ขณะใดที่ไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล


    ถาม   ผมก็สงสัยที่เมื่อกี้อาจารย์บอกว่า ขณะที่นั่งเป็นโลภะ ก็มาตรงกับผมที่ว่า ผมตื่นตี ๓ มาเปิดเทปอาจารย์ฟัง ขณะที่นั่งรถมาก็คงจะเป็นโลภะ ขณะที่ฟังเทปอยู่เมื่อคืนก็คงเป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ ขณะฟังเข้าใจไหมคะ ถ้าเข้าใจก็ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้เป็นโลภะตลอดวัน บางกาล บางขณะก็มีกุศลจิตเกิดได้

    ผู้ฟัง    เมื่อกี้ผมสงสัยว่า ท่านอาจารย์บอกว่ามีโลภะทุกขณะ ทีนี้พอเรานั่งรถมาก็ต้องเกิดโลภะ ที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ก็ต้องเป็นใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ ส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นว่า ขณะใดที่ไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล และเราก็สามารถรู้ตัวเราได้ว่า วันหนึ่งๆ เราเป็นกุศลมาก หรืออกุศลมาก เพราะว่าคนที่ไม่มีกุศลทั้งวันเลยก็มี นั่นคือที่กล่าวถึง แต่ถ้าใครมีปัจจัยที่จะให้กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็ไม่ใช่ตลอดเวลา ก็มีโอกาสที่กุศลมีปัจจัยจะเกิดขึ้นด้วย

    ผู้ฟัง    ขณะที่ตั้งใจฟังเทป และนั่งรถมาจนถึงขณะนั่งปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่โลภะตลอดไปใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ชื่อ จะเรียกอะไรไม่สำคัญ แต่ลักษณะของจิตขณะนั้นไม่มีโลภะในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะว่ากำลังฟังพระธรรมด้วยศรัทธา และขณะใดที่มีความเข้าใจ ขณะนั้นก็ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่อกุศลแน่นอน

    ผู้ฟัง    เมื่อกี้ผมก็สงสัยว่า พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่าต้องเข้าหาผู้รู้  เข้าไปใกล้และต้องถามด้วย ผมก็เลยสงสัยว่า เราเข้าไปถามผู้รู้ สัตบุรุษ แล้วต้องเป็นโลภะด้วยหรือ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะได้ยินได้ฟังอย่างไรก็ตาม เราผู้ฟังพิจารณาแล้วเข้าใจถูกว่า หมายความถึงขณะไหน อย่างไร

    สำหรับผู้ที่วันหนึ่งๆ  ไม่มีกุศลจิตเกิดเลย มีไหม ตามความเป็นจริง มีไหมคะ

    ผู้ฟัง    กุศลจิตหรือครับ

    ท่านอาจารย์ วันหนึ่งไม่มีกุศลจิตเกิดเลย มีไหม สำหรับบางท่าน

    ผู้ฟัง    มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือกล่าวหมายถึงท่านเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรม ก็คือไม่ถือติดในพยัญชนะ แต่สำหรับผู้มีกุศลจิตเกิด ก็รู้ว่าขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็ไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก่อนจะได้ฟังธรรม เราก็ลองพิจารณาว่า เราเคยเป็นอย่างนั้นไหม คือ ทั้งวันไม่มีกุศลจิตเกิดเลย บางวันก็มีกุศลจิตเกิดบ้าง มีความเมตตา มีการช่วยเหลือบุคคลอื่น มีกายวาจาที่ดี ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน พูดจาก็น่าฟัง กายก็ดี ขณะนั้นก็เป็นกุศล

    เพราะฉะนั้นธรรมทำให้เรารู้จักตัวเราเองตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะได้ฟังอะไร ต้องรู้ว่า เว้นอะไรหรือเปล่า ขณะไหน เมื่อไร กับบุคคลใด ไม่ใช่เราจะเอาคำนั้นมาแล้วก็ยึดถือว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อไรเป็นอย่างนั้น เมื่อไรไม่เป็นอย่างนั้นด้วย


    หมายเลข 4156
    20 ก.ค. 2558