ตัวจริงที่หมักหมม


    เดี๋ยวนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ กำลังเห็น เข้าใจเห็น ธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ ขั้นฟังก่อน แล้วการฟังเข้าใจเรื่องหรือความจริงที่ยังไม่ได้ประจักษ์ กับเข้าใจเพิ่มขึ้นจนประจักษ์ ก็จะเห็นได้จากแสนโกฏิกัปป์ที่ไม่เคยเข้าใจ มาถึงวันที่ได้ฟัง และเริ่มเข้าใจ แล้วแสนโกฏิกัปป์ที่ไม่เคยเข้าใจ จะหายไปได้อย่างไร นอกจากค่อยๆ เข้าใจขึ้น มากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพียงละความต้องการ และละความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงติดข้อง แต่ถ้ารู้ ก็ยังละความติดข้องไม่ได้ จนถึงปัญญาระดับที่ละได้ คือ โสตาปัตติมัคคจิต ชื่อนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นปัญญาจริงๆ ที่กว่าจะถึงปัญญาที่ดับกิเลสซึ่งเคยเกิดมาในสังสารวัฏ คือ อวิชชา และโลภะ และทิฏฐิ ซึ่งเกิดพร้อมกัน ร่วมกัน เพราะไม่รู้จึงติดข้อง เมื่อติดข้องก็มีความเห็นผิด ยึดถือสิ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปว่า เที่ยง ว่าเป็นสุข และเป็นอัตตา คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด แค่ผัสสเจตสิกที่เกิดกับจิตทำให้จิตรู้ผัสสะที่กระทบ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า ทำอะไรได้ กระทบอยู่เรื่อยๆ และไม่รู้อยู่เรื่อยๆ แล้วก็ติดข้องอยู่เรื่อยๆ นานเท่าไรแล้ว แค่ผัสสะกระทบกับทางตา แต่ผัสสะไม่ได้กระทบแต่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ผัสสะดับแล้วจริง สังขารปรุงแต่ง จำเรื่องราวต่างๆ คิดมาก

    เพราะฉะนั้น สุขหรือทุกข์อยู่ที่คิด เพราะเหตุว่าไม่คิดได้ไหม ใครไปห้ามว่าอย่าคิด เป็นคำสอนที่ถูกต้องหรือเปล่า ใครมีอำนาจไปห้ามความคิด แต่คิดเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา เมื่อเห็นแล้วต้องคิด และคิดก่อนที่เราจะรู้ว่าคิดด้วยซ้ำไป เพียงแค่เห็นว่เป็นอะไรก็คิดแล้ว แต่ไม่รู้เลย เหมือนไม่คิด และเข้าใจว่าคิดเฉพาะเรื่องราวต่างๆ แต่ความจริงคิดก่อนจะนึกถึงคำต่างๆ ที่เป็นเรื่องราว

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากมายแค่ไหน แค่สำนึกระลึกถึงความไม่รู้ ก็จะได้มีความอดทนที่จะบำเพ็ญบารมีทุกอย่างซึ่งเป็นกุศล เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่กุศล ถ้าไม่ใช่บารมี ก็เป็นอกุศล ซ้ำเติมหมักหมมเพิ่มขึ้น ตกไปในหลุมนั้นทุกขณะที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วก็หมักหมมอยู่อย่างนั้น ไม่มีออกไปไดเลย แล้วก็ล้นออกมาทางกาย ทางวาจา ทางความคิดต่างๆ

    นี่คือตัวจริงของแต่ละคน ไม่ใช่ตัวปลอมๆ ที่คิดว่าเข้าใจแล้ว แล้วก็รู้มาก แล้วก็ใกล้จะถึงนิพพาน ไม่ใช่ ตัวจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ถ้ารู้จริงก็ไม่ประมาทเลย เพราะเหตุว่าไม่มีเรา แต่เป็นธาตุ ซึ่งมีปัจจัยเกิด แน่นอนที่สุด เห็นก็มีปัจจัยเกิดขึ้น ได้ยินก็มีปัจจัยเกิดได้ยิน รู้อย่างนี้ก็ยังติดข้อง เพราะปัญญาไม่ถึงระดับที่จะละความติดข้องได้

    เพราะฉะนั้น ก็สะสมบารมีต่อไปอีก ด้วยความเพียร ด้วยความจริงใจ ด้วยความตรง ด้วยกุศลประการต่างๆ


    หมายเลข 9796
    19 ก.พ. 2567