แต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ


    ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่จงใจที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ แต่ฟังแล้วเข้าใจขึ้นในความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏว่า ในขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้ว และกำลังปรากฏ และความจริงก็คือว่า สิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงๆ นั่นคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งยากที่วันหนึ่งๆ ที่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริง แต่ก็ผ่านไป โดยไม่สนใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏเลย แต่ไปจำเรื่องราวเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดของสิ่งที่ปรากฏสืบต่อกัน จนไม่ปรากฏการเกิดดับ การที่มีความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่สามารถคิดเอง แต่ต้องอาศัยการฟังคำที่เป็นคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งผู้จะกล่าวคำจริงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เราก็กำลังมีสิ่งที่มีจริง ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละคนจริงๆ ว่า เมื่อฟังแล้วความเข้าใจซึ่งเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่เกิดเพราะได้ฟัง และได้ไตร่ตรอง จนกระทั่งขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่เกิดเข้าใจแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น กว่าธรรมที่เกิดขึ้นเข้าใจจากการฟังแล้วดับไป จะค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ อาจจะทันทีที่ได้ฟัง แต่ถ้าไม่ได้ยิน เมื่อกี้คิดถึงเรื่องอะไรคะ ก็คิดถึงเรื่องอื่นทั้งนั้นเลยทันที ไม่ได้คิดถึงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น อาศัยการฟัง ก็ทำให้ระลึกได้ในขั้นของการฟังว่า กำลังฟังเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แต่จะเข้าใจได้แค่ไหน เมื่อไร ก็ต้องอดทนจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วคิดว่าจะรู้ได้ทันที อย่างบางคนก็ถามว่า แล้วทำอย่างไรจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ทำอย่างไรก็คือไม่เข้าใจว่า การฟังธรรมแต่ละครั้งเพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ธรรมเป็นธรรม ถ้าใช้คำว่า “ธรรมเป็นธรรม” ไม่เป็นใคร ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นปรากฏ แต่ก็ไม่รู้เลย มีสิ่งที่หลากหลายมากปรากฏทั้งวัน ตั้งแต่ลืมตาจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น การฟังก็ไม่พ้นจากการพูดถึงสิ่งที่กำลังมี เพื่อให้เริ่มรู้ว่า ต้องเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ไปเข้าใจอย่างอื่น และสิ่งที่มีในขณะนี้ก็ต้องมีธาตุรู้ มิฉะนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏ ก็พูดย้ำไปย้ำมา เพื่อให้รู้ว่า จริงๆ แล้วธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรา หรือเป็นจิตของเรา หรือเป็นความโกรธของเรา หรือว่าเราเห็น เราดีใจ เราเสียใจ ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง จะใช้คำว่า “ธรรม” หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วจริงๆ แล้วก็ดับไปแล้วจริงๆ ไม่เดือดร้อนใช่ไหมคะ แล้วก็มีสิ่งที่มีจริงอีก แล้วก็เกิดแล้วดับแล้วทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็คือเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถหมดความสงสัย หมดความไม่รู้ หมดการยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นสิ่งใดที่เที่ยง แล้วลองคิดดูซิว่า วันไหนจะถึงเวลาที่ประจักษ์แจ้งความจริงว่า สิ่งนี้เกิดแล้วก็ดับเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่อย่างเดียวกันเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็เกิดเห็นแล้วก็ดับ ได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ เห็นเกิดขึ้นอีก แล้วก็ดับอีก แล้วได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับอีก คิดนึกก็มี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็เห็นอีก ได้ยินอีก

    นี่คือสิ่งที่มีจริงๆ ในสังสารวัฏ ซึ่งกว่าจะเข้าใจตามความเป็นจริงก็จะต้องอาศัยการฟัง และเข้าใจมั่นคงขึ้น ไม่ใช่ไปทำอะไร ไม่ใช่ไปอยากรู้ อยากแยก อยากประจักษ์ แต่เข้าใจถูกต้อง และความเข้าใจนั้นก็ไม่ใช่เราด้วย เป็นแต่เพียงฟังเมื่อไร ก็รู้ว่าเข้าใจเกิดแล้วก็ดับไป แม้ความเข้าใจก็เกิดดับด้วย จนกว่าจะสะสม เมื่อไรเห็น เข้าใจทันทีได้ เพราะสะสมมาพอที่จะเข้าใจได้


    หมายเลข 9795
    19 ก.พ. 2567