แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี ตอนที่ 2


    แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี ๒

    สำหรับการรู้กรรม ไม่ควรจะเป็นเพียงเหตุการณ์ แต่สามารถที่จะรู้แม้ขณะที่กำลังเห็น คือ ขณะที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็จะต้องรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลวิบาก แต่ว่าจิตที่เกิดหลังจากนั้นอาจเป็นกุศลก็ได้ หรืออาจจะเป็นอกุศลก็ได้ แล้วแต่การพิจารณาในขณะนั้น ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างนี้ทุกวันๆ ถ้าเป็นผู้ละเอียดก็จะสังเกตเห็นได้ว่า วันหนึ่งๆ ไม่พ้นจากผลของกรรมและกรรมซึ่งเป็นเหตุ ได้แก่ บุญและบาป

    สำหรับภัยของชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็ประสบอยู่ทุกคน แต่อาจจะไม่ได้สังเกต เพราะเหตุว่าบางท่านอาจจะประสบภัยเพียงเล็กน้อย แต่บางท่านก็อาจจะประสบของชีวิตที่ร้ายแรง

    สำหรับเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่พบกันอยู่ทุกวัน ก็ได้แก่ความไม่สะดวกสบายต่างๆ นี่เป็นภัยของชีวิตเหมือนกัน เพราะเหตุว่าทุกคนอยากมีชีวิตที่สะดวกสบาย ไม่ต้องการพบกับความไม่สะดวกสบายใดๆ เลย เพราะฉะนั้นเวลาที่ประสบกับความไม่สะดวกสบายแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้เห็นภัยในชีวิตว่า นี่เป็นภัยอย่างหนึ่งเหมือนกัน เวลาที่เจ็บป่วย ทุกคนก็เริ่มจะเห็นภัย ซึ่งในขณะที่ไม่เจ็บป่วย ไม่เคยเห็น นอกจากนั้นก็ยังมีภัยอื่นๆ ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ต่างๆ

    ข้อความใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต มหาวรรคที่ ๓ สัลลสูตรที่ ๘ ได้กล่าวถึงความยากลำบากของชีวิต ความเล็กน้อยของชีวิตซึ่งมีภัยมาก เพราะเหตุว่าถ้าจะพิจารณาจริงๆ แล้ว ความเป็นไปของชีวิตแต่ละขณะเนื่องจากปัจจัยหลายอย่างจึงดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตก็ไม่ใช่ให้เป็นไปเพื่อความสุขเท่านั้น เพราะบางคนหวังเหลือเกิน เกิดมาชาตินี้ก็จะให้มีความสุขมากๆ สิ่งที่ต้องการ คือ ความสุขเท่านั้น แต่ไม่ควรจะลืมอีกด้านหนึ่งของชีวิตด้วยว่า ชีวิตไม่ใช่ให้เป็นไปเพื่อความสุขเท่านั้น

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้ชีวิตซึ่งบอบบาง เล็กน้อยและยากลำบากดำรงอยู่ได้ ก็คือ

    ๑. ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่ยังหายใจเข้าออกโดยสม่ำเสมอ จะไม่รู้สึกเลยว่า ชีวิตทั้งชีวิตแขวนอยู่กับลมหายใจแผ่วๆ ซึ่งถ้าเกิดขัดข้อง คือ เมื่อไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็เป็นอยู่ไม่ได้ แล้วก่อนที่จะไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออกจะทรมานสักแค่ไหนในขณะที่หายใจไม่ออก อย่างบางคนจะรู้สึกได้ว่า เวลาที่เป็นหวัดคัดจมูก แม้เพียงเท่านั้นก็อึดอัดมากมาย และถ้ามากกว่านั้น ซึ่งหลายชีวิตก็จะต้องประสบกับภาวะเช่นนั้น ขณะนั้นก็จะต้องเป็นภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า ชีวิตบอบบางและเล็กน้อยมาก เพียงชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยลมหายใจที่เข้าออกเท่านั้น

    ๒. ชีวิตเนื่องด้วยมหาภูตรูป ซึ่งอาศัยความสม่ำเสมอของธาตุทั้ง ๔ เป็นปกติ ถ้าธาตุทั้ง ๔ มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ปกติ ธาตุลมมีมากปั่นป่วนในร่างกาย ก็ทำให้ถึงกับสิ้นสติได้ หรืออาจจะทำให้ถึงกับพิการ เป็นอัมพาตได้ นั่นคือความไม่สม่ำเสมอของธาตุทั้ง ๔

    ๓. ชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร คือ อาหารที่บริโภคเป็นคำๆ ซึ่งทุกท่านจำเป็นที่สุดที่จะต้องบริโภคอาหารนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าอดอาหารกลางป่า หรือขาดอาหารอยู่ในที่จำกัด แล้วก็ขาดอาหารหลายๆ วัน ก็ทำให้สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน เพราะเหตุว่าชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร

    ๔. ชีวิตเนื่องด้วยไออุ่น ได้แก่ไฟที่เกิดจากกรรมที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น และทำให้อาหารที่บริโภคย่อย ถ้าอาหารที่บริโภคไม่ย่อยเมื่อไร เมื่อนั้นก็สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน

    ๕. ชีวิตเนื่องด้วยวิญญาณ คือ เมื่อใดที่จุติจิตเกิดแล้วดับ เมื่อนั้นสัตว์นั้นก็ไม่มีชีวิต

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาดูความเป็นชีวิต สภาพที่มีชีวิตของทุกชีวิตในโลก ก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ได้ก็ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ด้วยเหตุอื่นมากมายเลย เหตุอื่นที่คิดว่าเต็มไปด้วยความพอใจในอุปกรณ์ของชีวิตที่จะทำให้พอใจยิ่งขึ้น สะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่ว่าอุปกรณ์ คือ ปัจจัยแท้จริงของชีวิตย่อมขึ้นอยู่กับลมหายใจเข้าออก ขึ้นอยู่กับมหาภูตรูป ขึ้นอยู่กับกวฬีการาหาร ขึ้นอยู่กับไออุ่น และขึ้นอยู่กับวิญญาณ

    เพราะฉะนั้นบางคนก็คิดถึงชีวิตที่ยาวนานเหลือเกิน แต่ถ้าปัจจัยเหล่านี้เกิดไม่เป็นปกติ สิ้นสุดลงเมื่อไร เมื่อนั้นชีวิตก็ต้องสิ้นสุดลงทันที

    นี่ก็น่าจะเห็นภัยของชีวิตที่คิดว่า สนุกเหลือเกิน สบายมาก แล้วก็มีความสุข แต่แท้ที่จริงแล้ว ภัยของชีวิตมีทุกขณะ แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดกว่านั้นอีก นอกเสียจากลมหายใจเข้าออก หรือมหาภูตรูป กวฬีการาหาร ไออุ่น และวิญญาณ สภาพที่ทำให้ต้องเกิดอีกนั้นมีอยู่อย่างเดียว คือ กิเลสทั้งหลาย ถ้าดับกิเลส จะดับทุกข์ทั้งหมด ไม่ต้องมีการลำบาก หรือเห็นภัยต่างๆ ของชีวิต เพราะเหตุว่าไม่ต้องเกิด ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องทุกข์ยาก ไม่ต้องวิตก ไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถเห็นภัยของกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าทุกคนที่มีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ไม่เบื่อ ไม่มีการเบื่อรูป เบื่อเสียง เบื่อกลิ่น เบื่อรส เบื่อโผฏฐัพพะเลย

    ขอกล่าวถึงการเกิดในสวรรค์ ซึ่งผู้มีปัญญาก็ยังเห็นโทษ ข้อความใน ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อุโปสถวิมาน มีข้อความว่า

    เทพธิดาท่านหนึ่งแสดงโทษของตนแก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ว่า

    ฉันทะ ความพอใจเกิดขึ้นแก่ดิฉัน เพราะได้ฟังเรื่องสวนนันทวันอยู่เนืองๆ ดิฉันจึงตั้งจิตไปในสวนนันทวันนั้น ก็เข้าถึงสวนนันทวันได้จริงๆ ดิฉันไม่ได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ดิฉันนั้นตั้งจิตใจไว้ในภพอันเลว จึงร้อนใจในภายหลัง

    เกิดถึงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุว่าได้ยินได้ฟังเรื่องความเพลิดเพลิน ความสะดวกสบายในสวรรค์ ความสนุกรื่นเริงของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่มีสวนนันทวัน เพราะฉะนั้นก็เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ก็รู้ว่า แม้เกิดบนสวรรค์ก็ยังต้องเกิดอีก ในเมื่อยังมีกิเลสที่จะทำให้เกิด และสำหรับชีวิตของเทพธิดาท่านนั้นก็จะต้องอยู่ในวิมานนั้นประมาณ ๓ โกฏิ ๖ หมื่นปี

    พอใจไหมคะ อยู่เสียนาน แล้วก็เพลิดเพลินอยู่ที่สวนนันทวัน แต่ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ จะไม่เห็นโทษเลย แต่ผู้ใดที่เห็นโทษก็กล่าวว่า

    ดิฉันไม่ได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์

    อีกท่านหนึ่ง ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย ปภัสสรวิมาน มีข้อความว่า

    เทพธิดากล่าวกับท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันได้ถวายพวงมาลัยและน้ำอ้อยแก่พระคุณเจ้าผู้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ดิฉันจึงได้เสวยผลแห่งกรรมนั้นในเทวโลก

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แต่ดิฉันยังมีความเดือดร้อน ผิดพลาด เป็นทุกข์ เพราะดิฉันไม่ได้ฟังพระธรรมอันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาทรงแสดงดีแล้ว

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุนั้นดิฉันจึงมากราบเรียนพระคุณเจ้าซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์ดิฉัน โปรดชักชวนผู้ที่ควรอนุเคราะห์นั้นด้วยธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชาทรงแสดงดีแล้ว ทวยเทพที่มีศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ก็รุ่งโรจน์ล้ำดิฉันโดยอายุ ยศ สิริ ทวยเทพอื่นๆ ก็ยิ่งยวดกว่าโดยอำนาจและวรรณะ มีฤทธิ์มากกว่าดิฉัน

    จะอยู่บนสวรรค์ แต่ถ้าไม่รู้เรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เหมือนกัน ใช่ไหมคะ อยู่บนสวรรค์เห็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน แต่ก็ไม่รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นมนุษย์ในขณะนี้ ก็มีการเห็น มีการได้ยิน แต่ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วจะทำอย่างไร ก็มีหนทางเดียว คือ ต้องฟังพระธรรมต่อไปอีก พระธรรมเรื่องอะไร ก็เรื่องตา เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ โดยประการต่างๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และเห็นภัยว่า เป็นสภาพธรรมที่เล็กน้อย เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ซึ่งทุกคนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยเท่าไรก็ต้องฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ ชาตินี้ยังไม่ถึงการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล ชาติหน้าต้องฟังอีก ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม เกิดในประเทศที่สมควร ก็ขอจงฟังพระธรรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นขณะที่หายาก ถ้าจะพิจารณาดูแต่ละชีวิตในโลกที่จะได้ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้น ๑ ขณะที่ได้เกิดขึ้นในปฏิรูปเทส ๑ คือ ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา ขณะที่ได้สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ๑ ขณะที่อวัยวะทั้ง ๖ ไม่บกพร่อง ๑

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกท่านก็ถึงพร้อมด้วยขณะเหล่านี้ ก็ขอให้ขณะเหล่านี้อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย ตามข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย ฉักกนิบาต มาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕

    ในพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องของกุศลกรรม อกุศลกรรม และสภาพธรรมทั้งหมดที่จะเกื้อกูลให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น


    หมายเลข 109
    14 พ.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ