อุบายไม่ใช่ของจริง
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
บรรพชิตเป็นผู้มีการสะสมมาต่างกับคฤหัสถ์ เหมือนฟ้ากับดิน ไกลกันมากเลย ทำไมเราถึงไม่เป็นพระภิกษุ แล้วทำไมพระภิกษุถึงไม่เป็นเรา ตามการสะสม ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเอตทัคคะ เป็นทายกผู้เลิศในการให้ทาน ไม่ได้เป็นพระภิกษุเลย ท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้า รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบันก็ไม่บวช วิสาขามิคารมารดาก็เป็นนักธุรกิจ แล้วเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบด้วย แล้วก็มีครอบครัว มีลูกมีหลานเยอะแยะ ท่านก็ไม่บวช เพราะว่าทุกคนเป็นคนตรง รู้ว่าแต่ละคนสะสมมาไม่เหมือนกัน แลกกันไม่ได้เลย
อย่างเราดูพืชพันธ์ต้นไม้ใบหญ้า ดอกกล้วยไม้ก็มี ดอกกุหลาบก็มี ถ้าจะดูผลไม้ มังคุดก็มี ทุเรียนก็มี ถ้าจะดูผัก ก็มีทั้งที่เป็นหัว เป็นกิ่ง เป็นใบ เป็นแครอท เป็นผักกาดขาว ทั้งๆที่จริงๆแล้ว พวกนี้มีรูปเพียง ๘ รูปเกิดร่วมกันทุกขณะ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชะ แต่ความต่างกันของปริมาณของแต่ละรูปที่รวมกัน ทำให้มีรสต่างกัน ทำให้มีใบต่างกัน ทำให้มีเมล็ด หรือเปลือก หรือรูปร่างต่างกัน
นี่เป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต อย่างจิตใจจะต่างกันไปยิ่งกว่านั้นจะสักเท่าไร ความคิดของแต่ละคนประกอบด้วยเจตสิกแต่ละชนิด ดีบ้าง ชั่วบ้าง สลับกันไปในแต่ละวันแต่ละภพ แต่ละชาติ
เพราะฉะนั้นจะให้พุทธบริษัทเป็นภิกษุทั้งหมดไม่ได้ ถ้าเรามีการงาน มีครอบครัว มีเรื่องยุ่ง ขณะนั้นเป็นความจริง เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ สะสมปัญญาได้ สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
มีผู้หญิงคนนั้นชื่อ “รัชชุมาลา” ที่คยา กำลังจะผูกคอตาย คิดดูถึงความทุกข์ของคนที่กำลังจะผูกคอตาย แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงการสะสม เพราะฉะนั้นก็เสด็จไปโปรด แล้วแสดงธรรมสั้นๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นพระโสดาบันบุคคล และเราก็ยังไม่ได้มีปัญหาถึงกับจะผูกคอตาย ใช่ไหมคะ แล้วทำไมถึงจะอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ นั่นกำลังจะผูกคอตาย คิดดูว่าเรื่องอะไรนักหนา ทนไม่ไหวแล้ว ถึงต้องคิดอย่างนั้น แล้วเราก็ยังไม่ถึงอย่างนั้น แต่เราขาดปัญญาเท่านั้นเอง แต่ท่านผู้นั้นท่านไม่ได้ขาดปัญญา
เพราะฉะนั้นสำคัญที่ปัญญา ถ้ารู้ว่าของจริงคือเดี๋ยวนี้ และปัญญารู้ความจริงเดี๋ยวนี้ เราจะไม่ไปที่ไหนเลย ใครจะบอกให้ไปไหน เราก็ไม่ไป นอกจากพูด แสดงธรรม เหตุผล จนกระทั่งปัญญาของเราค่อยๆเกิด ค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่อย่างนั้นพระผู้มีพระภาคก็สบาย ไม่ต้องทรงแสดงธรรมเลย ใครมาก็บอกให้ไปนั่งปฏิบัติ ๔๕ พรรษานี่สบายมาก ไม่ต้องแสดงธรรมเลย แต่เพราะเหตุว่าพระธรรมเกื้อกูล เป็นรัตนะ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งอันแท้จริง ที่ว่า ทรงรู้แจ้งว่า กว่าเราซึ่งมีอวิชชา จะค่อยๆเข้าใจสภาพธรรม แล้วก็ละอวิชชาไปทีละเล็กทีละน้อย ต้องอาศัยพระธรรมเทศนาอย่างละเอียดทุกประการ ถ้าใครไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางเลย จะไปนั่งปฏิบัติอย่างไรๆ ก็ไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร