธรรม หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่เป็นประเภทของรูปธรรมคือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แล้วจริงๆ แล้วที่เรามอง หรือเราเข้าใจว่ามีโลกต่างๆ สิ่งใดก็ตาม จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม เช่น เสียง มองไม่เห็น แต่เสียงมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้นเสียงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นธรรมประเภทที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เราค่อยๆ คิด เราก็ค่อยๆ เข้าใจ ใช่ไหม กลิ่นมีหรือไม่ กลิ่นมีจริง กลิ่นก็เป็นธรรม เป็นธรรมประเภทไหน ก็เป็นธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นประเภทรูปธรรม

    ถ้าเข้าใจรูปธรรมแล้ว ต่อไปก็จะเข้าใจสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงเหมือนกัน แต่ว่าต่างกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้นแต่เป็นสภาพที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ถ้ามีแต่เสียง เสียงในป่าหรือเสียงที่ไหนก็ตาม เวลาของแข็ง ๒ อย่างกระทบกัน เสียงเกิด แต่ถ้าไม่มีสภาพนามธรรม ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถได้ยิน หรือสามารถรู้เสียงนั้น เสียงนั้นก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นในห้องนี้มีเสียง แต่ก็ต้องมีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียงด้วย เพราะฉะนั้นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งทางธรรมใช้คำว่านามธรรม นามมฺ หมายความถึง สภาพที่รู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ น้อมไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นทางตาในขณะกำลังเห็น อย่างโต๊ะ ไม่มีจักขุปสาทไม่มีธาตุรู้ โต๊ะเป็นรูปธาตุ หรือรูปธรรม โต๊ะไม่เห็น แต่ขณะที่กำลังมีธาตุเห็น ซึ่งคนตายไม่เห็น แต่คนที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้เห็น เพราะฉะนั้นสภาพที่เห็นมีจริงๆ แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น สภาพนั้นเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่จะพูดถึงเรื่องเกิด ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเกิด ขณะนั้นก็จะไม่มีการรู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ถ้ามีความเข้าใจเรื่องนามธรรมกับรูปธรรม ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตที่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ทั้งหมดนี้ ก็คือนามธรรม และรูปธรรมเกิด ถ้าเป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นหิน เกิดได้ใช่ไหม แต่ว่าเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่มีแต่เฉพาะรูปธรรมเท่านั้น มีนามธรรมด้วย เพราะฉะนั้นเวลาบอกว่าเกิด ต่อไปนี้เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้มากกว่าที่จะไม่คิดเรื่องเกิดเลย ที่เคยเป็นเรา เป็นเขา เป็นใครเกิด ก็คือสภาพธรรมเกิด และก็ต้องเป็นสภาพธรรม ๒ อย่าง คือนามธรรม และรูปธรรมเกิดขึ้น

    ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ท่านที่เคยไปวัดก็อาจจะชินกับคำว่าขันธ์ ๕ แต่ว่าท่านที่ยังไม่ได้ฟังเรื่องขันธ์ ๕ เลย ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำว่าอริยสัจธรรม โพธิปักขิยธรรม ปฏิจจสมุปบาท หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดต้องเป็นธรรม แล้วก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ซึ่งจะละเอียดขึ้นๆ เรื่อยๆ แต่ก็ต้องรู้จริงๆ ว่าธรรมมี ๒ อย่าง คือนามธรรมกับรูปธรรม เพราะฉะนั้นตอนเกิดก็ไม่ใช่มีแต่รูปธรรมเท่านั้น แต่ต้องมีนามธรรมด้วย แต่ถ้าศึกษาละเอียดต่อๆ ไปก็จะมีความวิจิตรของนามธรรม และรูปธรรมอีกมาก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 6
    8 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ