รู้จักเจตสิก


    ท่านอาจารย์ วันนี้มีเรื่องจิต และเจตสิกกับรูป สมาธิเป็นเจตสิกใช่ไหมคะ และเป็นเจตสิกประเภทกลางๆ เพราะเจตสิกจะแบ่งเป็นประเภทกลางๆ ประเภทหนึ่ง และประเภทที่เป็นอกุศลประเภทหนึ่ง และประเภทดีอีกประเภทหนึ่ง ถ้าเป็นประเภทจะเกิดกับจิตทุกชนิด ถ้าเป็นอกุศล จะเกิดได้เฉพาะกับอกุศลจิต ถ้าเป็นฝ่ายดีก็จะเกิดเฉพาะจิตที่เป็นฝ่ายดี จะไปเกิดกับจิตที่เป็นฝ่ายไม่ดีไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเอกัคคตาเป็นสมาธิที่เป็นฝ่ายกลางๆ เพราะว่าเกิดกับจิตทุกดวง เจตสิกอะไรก็ตามที่เกิดกับจิตทุกดวงได้ เจตสิกนั้นเป็นฝ่ายกลางๆ เพราะว่าเกิดกับกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ วิบากก็ได้ กิริยาก็ได้ อันนี้ยังไม่ต้องทราบรายละเอียดก็ได้ เพราะว่าวันนี้เป็นเพียงเรื่องจิต เจตสิก รูป

    สิ่งที่เกิดแล้วดับ ดับจริงๆ แต่สิ่งที่เกิดสืบต่อมาจนปรากฏ เราก็คิดว่าอันนั้นเป็นคนที่กำลังพูดอยู่ แต่ไม่ใช่ ดับไปแล้ว และสิ่งใหม่ที่กำลังปรากฏ กำลังเป็นของจริงที่เป็นปัจจุบัน

    สนุกไหมคะเรื่องชีวิต เรื่องโลก เรื่องสภาพธรรม เรื่องความจริง ไม่เป็นความเท็จเลย ของจริงทั้งหมด และลองคิดดูว่า ของจริงซึ่งยาก แสดงว่าก่อนนั้นอวิชชาของเรามากแค่ไหน ถ้าเราฟังปุ๊บ เข้าใจปั๊บ แสดงว่าปัญญาของเราสะสมมามาก

    เพราะฉะนั้นถ้าการฟังวันนี้ของเราเข้าใจ คราวต่อไปเราก็ฟังได้เร็ว ใครพูดเรื่องเจตสิก เราก็รู้ ใครพูดเรื่องจิต เราก็รู้ ใครพูดเรื่องรูป เราก็รู้ แปลว่าปัญญาของเราสะสม และปัญญาก็เกิดดับด้วย พอออกจากห้องนี้ไป อวิชชาก็มา ก็เป็นของธรรมดา

    ถาม จิตกับเจตสิกคืออะไร ปัญญาเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ จิตคือสภาพรู้ กำลังเห็นขณะนี้ไม่ใช่ปัญญา เพียงเห็น แต่ไม่ใช่เข้าใจถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้องจึงจะเป็นปัญญา ขณะใดที่เข้าใจถูก ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา

    ผู้ฟัง นอกจากปัญญาแล้ว มีเจตสิกอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ เยอะค่ะ วันนี้ก็ได้เจตสิกหลายอันแล้วใช่ไหมคะ เอกัคคตาหรือสมาธิก็เป็นเจตสิก ปัญญาก็เป็นเจตสิก โลภะ ความติดข้องก็เป็นเจตสิก โทสะก็เป็นเจตสิก ทุกชื่อเป็นเจตสิกหมดเลย วิริยะ ความเพียร ก็เป็นเจตสิก ความเกียจคร้านก็เป็นเจตสิก ง่วงไหมคะ ง่วงเป็นจิตหรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป เจตสิกทั้งนั้น อะไรที่แปลกปลอมมาก็เป็นเจตสิกหมด แต่เกิดกับจิต

    ผู้ฟัง ยิ้ม หัวเราะก็เป็นเจตสิกหรือ

    ท่านอาจารย์ เจตสิก ชอบใช่ไหมคะ เป็นโลภะ โทสะแล้วไม่หัวเราะ โทสะก็ร้องไห้ เศร้าหมอง น้ำตาไหล หน้าดำ สิ่งที่โลภะจะติดไม่ได้ก็คือพระนิพพานกับโลกุตตรจิต คือจิตของพระอริยบุคคลที่กำลังมีนิพพานเป็นอารมณ์ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ขณะที่กำลังมีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนั้นเท่านั้นที่โลภะไม่สามารถเฉียดเข้าไปใกล้ หรือที่จะไปรู้ลักษณะของนิพพาน หรือสภาพธรรมที่เป็นโลกุตตรธรรม แต่นอกจากนั้นไม่พ้นอำนาจการติดของโลภะเลย สวรรค์อยากไปไหม โลภะแล้ว อยากอะไรทุกอย่างหมด คือ โลภะ


    หมายเลข 8102
    13 ก.พ. 2567