อยากฟังธรรมเป็นโลภะมั้ย


    ผู้ฟัง อยากฟังธรรมเป็นโลภะไหม

    ท่านอาจารย์ อยากฟังธรรมเพื่ออะไรคะ

    ผู้ฟัง เพื่อมีปัญญา

    ท่านอาจารย์ ถ้าเพื่อมีปัญญาแล้วไม่ใช่โลภะ แต่เพื่อเก่งกว่าคนอื่น มาแล้วใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องตรง เราจะรู้ว่า เราศึกษาธรรมเพื่ออย่างเดียว คือ เพื่อเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ เพื่อคำชมเชย หรือเพื่อความเก่ง ต้องรู้ว่า ฟังเพื่ออะไร ถ้าเพื่อเข้าใจแล้วไม่ใช่โลภะ เป็นกุศล เป็นธรรมที่ดีงาม ถ้าเป็นเรื่องปัญญาแล้ว เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ละอกุศล

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นโลภะ ก็เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ โลภะเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นก็เฉียดไปเฉียดมากับโลภะอยู่เรื่อยๆ ต้องระวัง เวลาที่จะทำบุญกุศลก็ให้ทราบว่า อย่าให้โลภะเฉียด จะหวังอะไรขณะใด ขณะนั้นก็คือโลภะทั้งนั้น

    ผู้ฟัง สมมติว่าเรามีโลภะมากๆ

    ท่านอาจารย์ เคยเห็นคนมีโลภะมากๆ ไหมคะ เคยเดินไปที่ตลาดที่ขายของเยอะๆ จะเห็นลักษณะของคนที่มีโลภะมากๆ เห็นอะไรก็อยากได้หมดเลย ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว นั่นก็สวย นี่ก็ดี ทุกอย่างหมด นั่นคืออาการของโลภะ และถ้ามีโลภะมากๆ ก็จะเป็นคนเห็นแก่ตัว สละไม่ได้ แล้วแต่การสะสม อย่างมีคนหนึ่งเขาสะสมการติดในรสมาก อาหารอร่อย ถ้าเป็นอาหารที่ถูกใจ เขาบอกว่า อย่ามาขอเขานะ ขออะไรก็ให้ แต่อาหารจานนี้ไม่ให้

    นี่แสดงให้เห็นว่า กำลังของโลภะมีมาก และถ้าเป็นอย่างนี้ไปหมดทุกทาง คนนั้นจะมีลักษณะอย่างไร และเราก็มองได้ว่า คนนั้นเป็นคนที่ใครๆ รัก เป็นคนที่ใครๆ ชมหรือเปล่า คงไม่มีใครชมอกุศลแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ หรือโทสะ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี

    เวลานี้เรากำลังเป็นบ้าหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง วันนี้ไม่ได้บ้า

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าจริงๆ แล้ว ขณะใดที่เป็นอกุศล ก็เป็นบ้าประเภทหนึ่ง ผิดปกติ แล้วแต่จะมากหรือจะน้อย ถ้าในระดับสามัญ ท่านใช้คำว่า “สมโลภะ” คือ ไม่ถึงกับรุนแรงหรือทำทุจริต อย่างเราชอบขนม อาหารอร่อยพวกนี้เป็นสมโลภะ เป็นโลภะธรรมดาๆ ซึ่งทุกคนมี แต่ถ้ามีกำลังมากขึ้น ขณะนั้นก็เป็น “วิสมโลภะ” เพิ่มปริมาณ และทำทุจริต แต่ก่อนที่จะทำทุจริต หรือมีปริมาณมาก ก็ต้องมาจากเล็กๆ น้อยๆ

    เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงแล้วควรจะเห็นภัย และโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นี่คือผู้ที่มีปัญญา อย่าเห็นเพียงแต่ใหญ่ๆ แล้วก็คิดว่าไม่ดี แม้นิดเดียวก็ไม่ดี กลิ่นเหม็นนิดหนึ่งก็เหม็น มากก็เหม็น ไฟนิดเดียวก็ร้อน มากก็ร้อน เพราะฉะนั้นก็ต้องเห็นโทษของอกุศล ไม่ว่าจะเล็กน้อยก็เป็นอกุศล ต้องยอมรับว่าเป็นอกุศล แล้วก็รู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังมี และพระอริยบุคคลท่านก็ละเป็นลำดับขั้น จะหมดไม่มีสักประเภทเดียวก็ต้องเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีอกุศลอยู่


    หมายเลข 8103
    13 ก.พ. 2567