ฟังแล้วฟังอีก


    ข้อความทุกคำในพระไตรปิฎกมีประโยชน์ทุกกาลสมัย แม้จนถึงวันนี้ และขณะนี้ แสดงให้เห็นว่า ประโยชน์ของการได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีค่าสูงสุด ไม่ใช่หมายความว่า เราจะเข้าใจได้ทันทีในความมีค่าของคำนั้นๆ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงโดยได้ทรงตรัสรู้ ต้องเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง มีจริงกำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนฟังเพื่อประโยชน์ของการฟังในแต่ละครั้ง ในแต่ละชาติ ก็คือได้มีโอกาสเพิ่มความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่เคยรู้ว่า เป็นธรรม เพราะเหตุว่าเราอาจจะติดคำว่า “ธรรม” แล้วก็ถามว่า ธรรมคืออะไร แม้แต่คำว่า “ธรรม” ก็ยังไม่ทราบความจริง จนกระทั่งต้องสนทนากันว่า ธรรมคืออะไร เพราะเหตุว่าธรรมเป็นคำภาษามคธี ซึ่งใช้ดำรงพระศาสนา เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมกับชาวเมืองนั้นในภาษานั้น

    ธรรมก็หมายถึงสิ่งที่มีจริง ปรากฏ แม้ในขณะนี้ด้วย เราไม่เคยรู้เลยว่า เห็นมีจริงๆ เพราะกำลังเห็น จะบอกว่าไม่เห็นไม่ได้เลย แต่ใครบ้างที่รู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็น เห็นมาแล้วนานมาก แล้วเห็นก็ไม่เที่ยง คือ เกิดขึ้นแล้วดับไป เห็นเมื่อวานนี้หมดแล้ว และเห็นเมื่อวานนี้ ตอนเช้า ก็หมดแล้ว เห็นขณะนี้ก็หมดไปเรื่อยๆ ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม คือ ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ในภาษาของตนๆ เพื่อเตือนให้รู้ว่า การฟังธรรมจะมากหรือจะน้อย ไม่สำคัญเท่ากับเข้าใจคำที่ฟัง และสามารถเข้าใจว่า หมายความถึงอะไร คือเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ทุกคำก็กล่าวสิ่งที่มีจริง เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจความจริง เท่านี้เอง ถ้าสั้นก็คือเท่านี้ แต่กิเลสที่แต่ละคนสะสมมา คือความไม่รู้ และความไม่ดีต่างๆ นานาก็สะสมมามาก จนกระทั่งไม่สามารถฟังเพียงคำสั้นๆ แล้วก็เข้าใจได้ แต่ฟังแล้วฟังอีก แม้จะได้ยินคำว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เราก็คิดถึงเรื่องอื่น แต่เดี๋ยวนี้เห็น มีจริง เห็นแล้วก็ดับ เห็นแล้วด้วย ได้ยินก็มีจริง

    เพราะฉะนั้น ธรรมหลากหลายมาก ตลอดชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด กว่าจะรู้แต่ละหนึ่ง จนกระทั่งเข้าใจชัดเจนว่า เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี หรือจะกล่าวว่า ๒,๖๐๐ ปี แต่ละคนก็เกิดมาแล้ว จะเคยได้ยินฟังมาแล้ว แต่ขณะนี้ก็กำลังได้ฟังอีก จะเป็นคำที่น้อยหรือมากก็ตาม แต่ให้เข้าใจ และตรงตามความเป็นจริงว่า กำลังพูดถึงสิ่งใด เข้าใจในสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน ต้องเป็นผู้ตรง เห็นทุกวัน ไม่มีใครพูดเรื่องเห็นให้เข้าใจตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป คิดทุกวัน ไม่มีใครพูดถึงคิดให้เข้าใจความจริงของคิด ซึ่งเกิดแล้วก็คิด จนกว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไป เพราะว่าเห็นแล้วไม่คิด ไม่มี แต่ไม่เคยรู้เลยว่า เห็นแล้วคิด แม้เดี๋ยวนี้ก็กำลังคิด

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟังผ่านไปโดยประมาทไม่ได้ แต่ต้องตรงว่า เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงๆ หรือเปล่า ไม่ว่าจะเห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้ คิดขณะนี้ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา


    หมายเลข 9797
    19 ก.พ. 2567