ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๒ ตอน ๑


    ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวถึงสังขารในปฏิจจสมุปปาท หมายความถึงอภิสังขาร ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร ๑ อปุญญาภิสังขาร ๑ อเนญชาภิสังขาร ๑ ได้แก่ เจตนาเจตสิก ดวงเดียวที่เป็นอภิสังขาร เพราะว่าเป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในกุศล เป็นสภาพที่จงใจเป็นไปในอกุศล จนถึงขั้นที่สำเร็จเป็นอกุศลกรรม จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาถึงขณะนี้ ทุกชีวิตที่มีการเกิดและคงต้องมีการ เกิดอีกๆ ไม่จบ ก็เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ซึ่งเป็นอภิสังขาร เป็นสภาพที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดปฏิสนธิจิต คือ วิญญาณ

    วิญญาณซึ่งได้แก่ปฏิสนธิจิตนั้น ขณะที่เกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีวิญญาณก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดนั่นเองจะมีเจตสิกกับกัมมชรูปเกิด และเกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกว่าถึงกาลที่เป็นสฬายตนะหรืออายตนะที่จะรู้อารมณ์อื่น นอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิต

    ผู้ฟัง ระหว่างเกิดกับตาย ระหว่างนี้ทั้งหมดก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    ท่านอาจารย์ วันนี้มีอกุศลจิตไหม

    ผู้ฟัง สำหรับผมมีมากมายเลย

    ท่านอาจารย์ มีอวิชชาเป็นปัจจัย ถ้าไม่ใช่กุศลที่เป็นการศึกษาธรรมให้เข้าใจหนทาง ที่จะดับ ขณะนั้นต้องมีอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเหตุนี้แม้เป็นกามาวจรกุศล เป็นไป ในทาน เป็นไปในศีล แต่ไม่ใช่การศึกษาธรรมให้เข้าใจลักษณะของธรรม ไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง ตรงนี้เข้าใจ หมายความว่า อวิชชาเกิดขึ้นอยู่เสมอ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นโมหะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ควรใช้คำว่า เสมอ นี่เป็นแต่เพียงการแสดงว่า ขณะใดเกิดขึ้น เพราะอะไรเป็นปัจจัย ขณะที่อกุศลจิตเกิดต้องเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง ไม่เสมอ เพราะบางครั้งเป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ แม้กุศลที่ไม่เป็นไปในเรื่องของการศึกษาธรรม หรือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม กุศลนั้นจะเป็นไปในทาน ในศีล หรือสมถภาวนาถึงรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล ก็ยังเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ยังเป็นไป ในฝ่ายเกิด ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายดับ

    ผู้ฟัง เข้าใจ ต่อไปอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร คือ ปรุงแต่ง และสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ไม่เอาตอนตาย ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ จะหมายความว่าอย่างไร ตามปกติ

    ท่านอาจารย์ เริ่มจากปฏิสนธิจิต ต่อจากนั้นก็วิบากจิตอื่นๆ เกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าวิบากจิตทั้งหลายต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรม วิบากจิตจะเกิดไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง วิญญาณตัวนี้คือวิบากจิต ต่อไปบอกว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถามว่า วิบากจิตอย่างไรจึงให้เกิดนามรูป

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย เจตสิกนั้นคือนาม เพราะฉะนั้น วิบากจิตก็เป็นปัจจัยให้วิบากเจตสิกเกิด และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ จิตอื่นทั้งหมดเป็นปัจจัยให้รูปเกิด

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะที่จิตเกิด จิตนั้นจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดด้วย เว้นจิต ๑๐ ดวงเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ถ้ากล่าวกว้างออกไป อรูปฌานวิบากก็ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด และจุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปเกิด แต่ถ้าพูดถึงชีวิตปกติธรรมดาของทุกคน ก็เฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด

    ผู้ฟัง สรุปว่า วิญญาณคือจิตที่ก่อให้เกิดนามรูปนั้น เจตสิกเป็นนาม รูป ก็คือจิตตชรูปเท่านั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงจิตเป็นปัจจัย ต้องเป็นจิตตชรูปเท่านั้น ต้องเท้าความไปถึงตอนเกิด คือ ปฏิสนธิจิต ทุกคนมีกรรมที่ได้ทำแล้ว เกิดชาติหน้าจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นมนุษย์ หรือจะเป็นสัตว์มีรูปร่างต่างๆ กัน เป็นสัตว์บกสัตว์น้ำอย่างไรก็ตามแต่ เป็นไปโดยกรรมซึ่งทำให้รูปนั้นๆ เกิดขึ้น แต่แม้กระนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กรรมก็ทำให้รูปนั้นๆ เกิดไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ขณะแรกที่สุดซึ่งเหมือนกับเปิดทางที่จะให้ชีวิตดำเนินไป ก็คือ อวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่ได้กระทำแล้วในอดีต และสังขารที่ได้ กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตคือวิญญาณเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ในขณะนั้นยังไม่มีจิตตชรูป ไม่มีอุตุชรูป ไม่มีอาหารชรูปเลย

    ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิกและกัมมชรูป ด้วยเหตุนี้ปฏิสนธิจิตจึงเป็นที่อาศัยของเจตสิกที่เกิดร่วมกัน และเป็นที่อาศัยเกิดของกัมมชรูปด้วย เพราะถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูปเกิดไม่ได้

    เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับจิตเลยถ้าเป็นกัมมชรูป รูปใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นกัมมชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยทั้งนั้น

    ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิด ยังไม่มีจิตตชรูป ขณะแรกขณะเดียววิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นามรูป นามหมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และรูปหมายถึงกัมมชรูป อย่างเดียวเท่านั้น

    ผู้ฟัง วิญญาณให้เกิดนามรูป เข้าใจแล้ว ๒ รูป คือ กัมมชรูปกับจิตตชรูป ต่อไปอาหารชรูปและอุตุชรูป

    ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งเข้าใจเร็ว ปฏิสนธิจิตเกิดขณะแรกขณะเดียว มีเจตสิกเกิด ร่วมด้วยคือนาม มีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย กัมมชรูปประเภทเดียวเท่านั้น

    ปฏิสนธิจิตมี ๓ ขณะย่อย หรือ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ขณะเกิด ฐีติขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ยังไม่ดับ และภังคขณะ ขณะที่ดับ

    ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่เกิดนั้นเอง เจตสิกเกิดร่วมด้วยและ กัมมชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ปฏิสนธิจิตเป็นเพียงสหชาตปัจจัยที่ทำให้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกัน แต่กัมมชรูปนั้นไม่ได้เป็นจิตตชรูป ต้องเป็นกัมมชรูป เพราะว่ากรรมทำให้รูปนั้นเกิดที่จะเป็นบุคคลนั้น จะเป็นสัตว์ในน้ำ บนบก เป็นมนุษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต ในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต และในภังคขณะของปฏิสนธิจิต

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2057

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีปฏิสนธิจิตเป็นที่อาศัยของกัมมชรูปแล้ว ต่อจากนั้นกัมมชรูป มีสิทธิ์เกิดตลอดไป แม้แต่นิโรธสมาบัติซึ่งดับจิตเจตสิก กัมมชรูปก็เกิด แสดงให้เห็นว่า กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเป็นทางเกิดขึ้นของกรรมที่จะทำให้รูปนั้นเกิด และเมื่ออาศัยปฏิสนธิจิตแล้ว ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของกรรมที่ทำให้กัมมชรูปเกิดทุกๆ อนุขณะของจิต ไม่เว้นเลย นอกจากอีก ๑๗ ขณะจะถึงจุติจิต กัมมชรูปจึงไม่เกิด เพราะฉะนั้น กัมมชรูปจะดับพร้อมกับจุติจิต ด้วยเหตุนี้ร่างกายซึ่งไม่มีใจครองจึงไม่ถือว่า เป็นบุคคลนั้นอีกต่อไป ดับทั้งจิตเจตสิกและกัมมชรูป

    ผู้ฟัง กัมมชรูปตั้งแต่ตอนเกิดกับตลอดชีวิตที่มีอยู่ เป็นกัมมชรูปลักษณะเดียวกัน หรือมีปัจจัยปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ กัมมชรูปที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นรูปร่างต่างๆ เกิดเพราะกรรมนั้นเป็นปัจจัย แต่ภายหลังก็มีกรรมอื่นเป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิดด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีตาต่างกันตามกรรมปลีกย่อยซึ่งให้ผลในภายหลัง หรือระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ กัมมชรูปก็เกิดทำให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ได้ และถ้าเป็นโรคที่เกิดเพราะกรรมแล้วไม่มีทางรักษา ตราบใดที่กรรมนั้นยังให้ผล เพราะฉะนั้น เรื่องของกรรมก็เป็นเรื่องที่ทำให้รูปร่างกายเป็นไปต่างๆ หรือถึงกับเปลี่ยนภาวรูปก็ได้

    ผู้ฟัง กัมมชรูปที่เกิดระยะหลังๆ ที่ว่าเปลี่ยน เกิดจากวิญญาณหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เกิดจากเจตนา ถ้าพูดถึงกรรมเป็นปัจจัยหมายความถึงเจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม นี่จิตขณะแรก ยังไม่มีจิตตชรูป แต่ในปฏิสนธิจิตขณะแรก เมื่อกี้พูดเฉพาะกัมมชรูปซึ่งเกิดทุกอนุขณะของปฏิสนธิจิต คือ ตั้งแต่ อุปาทขณะก็มีกัมมชรูปเกิด ฐีติขณะก็มีกัมมชรูปเกิด ภังคขณะก็มีกัมมชรูปเกิด แต่ยังมีอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นอุตุชรูป เกิดในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต เพราะว่ามหาภูตรูป มี ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นใหญ่เป็นประธาน รูปใดๆ ก็ตามจะปราศจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย เสียงก็ต้องมีมหาภูตรูป กลิ่นก็ต้องมีมหาภูตรูป เพราะว่ารูปทั้งหมดที่เป็นมหาภูตรูปมีเพียง ๔ ที่เหลือเป็นอุปาทายรูป คือ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป

    มหาภูตรูป ๔ มีธาตุดิน ๑ ธาตุน้ำ ๑ ธาตุไฟ ๑ ธาตุลม ๑ ธาตุไฟเป็นอุตุ เป็นอุณหภูมิที่สม่ำเสมอซึ่งเป็นปัจจัยทำให้รูปอื่นเกิด เพราะฉะนั้น ธาตุไฟทำให้รูปเกิดในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต นี่เป็นอุตุชรูป เพราะฉะนั้น จะมีรูปซึ่งเกิดในปฏิสนธิจิต ต่างวาระ คือ กัมมชรูปเกิดในอุปาทขณะ ในฐีติขณะ ในภังคขณะ แต่อุตุชรูปเริ่มเกิดในฐีติขณะ เพราะอาศัยมหาภูตรูปในอุปาทขณะของกัมมชรูปนั่นเองทำให้อุตุชรูปเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง และอาหารชรูป

    ท่านอาจารย์ นี่ ๒ รูปแล้ว

    ผู้ฟัง ๓ แล้ว กัมมชรูป อุตุชรูป จิตตชรูป

    ท่านอาจารย์ ยัง ปฏิสนธิจิตมีแต่กัมมชรูปกับอุตุชรูปเท่านั้น ไม่มีจิตตชรูป เมื่อ ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ปฐมภวังค์เกิดต่อ ซึ่งในอุปาทขณะของปฐมภวังค์ จิตตชรูป เริ่มเกิด ส่วนกัมมชรูปก็เกิดไปทุกๆ อนุขณะของจิต

    เพราะฉะนั้น ในปฏิสนธิขณะ มีกัมมชรูปเกิดทั้งอุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ แต่ไม่มีจิตตชรูป สำหรับอุตุชรูปเกิดในฐีติขณะ เมื่อถึงจิตขณะที่ ๒ คือ ปฐมภวังค์ จิตตชรูปก็เกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต ส่วนกัมมชรูปก็เกิดไป อุตุชรูปก็เกิดไป

    อาหารชรูปจะเกิดเมื่อโอชาซึมซาบแล้ว โอชาก็ได้รับจากมารดาไปสู่ทารกในทางไหนก็ตาม เมื่อซึมซาบเข้าไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิดเป็นอาหารชรูป และเจริญเติบโตมาจนกว่าจะเป็นสฬายตนะ ถ้าขณะนั้นไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา ก็ไม่มีจักขุปสาทซึ่งเป็นจักขายตนะ เพราะถ้าจะเป็นจักขายตนะหมายความว่า ต้องเป็นที่เกิด เป็นที่ประชุมที่ทำให้จิตรู้อารมณ์

    ผู้ฟัง อาหารชรูปที่ซึมซาบจากมารดา เกิดจากวิญญาณตรงไหน เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป แต่เราพูดถึงอาหารชรูปซึมซาบจากมารดา ไม่ใช่วิญญาณ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ต้องทราบว่า รูปมีสมุฏฐานเพียง ๔ รูปใดเกิดเพราะกรรม ก็มีกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปใดเกิดเพราะจิตก็มีจิตเป็นสมุฏฐาน รูปใดเกิดเพราะอุตุ ก็มีอุตุเป็นสมุฏฐาน รูปใดมีอาหารเป็นสมุฏฐานก็เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน และถ้าเป็นสภาวรูปก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปที่ดับไปแล้วไม่เป็นปัจจัย ให้รูปอื่นเกิด ไม่เหมือนกับจิตและเจตสิกที่การดับไปของจิตและเจตสิกดวงก่อน เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกขณะต่อไปเกิดสืบต่อกันมาตลอด

    แต่รูปไม่เป็นอย่างนั้นเลย รูปใดเกิดเพราะปัจจัยใดแล้วก็ดับ ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปอื่นเกิดต่อ แต่รูปที่เกิดนั้นมีสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใด คือ รูปนั้นเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน หรือรูปนั้นเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน หรือรูปนั้นเกิดเพราะอุตุเป็นสมุฏฐาน หรือรูปนั้นเกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน

    ผู้ฟัง ตรงนี้เข้าใจ แต่ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปปาทตรงที่ว่า สังขารทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทำให้เกิดนามรูป ไม่เข้าใจว่า วิญญาณที่ทำให้เกิดอาหารชรูปนั้น ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย ถ้าจะเข้าใจปฏิจจสมุปปาท ต้องเข้าใจช่องว่างระหว่างแต่ละองค์ด้วย นี่คือการเก็บองค์ของสังสารวัฏฏ์ที่เป็นปฏิจจสมุปปาท ซึ่งเป็นแกนที่แสดง ให้เห็นถึงความเป็นปัจจัย แต่ในระหว่างช่องว่างมีอีกมาก เพราะฉะนั้น ก็กล่าวเฉพาะที่เป็นองค์ๆ เท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง คำว่า ช่องว่าง หมายถึงอะไร

    ท่านอาจารย์ เช่น อาหารชรูปก็ไม่ต้องกล่าวถึง เป็นที่รู้ต่อไปเมื่อศึกษาว่า รูปใดเกิดเพราะจิต รูปใดเกิดเพราะกรรม รูปใดเกิดเพราะอุตุ รูปใดเกิดเพราะอาหาร แต่เมื่อกล่าวถึงปฏิสนธิจิต ให้ทราบว่า ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ การเริ่มมีจิตเจตสิกและรูป เริ่มในขณะนั้นอย่างไร ก็เพราะปฏิสนธิจิตนั่นเอง

    ผู้ฟัง หมายความว่า ที่เขาพูดกันว่า ปฏิจจสมุปปาทมี ๒ นัย คือ ข้ามภพข้ามชาตินัยหนึ่ง กับทุกขณะจิตอีกนัยหนึ่ง ทุกขณะจิตก็เป็นจริงไม่ได้ เพราะว่ายังมีช่องว่างอยู่อย่างนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่า แต่ละองค์ หมายถึงภพอดีตเป็นปัจจัยแก่ภพปัจจุบัน ภพปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่ภพอนาคต หรือหมายถึงเฉพาะในขณะที่เป็นปัจจุบันภพนี้เองซึ่งถ้ากล่าวถึงสฬายตนะกับผัสสะ กับเวทนา กับตัณหา ก็เป็นภพปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้น ต้องแบ่งแยกด้วย การฟังต้องพิจารณาว่า อวิชชาเป็นปัจจัย แก่สังขาร หมายความถึงเจตนาที่เกิดกับกุศลจิตและอกุศลจิตที่เป็นอภิสังขาร ๓ ซึ่งได้แก่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารเป็นปัจจัย แก่วิญญาณ ก็ต้องจากปฏิสนธิจิต วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ก็ต้องในภูมิ ที่มีขันธ์ ๕ แต่ในภูมิที่มีขันธ์ ๔ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม เพราะฉะนั้น จะตรงตัวโดยไม่เว้นนั่นเว้นนี่ไม่ได้

    เมื่อกล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป รู้ทันทีว่าหมายความถึงเฉพาะ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ แต่ถ้ากล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม ก็หมายถึงในอรูปพรหมซึ่งไม่มีรูป นี่คือช่องว่างที่เว้น ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจความชัดเจน

    ผู้ฟัง ที่มีภพปัจจุบัน อดีต อนาคต แต่ของปัจจุบันเฉพาะอย่างเดียวก็มี ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน อย่างปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูป ก็ภพปัจจุบันนี้ และ นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ เมื่อเจริญเติบโตก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจสำหรับเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด ที่จะทำให้จิตรู้อารมณ์ต่างๆ

    ผู้ฟัง เราสามารถอธิบายในภพปัจจุบันก็ได้เหมือนกัน แต่ยังมีช่องว่างอยู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีภพปัจจุบัน จะหายไปไหน

    ผู้ฟัง แต่ยังมีช่องว่าง

    ท่านอาจารย์ มากมาย เช่น แม้แต่ข้อความที่ว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ก็ยังต้องตัดรูปออกในภูมิที่ไม่มีรูป คือ ในอรูปพรหม

    ผู้ฟัง ในภพที่มีขันธ์ ๕ ก็ยังตัด ใช่ไหม ที่ว่าอาหารชรูปไม่เกี่ยวกับวิญญาณ

    ท่านอาจารย์ ใช่ แต่ถ้ากล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป หมายความว่า ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปเท่านั้น

    เรื่องของสภาพธรรม เป็นเรื่องที่ถ้าไม่ศึกษาหรือพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ก็มีชีวิตไปวันหนึ่งๆ จริงๆ โดยที่เป็นไปในทางเกิด เป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เป็นทางดับสังสารวัฏฏ์ ปฏิจจสมุปปาทเป็นปัจจัยฝ่ายเกิดโดยย่อๆ โดยคร่าวๆ ให้รู้ว่า ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูป โดยที่ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นามรูปก็เกิดดับสืบต่อเป็นสภาพของนามธรรมอย่างหนึ่ง เป็นสภาพของรูปธรรมอย่างหนึ่ง รูปก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม

    ผู้ฟัง อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร มุ่งหมายเอาอวิชชาในภพก่อน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ากล่าวถึงปฏิสนธิจิตในชาตินี้ ถ้ากล่าวถึงปฏิสนธิจิตในชาตินี้ ก็ต้องสังขารในชาติก่อนเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง สังขารในชาติก่อนเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ซึ่งหมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้

    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีสังขารไหม ถ้ามี สังขารนี้มาจากอะไร และถ้ายังเป็นความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมอยู่ ก็ต้องเป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นในอบายภูมิ หรือในสุคติภูมิ และจะเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เป็นปัจจัย ให้เกิดเวทนา เหมือนทุกๆ วันอย่างนี้ นานมาแล้ว และต่อไปข้างหน้าด้วย

    นี่คือการที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตา เพื่อเห็นความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพื่อให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าใครสามารถเกิดอกุศลจิตและเห็นว่า ควรจะมีชีวิตในทางดับมากกว่ามีชีวิตในทางเกิด ก็จะเป็นประโยชน์ มิฉะนั้นแล้วก็ยังไม่เห็นโทษ ถ้าเพียงแต่กล่าวว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเท่านั้น บางคนก็บอกว่า ไม่เป็นไร ก็เป็นนามธรรมและรูปธรรมแล้วจะเป็นอะไร ก็อยู่ไปวันๆ ก็ไม่เป็นอะไร แต่ไม่ได้พิจารณาโดยละเอียดว่า ทุกขณะชีวิตก้าวไปสู่ชราและมรณะ ถ้าเป็นชีวิต ที่สนุก สบาย มีความสุข แต่ไม่สามารถนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นความสุขที่เคยชอบ เคยติด เคยพอใจไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นภพไหน ชาติไหน เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับ คนที่ติดยึดมั่นในสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นสุข และกำไว้เพราะความติดข้อง แต่กำมือนั้นก็เป็น กำมือเปล่า

    และแทนที่จะให้รู้เมื่อตอนตายว่า เอาความสุขทั้งหลายในโลกนี้ที่เคยชอบ เคยพอใจสมบัติต่างๆ ไปด้วยไม่ได้ ไม่ต้องไปคอยรู้ตอนตาย แต่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงแม้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ว่า สิ่งที่เคยเห็นว่าเป็นสาระ เป็นสุข แท้ที่จริงแล้วเป็นความว่างเปล่า ยังดีกว่าที่จะหลงและติด เป็นไปในทาง ฝ่ายเกิดตลอด เพราะว่าไม่มีใครสามารถดับจิตเจตสิกได้ ถ้าปัญญาไม่เกิด มีแต่ธรรมที่เป็นฝ่ายเกิดอยู่เรื่อยๆ

    ผู้ฟัง อวิชชาทำให้สังขารเกิด ปฏิจจสมุปปาทเป็นเรื่องยาก อาจารย์พูดที่นี่ ถ้าจะประมวลกันแล้วก็ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้ง ถ้าถามว่าผมฟังแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้างจากปฏิจจสมุปปาท ผมก็อยากจะเรียนว่า เมื่อฟังแล้วและได้อ่านอรรถกถาบ้าง อ่านอภิธัมมัตถสังคหะบ้าง ฟังการเจริญสติปัฏฐาน ๔ จากอาจารย์บ้าง ก็เกี่ยวกันทั้งหมดเลย เกี่ยวกันอย่างไร ผมจะพยายามทำความเข้าใจกับท่านอาจารย์และ ผู้ฟังอื่นๆ ด้วย อาจจะเป็นประโยชน์

    คือ อย่างที่พูดว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร อาจารย์ก็บอกแล้วว่า สังขารในที่นี้ก็คือเจตนาเจตสิก คือ กรรม เจตนาเจตสิกเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง ซึ่งเจตนาเจตสิกในที่นี้หมายถึงเจตนาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต ๑๒ มีโลภะ ๘ โทสะ ๒ โมหะ ๒ เจตนาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต ๑๒ ดวงนี้เป็นกรรม ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจเจตนาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต ๑๒ ดวงและจำได้

    ในขณะที่จิตโกรธก็ดี โลภก็ดี หรือหลงก็ดี ขณะนั้นมีเจตนาเจตสิกเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกรรมเกิดกับอกุศลจิต ๑๒ ขณะนั้นเป็นอปุญญาภิสังขาร คือ ไม่ใช่บุญ ถ้าพูดเป็นภาษาบาลีก็จะยาก แต่ความหมายก็คือ เจตนาที่เกิดกับอกุศลจิต ขณะนั้นไม่ใช่บุญ และถ้าเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิกเกิดกับ มหากุศลจิต ๘ ขณะนั้นก็เป็นปุญญาภิสังขาร ขณะที่กุศลจิตเกิด จะเป็นทานก็ดี จะเป็นศีลก็ดี หรือจะเป็นภาวนาก็ดี ขณะนั้นเป็นปุญญาภิสังขาร ก็เป็น ๒๐ คือ อกุศล ๑๒ มหากุศล ๘ เป็น ๒๐ ผมค่อยๆ ไป และรูปาวจร ๕ กับอรูปาวจร ๔ ซึ่งเป็นกุศล ก็เป็น ๒๙ เจตนาเจตสิก ๒๙ นี้เป็นกรรม

    นี่คือเท่าที่ผมพยายามทำความเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปปาท ถ้าอยากจะ ศึกษากันตรงนี้ก็ต้องไปจำเพิ่มขึ้นอีก แต่ถ้าพูดถึงปฏิจจสมุปปาทก็คืออวิชชาทำให้ ทำบุญ ทำบาป ทำให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ ต้องเกิดกันอีก และถ้าเราเรียนเรื่องปฏิจจสมุปบาท เราเรียนเรื่องวัฏฏะ ๓ ด้วย ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะว่ากิเลสทำให้ ก่อกรรม กรรมทำให้มีวิบาก ก็วนเป็นวัฏฏะ ๓ ปฏิจจสมุปปาทก็คือเรื่องวัฏฏสงสารนั่นเอง

    ผมมีความเข้าใจบ้างพอสมควร ก็แบ่งๆ กันไป ไม่ทราบจะเป็นประโยชน์ หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เรื่องอกุศลจิต ๑๒ ต้องถึงความเป็นอกุศลกรรมบถด้วย ธรรมแม้แต่ที่ทรงแสดงไว้ว่า อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ อกุศลเจตนาที่เกิดกับอกุศลเจตสิก ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงที่เป็นกรรมบถ จึงจะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ เพราะถ้าจะกล่าวทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันไว้ในที่เดียวกันทั้งหมด ก็ไม่ต้องไปถึงไหน ก็ทรงแสดงไว้ในที่ ต่างๆ แล้ว เพราะฉะนั้น เวลากล่าวถึงปฏิจจสมุปปาท ก็ยกข้อซึ่งจะเป็นองค์ที่สำคัญ ที่เป็นแกน ที่เป็นปัจจัย โดยแสดงให้เห็นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็มี เมื่อสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น โดยหัวข้อใหญ่ๆ ที่เป็นปฏิจจสมุปปาท แต่โดยละเอียดจะแสดงถึงปัจจัย โดยย่อย โดยละเอียดว่า เป็นปัจจัยโดยปัจจัยอะไรบ้าง

    และเมื่อเติบโตมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ทุกคนคงไม่สงสัยเรื่องอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งก็ต้องมาจากปฏิสนธิจิตที่เป็นปัจจัยแก่นามรูป เจริญเติบโตมาจนกระทั่งถึงกาลที่สภาพธรรมนั้นเป็นที่อาศัย เป็นบ่อเกิด เป็นที่ประชุม เป็นแดนเกิด เป็นเหตุ นี่คือความหมายของอายตนะ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2058

    นาที 32:08

    สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวรรค กามสุตตนิทเทสที่ ๑ มีข้อความว่า

    จิตเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นแดนเกิด เพราะว่าธรรมทั้งหลาย มีผัสสะเป็นต้น ย่อมเกิดในจิตนี้

    ด้วยอรรถว่า เป็นที่ประชุม ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเหตุว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมประชุมที่จิตโดยเป็นอารมณ์

    ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุ เพราะเจตสิกธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น เป็นเหตุ คือ เป็นปัจจัย

    ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัย มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น

    ข้อความโดยย่อ แต่กินความถึงข้อความอื่นๆ ในส่วนอื่นๆ ของพระไตรปิฎกด้วย ซึ่งทุกคนสามารถเข้าใจลักษณะสภาพที่เป็นอายตนะได้ ถ้ากล่าวถึงอายตนะ ๖ ก็ได้แก่ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑

    เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงมีผัสสะ หรือจะกล่าวว่า สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือ ขณะนี้ที่เห็น ต้องมีการกระทบกันของสิ่งที่ปรากฏกับ จักขุปสาท จิตจึงเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และในขณะที่ได้ยิน เพื่อจะได้เข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการได้ยิน ก็ต้องรู้ว่า ต้องมีเสียงกระทบกับโสตปสาท เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้อายตนะจึงเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือ มีการกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่มีใครสามารถยับยั้งหรือห้ามได้ จะต้องเกิดขึ้นทุกวัน เป็นไปทุกวัน และเป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ เพราะว่าชีวิตเป็นไปในทางเกิดทั้งสิ้น

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2059



    หมายเลข 52
    13 พ.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ