สนทนาเรื่องอานาปานสติ ๒


    กฤษณา เรื่องอานาปานสติเป็นอารมณ์ของมหาบุรุษ มหาบุรุษในที่นี้จะหมายถึงเฉพาะพระอรหันต์ หรือหมายรวมถึงพระอริยบุคคลระดับ อื่นๆ ด้วย หรือหมายถึงบุคคลใด

    ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่น่าคิด เพราะคำว่า มหาบุรุษ ต้องเป็นคำที่มีความหมายสำคัญทีเดียว เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษแน่ เพราะฉะนั้น นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บุคคลใดอีกจะเป็นมหาบุรุษ

    อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อรรถกถาทีปสูตรที่ ๘ ข้อ ๑๓๒๗ – ข้อ ๑๓๔๗ แสดงอานิสงส์ของอานาปานสติสมาธิ ซึ่งถ้าท่านผู้ฟัง ดูในพระสูตรอื่นจะเห็นถึงอานิสงส์ของกายคตาสติบ้าง อานิสงส์ของสติปัฏฐานบ้าง เพราะฉะนั้น แต่ละสูตรก็แสดงอานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐานนัยต่างๆ แต่สำหรับอานิสงส์ของอานาปานสติสมาธิ ข้อ ๑๓๒๗ พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    มากจริงๆ แต่ต้องทราบว่า มากแค่ไหน

    ข้อ ๑๓๒๙

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อก่อนแต่ตรัสรู้ ครั้งเราเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ ก็ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้โดยมาก เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้โดยมาก กายไม่ลำบาก จักษุไม่ลำบาก และจิตของเราย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น

    และข้อความต่อไปจนถึง ข้อ ๑๓๔๕ แสดงอานิสงส์ของอานาปานสติสมาธิว่าย่อมทำให้สามารถบรรลุถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ ซึ่งดับจิตเจตสิกได้ ไม่เกิน ๗ วัน

    ส่วนใน อรรถกถาทีปสูตรที่ ๘ ก็ได้ชี้อานิสงส์ของอานาปานสติสมาธิว่า

    ภิกษุผู้ต้องการฤทธิ์ที่เป็นอริยะก็ดี รูปาวจรฌาน ๔ ก็ดี อรูปาวจรสมาบัติ ๔ ก็ดี นิโรธสมาบัติ ๔ ก็ดี ต้องทำความสนใจสมาธิที่เกี่ยวกับความระลึก อานาปานนี้ให้ดี เหมือนเมื่อได้กรุงแล้ว ของสิ่งใดที่ต้องใช้ความขยันจึงจะได้มา ในทิศทั้ง ๔ ของสิ่งนั้นก็ย่อมเข้าสู่กรุงโดยประตูทั้ง ๔ นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันว่าได้ทั้งชนบทด้วย นี้แลเป็นอานิสงส์ของกรุงนั่นเทียว ฉันใด ชนิดมีอริยฤทธิ์เป็นต้นนี้ก็ฉันนั้น เป็นอานิสงส์ของอานาปานสติสมาธิภาวนา เมื่อได้เจริญ อานาปานสติสมาธิโดยอาการทั้งหมดแล้ว สิ่งทั้งหมดนี้ก็ย่อมสำเร็จแก่พระโยคี (คือ ผู้ที่เจริญอานาปานสติสมาธินั้น)

    ถ้าพิจารณาจะเห็นได้ว่า ปัญญาของผู้เจริญอานาปานสติ ได้ทั้งหมด ไม่ใช่เล็กน้อยเลย เพราะสามารถบรรลุฤทธิ์ต่างๆ ได้ ทั้งโลกียะและโลกุตตระ แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ คือ เป็นผู้ที่มีปัญญาสามารถเจริญ อานาปานสติสมาธิด้วย ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ระลึกที่ลมหายใจชั่วขณะและจะประจักษ์ การเกิดขึ้นและดับไป แต่ต้องเป็นที่ผู้ประกอบด้วยสมาธิทั้งหมดทั้งรูปฌานด้วย และผู้ที่สามารถเจริญอานาปานสติสมาธิ ย่อมสามารถได้อิทธิฤทธิต่างๆ ทั้งที่เป็น โลกียะและโลกุตตระ แสดงให้เห็นถึงปัญญาอย่างมากของผู้ที่สามารถอบรม เจริญอานาปานสติได้ ซึ่งเท่ากับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในเงื้อมมือของผู้ที่มีความสามารถ เจริญอานาปานสติสมาธิ

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความสามารถอย่างนี้ คือ มหาบุรุษ ไม่ใช่คนที่เพียงแต่ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ต้องเป็นผู้ที่มากกว่านั้น อย่างเช่นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมหาบุรุษ พระอริยบุคคล พระอรหันต์ในสมัยโน้น ท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์ และท่านเป็นผู้ที่ได้อภิญญา ก็เป็นมหาบุรุษ

    ถ้าไม่ใช่มหาบุรุษ ยากที่จะเจริญอานาปานสติได้ เพราะว่าเป็นอารมณ์ที่ละเอียดกว่าแม้กสิณ หรืออสุภกัมมัฏฐาน หรือกัมมัฏฐานอื่นๆ เพราะว่าขณะนี้ทุกคนก็มีลมหายใจ แต่ที่ลมหายใจจะปรากฏต้องประกอบด้วยปัญญาที่รู้ว่า ในขณะที่ ลมหายใจปรากฏนั้น จิตสงบหรือไม่สงบ เพราะแม้จิตไม่สงบ ลมหายใจก็ปรากฏได้ พวกโยคะ โยคีต่างๆ ก็ใช้การทำสมาธิโดยมีลมหายใจที่เรียกว่า โยคะ แบบต่างๆ ในขณะนั้นบุคคลเหล่านั้นไม่รู้ความต่างกันด้วยสติสัมปชัญญะว่า ขณะนั้นจิตสงบหรือไม่สงบ เป็นกุศลหรือไม่ใช่กุศล เช่น ขณะนี้ถ้าไม่พูดถึงลมหายใจ กระทบสัมผัสสิ่งที่แข็งจะรู้ไหมว่า ขณะนั้นจิตสงบหรือไม่สงบ กำลังมีลักษณะที่แข็งปรากฏ ลักษณะที่แข็งเปลี่ยนไม่ได้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นลักษณะที่แข็ง และ มีจิตที่กำลังรู้แข็งด้วย ขณะนั้นเปลี่ยนจิตที่รู้แข็งให้เป็นจิตอื่นไม่ได้ แต่นอกจากจิต ที่รู้แข็งแล้ว เป็นจิตที่สงบหรือไม่สงบที่เกิดต่อจากจิตที่รู้แข็ง

    จิตที่รู้แข็ง โดยวิถีจิตเป็นกายวิญญาณกำลังรู้แข็ง แต่หลังจากที่กายวิญญาณดับแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตที่เกิดต่อก็รู้แข็ง เป็นวิบาก สันตีรณจิตที่เกิดต่อจาก สัมปฏิจฉันนจิตก็รู้แข็งและเป็นวิบาก แต่หลังจากที่โวฏฐัพพนจิตซึ่งเป็นกิริยาจิต ที่เกิดต่อจากสันตีรณจิตดับไปแล้ว ชวนจิตที่เกิดต่อ ทั้งๆ ที่กำลังมีแข็งเป็นอารมณ์เหมือนกัน แต่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    ต้องเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะประกอบด้วยปัญญา จึงสามารถรู้สภาพของจิต ซึ่งโดยตำราสามารถบอกได้ว่า กุศลจิตมีเท่าไร อกุศลจิตมีเท่าไร แต่เวลาที่กระทบสัมผัสแข็งจริงๆ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาคือสติสัมปชัญญะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ขณะนั้นจิตสงบหรือไม่สงบ เป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล

    นี่คือการกระทบโผฏฐัพพะ คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมทางกาย เวลาที่เป็นลมหายใจก็คือโผฏฐัพพะ ลมหายใจไม่ใช่สภาพธรรมที่ต่างจากโผฏฐัพพะคือแข็ง ที่กำลังปรากฏ แต่ลมหายใจละเอียดมาก เป็นโผฏฐัพพะที่ละเอียด ในขณะนี้ทุกคนกำลังหายใจ และตามความเป็นจริงลมหายใจก็กระทบส่วนหนึ่งส่วนใด เช่น ในช่องจมูก หรือเบื้องบนริมฝีปาก เพราะฉะนั้น ในขณะที่ลมหายใจกำลังกระทบ ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้นจิตสงบหรือไม่สงบ เพราะฉะนั้น การเจริญอานาปานสติจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่ประกอบด้วยสัมปชัญญะ แม้ขณะที่กำลังกระทบแข็งอย่างหยาบๆ เช่น กระทบเก้าอี้ หรือโต๊ะ ยังบอกไม่ได้ว่า จิตนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล และเมื่อลมหายใจละเอียดกว่านั้น สติสัมปชัญญะก็ต้องละเอียดตามที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นกุศลหรือไม่ใช่กุศล

    แต่คนที่ไม่เคยอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่สามารถบอกได้แน่นอน เช่น พวกโยคะ มีการระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ยาว สั้น เป็นการฝึกหัดบริหารเพื่อสุขภาพอนามัย พวกโยคะจะใช้สมาธิเพื่อประโยชน์อย่างนั้น แต่ขณะนั้นเขา บอกไม่ได้เลย เพราะไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานที่สามารถรู้ลักษณะของจิต ในขณะที่กำลังมีลมหายใจเป็นอารมณ์

    เป็นเรื่องละเอียดที่จะรู้ว่า ขณะที่กำลังหายใจอยู่ในขณะนี้ หรือขณะที่ ลมปรากฏ จิตสงบหรือไม่สงบ เป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ประกอบด้วยการศึกษาและการพิจารณาอย่างละเอียดจะเข้าใจเอาเองว่า ขณะนั้นสงบ เพราะเขาคิดว่า คำว่า สงบ หมายความถึงขณะที่จิตไม่ไปรู้อารมณ์อื่น ขณะใดก็ตามที่จิต ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์เดียวผู้ที่ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดก็เข้าใจว่า ขณะนั้นสงบ แต่ตามความเป็นจริง ขณะที่กำลังจดจ่อรู้เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ไม่ใช่กุศลเสมอไป เพราะว่ามีทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิก็ต้องประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะคือปัญญาจริงๆ ไม่สามารถ รู้ลักษณะของจิตที่สงบว่า ต่างกับอกุศลจิตอย่างไร

    . ผู้ที่ไม่ใช่มหาบุรุษก็ไม่สามารถเจริญอานาปานสติได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐานว่า เจริญทำไม นี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะว่าทุกคนที่จะบรรลุถึงจุดหมาย ต้องเข้าใจจุดประสงค์ ถ้าเพียงแต่เดินไปโดยไม่รู้จุดหมายและไม่รู้หนทาง ไม่มีวันที่จะถึง

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเจริญอะไรก็ตาม บางคนอาจจะบอกว่า เจริญกายานุปัสสนา หรือเจริญกายคตาสติ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แต่เข้าใจจุดประสงค์ของการเจริญหรือเปล่าว่าเพื่ออะไร

    ผู้ที่จะเจริญปัญญา ต้องอาศัยการฟัง และรู้ว่าตนเองมีกิเลสมาก และกิเลสนั้นอยู่ในขณะไหน

    ขณะที่เห็นและไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏโดยสภาพที่แท้จริงเป็นอะไร ที่จะกล่าวว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะที่กำลังได้ยินและ ไม่รู้ว่าสภาพที่กำลังได้ยินเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะ สภาพที่กำลังได้ยินเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้เสียงที่กำลังปรากฏ

    คือ ไม่รู้ตัวเองว่ามีความไม่รู้ซึ่งจะต้องละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญา สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมเพื่อเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมนั้นให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ตามที่เคยได้ยินได้ฟัง และพิจารณา ในขณะที่สติระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ไม่มีการคิดว่าจะเจริญอานาปานสติแน่นอน

    สำหรับผู้ที่เจริญปัญญาเพื่อละความไม่รู้ย่อมรู้ว่า สติเป็นอนัตตา สติเกิดเพราะอาศัยปัจจัย สำคัญที่สุด คือ เข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏมากพอที่สติจะเกิดระลึกรู้ในลักษณะนั้นๆ ได้ถูกต้อง เช่น เข้าใจเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตาละเอียดขึ้น ซึมซาบ เข้าใจจนกระทั่งสติเกิดระลึกได้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

    ความเข้าใจต้องมีก่อน เมื่อความเข้าใจมีแล้ว สติจะระลึกลักษณะของ สภาพธรรมอะไรก็ได้ สติเกิดและดับ ไม่มีใครไปบังคับให้สติระลึกที่นั่นที่นี่ได้ แต่ ความเข้าใจผิดหรือมิจฉาทิฏฐิทำให้ตัวเองคิดว่า สามารถตั้งสติ หรือสามารถให้สติกำหนดที่นั่นที่นี่ได้ นั่นคือความเห็นผิด คือ ขณะนั้นไม่เข้าใจลักษณะของสติว่า เป็นอนัตตา

    เมื่อเข้าใจเรื่องของสติปัฏฐาน และรู้ว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมอะไรก็ได้ ก็ไม่สนใจเรื่องของลมหายใจ ใช่ไหม หรือยังสนใจว่า จะเจริญอานาปานสติ

    ถ้ามีความคิดว่าจะเจริญอานาปานสติ เข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดในเรื่องการ ละกิเลส เพราะทางตาก็ไม่รู้ว่า กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา และสิ่งที่ปรากฏโดยลักษณะจริงๆ แล้วก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดดับด้วย ทำไมไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่จะไปเจริญอานาปานสติ

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะละความไม่รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะรู้ว่า ขณะใดสติเกิด ขณะใดหลงลืมสติ และขณะที่สติเกิดลักษณะสภาพที่เป็นปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ของสติ ไม่เหมือนกับเวลาที่สติปัฏฐานไม่เกิด เวลาที่ สติปัฏฐานไม่เกิดก็เห็น ไม่ใช่ไม่เห็น ทุกคนก็เห็น แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ถ้ารู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ก็คือรู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น ละความไม่รู้ และไม่สนใจเรื่องของอานาปานสติ หรือกายคตาสติ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่รู้ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นปรมัตถธรรมที่สติจะระลึก จึงรู้ ถ้าสติไม่ระลึก วันหนึ่งก็เห็น และก็ผ่านไป ทั้งๆ ที่เป็นปรมัตถธรรมก็ไม่รู้ว่า เป็นปรมัตถธรรม

    . คำถามสืบเนื่องมาจากที่พระคุณเจ้าท่านถามเหมือนกัน ที่อาจารย์ ได้เรียนตอบท่านว่า สภาพรู้แข็งมี แต่ปัญญาไม่รู้ในสภาพรู้แข็ง ที่ว่าปัญญาไม่รู้ ในสภาพรู้แข็งนั้น อาจารย์หมายรวมถึงสติไม่ได้ระลึกในสภาพที่รู้แข็งนั้นด้วย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะปัญญาจะเกิดโดยสติไม่เกิดไม่ได้ สติเป็นโสภณสาธารณเจตสิก ส่วนปัญญาไม่ใช่โสภณสาธารณะ แม้ว่าสติเกิด ปัญญาไม่เกิดก็ได้ แต่เมื่อปัญญาเกิด สติต้องเกิดกับปัญญา จะมีแต่ปัญญาเกิดโดยสติไม่เกิดไม่ได้เลย

    . ถ้าสติเกิดโดยปัญญาไม่เกิดร่วมด้วย เป็นญาณวิปปยุตต์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    . ถือว่าเป็นสติในขั้นสติปัฏฐานหรือเปล่า ที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    ท่านอาจารย์ โดยมากท่านผู้ฟังอยากให้ตอบว่า ถือ หรือไม่ถือ แต่จริงๆ แล้ว ลักษณะของสภาพธรรมเป็นอย่างนั้น แต่ปัญญาเราสามารถรู้ได้ไหมที่ว่าเป็นอย่างนั้น กุศลจิตมี ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งเป็นญาณวิปปยุตต์ ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย อีกประเภทหนึ่งก็เป็นญาณสัมปยุตต์ มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ที่เราจะเห็นได้ชัดๆ คือ ขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้นกระทำกิจรู้หรือเข้าใจ นั่นเป็นลักษณะและ กิจของปัญญา ขณะนั้นรู้ได้ว่าเป็นปัญญาลักษณะนั้น แต่เวลาที่ความเข้าใจก็ดี หรือความรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏไม่มี ขณะนั้นปัญญากำลังค่อยๆ เจริญขึ้น แต่ลักษณะ และกิจของปัญญายังไม่ปรากฏที่จะสามารถกล่าวได้ว่า เป็นสภาพที่กำลังรู้หรือกำลังเข้าใจ แต่ก่อนที่จะรู้หรือจะเข้าใจ ต้องมีการเริ่ม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้ได้ทันทีในขณะนี้ ที่กำลังเห็นว่า เป็นนามธรรม เป็นอาการรู้ และเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ

    นี่คือสิ่งที่ได้ฟัง และกำลังเข้าใจ แต่การเข้าใจเป็นระดับขั้นหนึ่ง ยังไม่ใช่ การประจักษ์แจ้ง และยังไม่ใช่การหมดความสงสัย เพระฉะนั้น ผู้เจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเองที่จะรู้ว่า ความรู้ขั้นฟังนั้นขั้นหนึ่ง แต่ขณะที่ฟังและรู้ และเข้าใจเป็นปัญญาหรือเปล่า เป็น

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ทำให้เกิดระลึกได้ในขณะที่กำลังเห็น และเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะว่าระลึกบ่อยๆ และฟังมาก เข้าใจมาก และระลึกอีก ฟังอีกเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ความเข้าใจก็เพิ่มอย่างน้อยมาก จะต้องฟังอีกเพื่อเป็นพื้นฐานที่จะให้ เมื่อระลึกแล้วสามารถเข้าใจได้อีก ในขณะนั้นจะกล่าวว่า เป็นปัญญาหรือ มีปัญญาหรือเปล่า มี แต่ว่าน้อย เป็นการเริ่มต้น จนกระทั่งไม่สามารถสังเกตได้ ใช่ไหม

    ถ้าจะให้ตอบว่า เป็น หรือไม่เป็น ต้องเป็นผู้ที่พิจารณาตนเองว่า ในขณะที่ฟังมีความเข้าใจเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏกับสภาพรู้จริงๆ และขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ สติระลึก และค่อยๆ รู้ ค่อยๆ รู้ นี่ต่างกับไม่รู้เสียเลย ใช่ไหม เห็นก็เห็น แต่ไม่รู้ความจริงเลย ย่อมต่างกับเห็น และเคยได้ยิน เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังเห็น ก็ค่อยๆ หรือเริ่มที่จะเข้าใจขึ้น นี่คือการเจริญปัญญา จนกว่าจะถึงวาระที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น คงจะไม่ถามอีกเรื่องถือหรือไม่ถือ เป็นญาณสัมปยุตต์ หรือ เป็นญาณวิปปยุตต์


    . ท่านอาจารย์บอกว่า เริ่มจากฟังและเข้าใจเป็นปัญญาขั้นหนึ่งที่จะทำให้สติระลึกได้ ในขณะที่สติระลึกเพราะเริ่มมาจากความเข้าใจที่ถูกต้อง สติระลึกแล้ว ในขณะนั้นไม่มีปัญญาประกอบด้วยก็ได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เราฟังเรื่องของการเห็นในขณะนี้ และฟังเรื่องของรูปที่กำลังปรากฏ สติก็ไม่ได้ระลึก ทั้งๆ ที่เห็น และฟังแล้ว และเข้าใจด้วย เข้าใจตามตำรา ตามความคิดนึก และในขณะที่กำลังเห็น ไม่ได้เข้าใจก็มี แต่เวลาที่สติปัฏฐานเกิด ผู้นั้นเป็นผู้รู้เองว่า กำลังค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน มีปัญญาของตนเองที่จะรู้ว่า เริ่มละคลายความไม่รู้ และเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ แต่ต้องค่อยๆ เป็นทีละเล็กทีละน้อย

    ที่ใช้คำว่า น้อมพิจารณา หรือว่าน้อมรู้ หรือว่าน้อมไปสู่พระนิพพาน ไม่ได้หมายความว่าให้เป็นตัวตนที่จะน้อม ขณะนี้ที่กำลังเห็น ให้น้อมไป ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายความว่า ขณะใดที่สติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เริ่ม หรือค่อยๆ เข้าใจขึ้น เวลาที่สติปัฏฐานเกิดและเข้าใจขึ้นครั้งหนึ่ง ก็คือการน้อมไป ครั้งหนึ่ง เพราะการที่จะไปถึงนิพพานทันที หรือการที่จะดับความสงสัยทันที เป็นไปไม่ได้

    ขณะใดที่สติปัฏฐานเกิด และปัญญาเริ่มจะเข้าใจ นั่นคือการน้อมไป สติและปัญญาน้อมไปสู่นิพพาน น้อมไปสู่การดับความสงสัย น้อมไปสู่การดับกิเลส แต่ไม่ใช่ตัวตนที่จะพยายามน้อมไปที่จะเข้าใจ

    . อีกคำถามหนึ่ง สืบเนื่องมาจากคำถามของพระคุณเจ้าอีกเหมือนกัน ที่ท่านกล่าวถึงความต่างของอารมณ์ เช่น อารมณ์ทางตา สีต่างๆ ก็เป็นสีแดง สีเหลือง สีเขียว อะไรอย่างนี้ อาจารย์ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะสติเกิดเป็น สติปัฏฐาน ขณะนั้นไม่ใส่ใจ หมายถึงว่าไม่ใส่ใจในนิมิตอนุพยัญชนะ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    . แต่จะต้องใส่ใจในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เวลานี้สภาพธรรมกำลังปรากฏทางตา ประโยชน์ที่สุดของพระธรรม ซึ่งเป็นสัจจธรรม คือ ทุกท่านสามารถพิสูจน์ได้ทันที ทางตามีสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใส่ใจว่าเป็นสีต่างๆ ทั้งๆ ที่เป็นสีต่างๆ เหมือนเสียง เสียงก็มีเสียงต่างๆ เสียงสูง ก็มี เสียงต่ำก็มี เสียงเล็ก เสียงใหญ่ เสียงทุ้ม เสียงพร่า เสียงแหบ มีหลายๆ เสียง เราจะเปลี่ยนลักษณะสภาพของเสียงนั้นไม่ได้เลย ถ้าเป็นเสียงสูง ลักษณะของเสียงสูงก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เสียงนั้นสูง ถ้าเป็นเสียงต่ำ เสียงต่ำนั้นก็เกิดเพราะ เหตุปัจจัยที่ทำให้เสียงนั้นต่ำ เราเปลี่ยนปัจจัยและเปลี่ยนเสียงนั้นไม่ได้ แต่ลักษณะของเสียง คือ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อกระทบกับโสตปสาทรูปชั่วขณะที่แสนสั้น ซึ่งทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้งโสตปสาทรูปและเสียงเป็นปัจจัยให้โสตวิญญาณคือจิตได้ยิน ที่กำลังได้ยินในขณะนี้เกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใส่ใจในเสียงว่าสูงหรือต่ำเพราะกำลังเข้าใจ ในลักษณะของเสียง เช่น ในขณะนี้จะเป็นเสียงสูงเสียงต่ำอะไรไม่สนใจ แต่สนใจรู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง หมดแล้ว สภาพธรรมนั้นเกิดและดับ ไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่ นั่นคือการใส่ใจในลักษณะของสภาพธรรม โดยที่ว่าเปลี่ยนเสียงไม่ได้ ฉันใด ทางตาก็เปลี่ยนสีที่กำลังปรากฏไม่ได้ แต่ไม่ใส่ใจ เพราะกำลังเริ่มเข้าใจว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    . ลักษณะที่ไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่ ใส่ใจตรงนี้หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ พิจารณาลักษณะของสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมทีละขณะ และรู้ชัดว่า นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เพราะตั้งแต่เกิดจนตายทุกคนก็ทราบว่า มีสภาพธรรมเพียง ๒ อย่าง ไม่มีเราเลย แต่เพราะนามธรรมเกิดขึ้น รูปธรรมเกิดขึ้น แต่เมื่อไม่รู้สภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง จึงยึดถือนามธรรมและรูปธรรมนั้นว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น การที่จะละความไม่รู้ ก็คือเริ่มเข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่เรียกว่านามธรรม ที่ได้ยินว่านามธรรม ที่ฟังแล้วเข้าใจว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เป็นสภาพรู้ ต้องในขณะที่กำลังเห็น เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้ ในขณะที่ได้ยินก็เป็นอาการรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในขณะที่คิดนึก เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม

    ในขณะที่นามธรรมปรากฏ หรือรูปธรรมปรากฏ ก็เพราะสติระลึกที่ลักษณะ ของนามธรรมนั้น หรือระลึกที่ลักษณะของรูปธรรมนั้น เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดว่า ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ผมขอขยายความคำว่า ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ

    ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ อย่างที่เราได้ฟังอาจารย์ เราก็ฟังกันมาหลายปี คำว่า ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ในขณะที่อาจารย์บอกว่า สภาพธรรมมีปรากฏอยู่ ในขณะนี้ก็มีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีอยู่แล้ว ทำอย่างไรจึงจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ตรงนี้แหละผมก็อยากจะช้าๆ ค่อยๆ เข้าไป

    ผมฟังแล้วผมก็ค่อยๆ เข้าไปว่า ที่อาจารย์บอกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เราก็ลืมตาเลย คือ เราลืมตาอยู่แล้ว แต่ในขณะนั้นสังเกต ผมใช้คำว่า สังเกต ดีกว่า ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร ตรงกับที่อาจารย์พูดไหม ตรงกับธรรมของ พระพุทธองค์ที่แสดงไว้ไหม นี่คือการค่อยๆ เข้าไปช้าๆ

    หลังจากได้มีการสังเกตสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ต่อมาก็มีการสังเกตว่า เห็น เป็นอย่างไร สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรมแล้ว อาการที่เห็น สภาพเห็นเป็นอย่างไร ก็สังเกตว่าเป็นอย่างไร และเอาเรื่องจริงๆ ในชีวิตประจำวันมานั่งดูเลย แต่ไม่ใช่จ้อง ดูแล้วคล้ายกับจ้องเหมือนกัน แต่ไม่ได้จ้องเอาๆ เราสังเกตเอา ซึ่งภาษาธรรมใช้คำว่า โยนิโสมนสิการ

    ผมใช้วิธีนี้ สังเกตเอาจากชีวิตประจำวันกับสิ่งที่อาจารย์พูดมา เราก็ค่อยๆ เข้าไป ค่อยๆ เข้าไป ค่อยๆ รู้ คือ สังเกตรูปธรรมนามธรรมนั่นเอง และวันหนึ่ง เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยพอแล้วก็จะมีการระลึกได้ ก็อยากจะเล่าสู่กันฟัง ไม่ทราบอาจารย์จะเพิ่มเติมตรงนี้อย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจว่า การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่การทำ แต่เป็นการเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าได้ยินคำว่า ปฏิบัติ และแปลมาตรงๆ ว่า ทำ ก็จะทำให้มีความเข้าใจผิดว่า ต้องไปทำสติปัฏฐาน หรือต้องทำสติปัฏฐาน แต่ความจริง สติ คือ สภาพที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา คือ ความรู้ ความเข้าใจถูกต้อง ในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่กำลังพิจารณาหรือกำลังค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เริ่มรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้นมรรคมีองค์ ๘ หรือเมื่อยังไม่ถึงโลกุตตรจิต ก็มีมรรคมีองค์ ๕ แน่นอน ขาดวิรตีเจตสิก ๓ ซึ่งได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ซึ่งเจตสิกทั้ง ๓ นี้จะเกิดไม่พร้อมกัน

    ถ้าเราจะไม่พูดเรื่องจำนวนว่า ๕ หรือ ๘ แต่หมายความว่ามรรคมีองค์ ๘ แม้ว่ายังเกิดไม่ครบ แต่ก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ และมีสัมมาสมาธิเกิดแน่นอน ซึ่งในขณะนั้นสติเจตสิกที่เป็นมรรค กำลังทำงานของสติเจตสิก เหมือนกับในขณะนี้ ไม่ใช่เราจะทำเห็น แต่สภาพธรรม มีปัจจัยเกิดขึ้นทำกิจเห็น ไม่ใช่เราทำเห็น ขณะที่กำลังได้ยินก็เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้นทำกิจได้ยิน มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร เป็นจิตประเภทไหน เกิดดับสืบต่อกันในวาระหนึ่งอย่างไร นั่นก็คือสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา ฉันใด การอบรมเจริญ สติปัฏฐานก็ไม่ใช่การที่เราจะไปทำ และต้องรู้ว่าเป็นขณะที่โสภณเจตสิกที่เป็นมรรค มีองค์ ๘ เกิดขึ้นทำกิจการงาน โดยเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งถ้าเป็น อย่างนั้น ในขณะนั้นสติต้องเกิดและเป็นสติปัฏฐาน และปัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้นด้วย

    ต้องเข้าใจให้ถูกว่า ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องภาวนา คือ การอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง สำหรับอานาปานสติสมาธิ หรืออานาปานสติ หรืออานาปานบรรพ ในสติปัฏฐาน รู้สึกว่าในประเทศไทยนิยมกันเหลือเกิน ที่ไหนๆ ก็ทำอานาปานสติกัน

    ผมจำได้ครั้งหนึ่งเมื่อผมเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องอานาปานสติสมาธิ ผมอ่านไปได้ครึ่งเล่ม ตอนนั้นเราไม่มีความรู้อะไรเท่าไร แต่มีความว้าวุ่นเกิดขึ้น อ่านแล้วไม่ถูกกับตัวเองเลย วางหนังสือเล่มนั้นจนเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้จับอีกเลย ผมอยากจะฝากบอกทุกๆ คนว่า อย่าไปหลงติดอานาปานสติเลย เพราะอานาปานสติตามที่อาจารย์พูดไว้ หรือในอรรถกถาก็มีพูดไว้ว่า สำหรับ มหาบุรุษเท่านั้น พระพุทธองค์ส่วนใหญ่ก็จะตรัสกับอสีติมหาสาวก

    ท่านอาจารย์ การที่จะรู้ว่า ธรรมใดเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ขณะใดที่เป็นไปเพื่อละ ไม่ว่าเรื่องของสมาธิ หรือเรื่องใดก็ตาม ขณะนั้นพิสูจน์ได้ว่า เป็นไปเพื่อต้องการ หรือเป็นไปเพื่อละ สิ่งใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อละ เพื่อการไม่ติดข้อง นั่นคือพระธรรม แต่สิ่งใดถ้าเป็นไป เพื่อความต้องการ ไม่ใช่เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจึงมีความต้องการ ขณะนั้น ก็ไม่ใช่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

    . พูดถึงมหาบุรุษ น่าสนใจมาก ท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายหลายอย่าง คิดว่าพอจะเข้าใจแล้ว แต่อดไม่ได้ว่า อาจจะมีบางคนหรือตัวผมเองก็ได้ ที่มานั่งพิจารณาว่า อย่าไปทำเลยอานาปานสติ เราไม่ใช่มหาบุรุษ แต่วันดีคืนดีผม ก็นึกว่า คนที่เป็นมหาบุรุษ เขาก็ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเขาเป็นแล้ว เผลอๆ เราอาจจะเป็นมหาบุรุษก็ได้กระมัง ตอนนี้ยังไม่รู้นี่ เพราะฉะนั้น คงจะต้องเจริญอานาปานสติก่อนดีกว่า เผื่อเราเป็นมหาบุรุษ จะได้หลุดพ้นไปเลย ตรงนี้เป็นปัญหาถามเหมือนกับเล่น แต่เป็นจริงตรงที่ว่า ระหว่างความรู้ว่าเป็นมหาบุรุษกับไม่รู้ เกี่ยวข้องกับอานาปานสติ อย่างไรหรือไม่ แต่ถ้าบอกว่า อย่าไปนึกถึงเรื่องมหาบุรุษเลย ก็จบ

    ท่านอาจารย์ คิดเรื่องปัญญาดีไหม เพราะว่ามหาบุรุษต้องเกี่ยวกับปัญญา ถ้าปราศจากปัญญาเป็นมหาบุรุษไม่ได้แน่ และปัญญาก็มีหลายขั้น ปัญญาที่เป็น โลกียะก็มี ปัญญาที่เป็นโลกุตตระก็มี สำหรับผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็น พระอรหันต์ก็ยังต่างกัน ไม่ใช่เหมือนกัน พระอรหันต์สุกขวิปัสสกะก็ไม่ใช่เป็น พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ที่เป็นฌานลาภีบุคคล คือ ไม่ได้เป็นผู้อบรมเจริญสมถภาวนาและไม่สามารถมีฌานสมาบัติทั้งรูปฌาน อรูปฌาน ไม่สามารถทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ และไม่มีปฏิสัมภิทาด้วย

    ปัญญามีมาก หลายขั้น และแต่ละบุคคลก็ควรจะรู้ว่า เราซึ่งยังไม่ใช่ พระอรหันต์ กิจของเราคือทำอย่างไร จะเป็นมหาบุรุษหรือจะค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรม และเมื่อปัญญาเกิดบุคคลผู้นั้นจะรู้เองว่า เป็นมหาบุรุษหรือไม่เป็น หรือเป็นเพียงสุกขวิปัสสกะเท่านั้น แต่ไม่ใช่ด้วยความหวังว่า เราอาจจะเป็นและจะทำอานาปานสติรอไว้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เริ่มจากการที่รู้ว่า ขณะนี้ไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่รู้อยู่ ก็ควรที่จะรู้ ไม่ใช่หวังรอว่า อาจจะเป็นมหาบุรุษ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏก็รู้ไม่ง่ายเลย ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏทางตาและได้ยินได้ฟังมาด้วยว่า ไม่ใช่ตัวตน ต้องเป็นสภาพรู้แน่ๆ สำหรับคนที่ยังไม่ตายจึงเห็น เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงลักษณะอาการของสภาพรู้ซึ่งกำลังเห็น ก็ยังไม่รู้ว่าต่างกับสิ่งที่ปรากฏ ทางตาอย่างไร ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ และในขณะที่อบรมเจริญปัญญา โดยไม่หวังว่าเราจะเป็นมหาบุรุษ หรือเราจะรู้รูปที่ละเอียด หรือรู้รูปนั้นรูปนี้ เป็นสมาธิขั้นนั้นขั้นนี้ สิ่งที่แต่ละบุคคลสะสมมาแล้ว ไม่มีใครสามารถยับยั้งการสะสมของเหตุปัจจัยที่สติจะระลึก และเมื่อปัญญาประจักษ์แจ้งคนนั้นไม่สามารถรู้ล่วงหน้า ได้ว่า ปัญญาของเขาจะประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพธรรมอะไรและจะประกอบด้วยความสงบของจิตซึ่งเป็นสมาธิขั้นไหน แต่ให้ทราบว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่ฌานลาภีบุคคล มีมากกว่าผู้ที่เป็นฌานลาภีบุคคล

    นั่นในสมัยกาลสมบัติ และในสมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี บุคคลในครั้งนี้ที่มี ความสนใจในพระธรรม มีกรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้โสตวิญญาณได้ยินเสียงที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว และเป็นเสียงที่สามารถทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ ในเมื่อสะสมปัญญามาพอที่จะฟังและพิจารณา และเข้าใจได้

    แต่บุคคลเหล่านี้ทำไมไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ยังไม่ปรินิพพาน ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญายังไม่พอ ยังต้องอบรมต่อไปด้วยการฟัง ด้วยการพิจารณา ด้วยการเป็นผู้ละเอียด ด้วยการเป็นผู้ตรงต่อลักษณะของ สภาพธรรมและเหตุผลของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ในยุคนี้ สมัยนี้ ไม่หวัง ดีไหม ไม่ต้องไปรอทำอานาปานสติไว้ ที่ใช้คำว่า มหาบุรุษ ก็เป็นคำที่พิเศษกว่าบุรุษธรรมดาอยู่แล้วในกาลสมบัติ และ สมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี หมดสมัยของพระอรหันต์ซึ่งเป็นผู้ได้อภิญญา ปฏิสัมภิทา หลังปรินิพพาน ๑,๐๐๐ ปี ยังคงมีพระอรหันต์ที่เป็นผู้ที่มีคุณวิเศษ เช่น ปฏิสัมภิทา อภิญญา พันปีที่ ๒ ก็ยังมีพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่ผู้ที่เป็นมหาบุรุษ เพราะฉะนั้น นี่ ๒,๕๐๐ กว่าปี อยู่ในเขตของพันปีที่ ๓ ก็เป็นสมัยของพระอนาคามีบุคคล

    . ขอบพระคุณ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 172
    25 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ