ความทุกข์ของชาติ ชรา มรณะ
เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเร่าร้อน การเกิดขึ้นและดับไป
ซึ่งท่านผู้ฟังอาจจะไม่ได้พิจารณาเลยว่า การเกิดขึ้นมาแล้วนี้จะมีความเร่าร้อน หรือว่าจะมีความทุกข์มากมายอย่างไร
แต่ข้อความใน สัมโมหวิทโนทนี อรรถกถา วิภังคปกรณ์ ได้แสดงเรื่อง ความทุกข์ของชาติ ชรา และมรณะว่า
อุปมาเหมือนกับคน ๓ คนซึ่งเป็นข้าศึก คนหนึ่งก็บอกว่า ขอให้พาคนนี้เข้าป่าไป เรื่องการพานี้ เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับเขา อีกคนหนึ่ง ก็บอกว่า เมื่อพาไปแล้ว เขาจะโบยตีให้อ่อนกำลังลง เรื่องของการโบยตีให้อ่อนกำลังลงนั้น เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับเขา และคนที่ ๓ ก็บอกว่า ส่วนเขาเอง จะตัดศีรษะเสีย ซึ่งเรื่องการตัดศีรษะของบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย สำหรับเขา
เพราะฉะนั้นในขณะที่จุติและปฏิสนธิจะเกิดต่อ ปฏิสนธิที่เกิดต่อนี้ ก็เหมือนกับพาไปสู่ป่า หรือว่าพาไปเที่ยวยังสถานที่หนึ่งสถานที่ใด โดยที่ในอรรถกถา อธิบายพรรณนาว่า เหมือนกับการพรรณนาว่า จะไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด พร้อมที่จะพาบุคคลนั้นไป หลังจากที่จุติจิตดับแล้ว ปฏิสนธิจิตก็มีกิจทำให้บุคคลนั้นเกิดขึ้นยังภพใหม่ เป็นสถานที่ใหม่ เหมือนกับที่ที่ยังไม่เคยไป
ท่านผู้ฟังที่ชอบไปเที่ยวก็จะมีการเที่ยวหลังจากที่จุติจิตดับแล้ว จะไปสู่ภพไหนภูมิไหน ไกลมากน้อยเท่าไร ไม่สามารถที่จะทราบได้ แต่ว่าปฏิสนธิจิต การเกิดนั้นเอง เป็นผู้ที่พาไป
ส่วนชรา คือ ผู้ที่เป็นข้าศึกคนที่ ๒ ซึ่งคอยกระหน่ำโบยตีให้อ่อนล้า หมดแรงลงไปทุกที ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยสำหรับชรา เพราะว่าเป็นกิจของชราอยู่แล้ว
และสำหรับผู้ที่เป็นศัตรูหรือข้าศึกคนที่ ๓ ที่จะทำหน้าที่ตัดศีรษะลง นั้นก็คือขณะที่จุติหรือมรณะ คือตาย
ซึ่งเป็นชีวิตที่เลี่ยงไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าไม่อาศัยการอุปมาก็จะไม่เห็นภัยของมโนสัญเจตนาหารว่า เป็นสภาพที่ขวนขวาย เป็นสภาพที่ประมวลมาซึ่งภพชาติ การเกิด เพราะเหตุว่าตราบใดซึ่งยังไม่หมดกรรม กรรมนั่นเองก็ย่อมเป็นผู้ที่พาไปสู่ภพต่าง ๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงอุปมาว่า เหมือนกับหลุมถ่านเพลิงซึ่งเป็นที่เร่าร้อนใหญ่
มีข้อสงสัยไหมในเรื่องนี้ เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง กระทำกิจของอาหารปัจจัย แต่ว่าโดยนัยของปฏิจสมุปบาท หมายความถึงเจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตและอกุศลจิต