ละบาป


    อ.ธิดารัตน์ คำว่า “บาป” มีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาธรรม เราก็จะไม่เข้าใจอย่างชัดเจน และละเอียดด้วย คำว่า “บาป” คำว่า “บุญ” เราก็เคยได้ยินมาแล้ว เพราะตรงกันข้ามกัน บาปก็เป็นฝ่ายไม่ดี ส่วนบุญก็เป็นฝ่ายดี ก็เป็นธรรมดาๆ แต่ความลึกซึ้งอยู่ที่ว่า เดี๋ยวนี้บาปหรือเปล่า เพราะเหตุว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่ว ๑ ขณะ จะมี ๒ ขณะพร้อมกันไม่ได้เลย ขณะหนึ่งเกิดขึ้นดับไปแล้ว การดับไปของขณะก่อนเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดได้

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เองก็มีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อนับไม่ถ้วนเลย แต่ไม่ได้รู้ความจริงตามที่เราได้เอ่ย คือบุญหรือบาป โดยความถูกต้องชัดเจน เพียงแต่ได้ยินเรื่องของบุญ และบาป และเวลานี้มีสภาพธรรมที่บุญก็มี เกิดแล้วก็ดับไป บาปก็มี เกิดแล้วก็ดับไป แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า ขณะนั้นบาปขณะไหน และบุญขณะไหน

    เดี๋ยวนี้การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมีจริงๆ ด้วย แต่กว่าจะเป็นอย่างนั้นก็ยาก เพราะเหตุว่าสภาพธรรมโดยเฉพาะจิต เจตสิก นามธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วสุดจะประมาณได้ จนปรากฏเหมือนกับว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏหลากหลายมาก แต่ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นทีละหนึ่ง และดับสืบต่อ ความหลากหลายก็ปรากฏว่าเป็นความหลากหลายอย่างนี้ไม่ได้

    นี่คือประโยชน์ของการฟัง สิ่งที่เคยได้ฟังแล้วบ่อยๆ ไม่ว่าจะในชาติก่อนๆ หรือในชาติต่อไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่ว่า คำใดก็ตามที่เป็นคำจริง คำนั้นสามารถเข้าใจพิสูจน์ได้ รู้แจ้งได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า ขณะนี้เข้าใจแค่ไหน กำลังฟังแล้วก็กำลังอบรมความเข้าใจ ความเห็นถูก ซึ่งสำคัญมาก เพราะเหตุว่าทุกคนละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “จิต” คนที่จัดดอกไม้ก็จะคิดว่า จะจัดดอกไม้อย่างไรจะสวย ก้านสั้น ก้านยาว สีเหลือง สีขาว สีเขียวสลับกัน นั่นก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้คิด ให้ตรึก แต่ลืมสภาพของจิตตั้งแต่เกิดจนตาย จนถึงขณะนี้ว่า มีใครรู้จักจิตจริงๆ ที่จะเข้าใจได้ถูกต้องในจิตของตน เพราะว่าส่วนใหญ่จะคิดถึงจิตของคนอื่น พอวันนี้เห็นหน้าก็เป็นอย่างไรคะ ดูเป็นสุขดี หรือทุกข์ร้อนประการใด ก็ไปคิดถึงจิตของคนอื่น แต่ลืมสภาพจิตของตนเอง ซึ่งความจริงถ้าไม่มีจิต ที่เข้าใจว่าเป็นของเรา ยึดถือมานานว่า เป็นของเราเกิดขึ้น ก็จะไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น แต่ว่าขาด และละเลยการเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ว่า ถ้าจิตนี้ไม่เกิด ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี ไม่ปรากฏเป็นเรื่องราวมากมาย

    เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะพูดคำใด พระธรรมจะทำให้สามารถเข้าใจความถูกต้องของคำนั้นชัดเจน และละเอียดขึ้น

    เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า จะละบาปทั้งปวง ทั้งสิ้น ทั้งหมด ก็จะต้องรู้ว่า ขณะนี้บาปเมื่อไร จะละเมื่อไร นี่เป็นความชัดเจนที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจละเอียดขึ้น มิฉะนั้นการฟังแต่ละครั้งเหมือนรู้ เหมือนเข้าใจ แต่ก็เป็นโมฆะ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ ที่เรากำลังกล่าวถึงในขณะที่ธรรมนั้นเกิดขึ้น ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ถ้าอย่างเผินๆ คร่าวๆ ก็เป็นอย่างที่รู้กันว่า บาปก็คือธรรมหรือสิ่งที่ไม่ดี และบุญก็คือสิ่งที่ดี ในชีวิตประจำวันไม่ได้มีแต่เฉพาะบาปกับบุญ ๒ อย่าง ยังมีสภาพธรรมที่ไม่ใช่บาป ไม่ใช่บุญด้วย

    ก็เป็นเรื่องของการศึกษาเพื่อจะเข้าใจขึ้น อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเพื่อละคลายความไม่รู้ และความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา และยึดถือสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จนกว่าสามารถชำระจิตที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ และการยึดถือ และความติดข้อง อกุศลอีกมากมาย ประมาณไม่ได้เลยที่ไปละบาปให้หมดสิ้น ก็ลองคิดดูว่า ถ้าไม่เข้าใจเลย จะละนิดหนึ่ง ก็ไม่มี มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ มากขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ตรง และเป็นเรื่องที่ละเอียด และเป็นเรื่องความจริงใจที่จะต้องมั่นคงจริงๆ ในการเข้าใจธรรม


    หมายเลข 9690
    19 ก.พ. 2567